คล้อยหลังการเปิดผ้าคลุมระดับ World Premier ครั้งแรกในโลกของ Chevrolet Colorado เมื่อ 21 มีนาคม 2011
วันนี้ Ford เอง ก็ไม่ยอมน้อยหน้าเพื่อร่วมชาติเหมือนกัน เปิดตัว Ford Ranger ตัวถัง OPEN CAB เป็นครั้งแรก
ในโลก ควบคู่กับการนำเวอร์ชัน Double Cab 4 ประตู มาอวดโฉมครั้งแรกในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
กันในงาน Bangkok Motor Show 25 มีนาคม – 4 เมษายนนี้ แต่งานเผยโฉมหนะ จัดขึ้นที่ โรงแรมแชงกรีลา
เมื่อช่วงเช้าวันนี้ ตามเวลาในประเทศไทย
ความจริง งานเปิตดัว ทั้ง 2 งาน ถูกกำหนดขึ้นมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่ เมื่อทั้งคู่ จำเป็นต้องจัดงานในวันที่ใกล้กัน
ขนาดนี้ ทำให้หลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่จะถูกจับเล่นเป็นประเด็นว่า งานนี้มีรายการเปิดตัว บลัฟกัน ระหว่างค่ายอเมริกัน
ด้วยกันเอง แต่ก็ถือว่าเป็นประโยชน์ของคนไทย เพราะทั้ง 2 รุ่นนี้ถือว่าเป็นการเปิดตัวครั้งแรกในเมืองไทย แถม
พ่วงด้วยครั้งแรกในเอเซีย ที่สำคัญถือเป็นการเผยโฉมครั้งแรกในโลก ทั้ง Colorado และตัวถัง Open Cab ของ
Ranger
แน่ละ หากเป็นกลุ่มรถกระบะ Compact Truck แล้ว ประเทศไทย ถือว่าเป็นตลาดใหญ่ที่สุด รองลงไปก็เป็นบราซิล
(ส่วนสหรัฐอเมริกา จะถือเป็นตลาดใหญ่สุด เมื่อรวม Full Size Truck เข้าไปด้วย) ดังนั้นเมืองไทยจึงเป็นประเทศ
ที่มีความสำคัญมากสำหรับผู้ผลิตรถกระบะทุกราย วิศวกรของทุกค่ายเองก็เห็นความสำคัญ เลยพยายามพัฒนารถรุ่น
ใหม่ๆ ให้มีศักยภาพในการขับขี่ที่ดีขึ้นกว่าเดิม มีขนาดห้องโดยสารใหญ่กว่าเดิม นั่งและขับสบายกว่าเดิม มีสารพัด
อุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากกว่าเดิม ทน แกร่ง แลเะลุยได้สมบุกสมบันกว่าเดิม อีกทั้งยังต้องแรงและประหยัด
กว่าเดิม
Ford Ranger ใหม่ ก็เช่นเดียวกัน คราวนี้ Ford เปิดตัว Ranger ใหม่ พร้อมกันในไทยถึง 3 ตัวถังรวด ทั้งแบบมาตรฐาน
แบบ Open Cab และ Double Cab อีกทั้งยังมีรุ่นย่อยต่างๆ มากถึง 5 รุ่น มีพื้นที่ห้องโดยสาร และกระบะท้ายใหญ่สุด
ในบรรดารถกระบะพิกัดเดียวกัน
สำหรับรุ่น OPEN CAB หรือที่บางประเทศเรียกว่าแร็บ (Rear Access Panels – RAP) หรือ Super Cab เป็นนวัตกรรม
ที่ฟอร์ดนำเสนอเป็นครั้งแรกในฟอร์ด เรนเจอร์ ที่วางจำหน่ายเมื่อปี 2002 ซึ่งนับเป็นการเปิดตัวรถกระบะแบบ 4 ประตู
ที่มีความโดดเด่นเป็นพิเศษเนื่องจากผู้ใช้งานสามารถเข้าสู่ห้องโดยสารได้อย่างสะดวกสบาย ด้วยบานแค็บที่เปิดกว้าง
ออกไปยังฝั่งซ้ายและขวา พร้อมการป้องกันความปลอดภัยจากการชนด้านข้าง ด้วยโครงสร้างตัวถังนิรภัยที่ถูกนำมาใช้
แทนเสาหลังคากลาง B-Pillar ซึ่งมีอยู่ในรุ่น Double Cab ทั่วไป มีให้เลือกทั้งรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ หรือ 4 ล้อ อีกทั้งยังมี
ระดับความสูงให้เลือก 2 ระดับ โดยรุ่นขับเคลื่อนแบบ 2 ล้อ Hi-Rider ใช้โครงสร้างตัวถังเดียวกันกับรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ
Ford Ranger ใหม่ จะได้รับการผลิตขึ้นจากโครงสร้างตัวรถกระบะระดับโลกของฟอร์ดที่มีความแข็งแกร่งสูง เพียง
Platform เดียว แทนการใช้โครงสร้างตัวถัง 2 Platform เหมือนเช่นที่เป็นอยู่ใน Ranger รุ่นปัจจุบัน (เวอร์ชันผลิตใน
ไทย ขายทั่วโลก ส่วนเวอร์ชันอเมริกาเหนือ ขายใน ทวีป อเมริกาเหนือและใต้)
รถรุ่นใหม่จะผลิตขึ้นที่โรงงานในประเทศไทย แอฟริกาใต้ และอาร์เจนติน่า เพื่อจำหน่ายในกว่า 180 ประเทศทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม Ranger ใหม่ ได้รับการออกแบบและพัฒนาในประเทศออสเตรเลียในฐานะรถกระบะคันแรกที่พัฒนาขึ้น
จากการทำงานภายใต้กลยุทธ์ One Ford ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการผลิตสินค้าระดับโลกที่นำเอาความรู้ความเชี่ยวชาญ
จากวิศวกรของ Ford ทั่วโลกมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
“การทำงานภายใต้กลยุทธ์ One Ford ทำให้เราสามารถนำเสนอรถกระบะที่ยอดเยี่ยมคันนี้ เนื่องจากทีมวิศวกรในประเทศ
ออสเตรเลียสามารถนำความเชี่ยวชาญของฟอร์ดทั่วโลกมาใช้ รวมถึง สถานที่และเทคโนโลยีในการทดสอบรถ และที่สำคัญ
ที่สุดคือ การเข้าถึงองค์ความรู้โดยรวมของฟอร์ดในการนำเสนอรถกระบะสไตล์แกร่งที่แท้จริง” จิม บอมบิค ผู้อำนวยการ
ด้านวิศวกรรม ฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและแอฟริกา กล่าว
กระจกบังลมหน้าได้รับการออกแบบให้ทำมุมเอียงไปด้านหลังมากขึ้นเพิ่มความสปอร์ตและความ
โฉบเฉี่ยวให้กับรูปทรงโดยรวม ขณะที่เหลี่ยมมุมต่างๆ ที่มักจะปรากฏให้เห็นในรถกระบะรุ่นก่อนๆ
ได้ถูกลดทอนลงให้ดูทันสมัยและสอดคล้องกับหลักแอโรไดนามิกมากขึ้น ไฟหน้าและกระจกหน้า
ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น พร้อมด้วยขอบกระทะล้อแบบไม่แยกชิ้นช่วยเสริมรูปลักษณ์ให้ลงตัวสำหรับทุกรุ่น
และยังช่วยให้รถมีความดุดันและให้ความรู้สึกสปอร์ตยิ่งขึ้น
รุ่นที่น่าจับตาคือ Ford Ranger WildTrak เติมความสปอร์ตเพิ่มขึ้นอีกขั้นด้วยโทนสีตัดกันบริเวณ
ด้านหน้าที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งนักออกแบบได้ใช้เส้นสายสีดำคาดตรงกลางด้านหน้าตัวถังและตัดสี
ด้วยการไฮไลท์ช่องลมด้านล่าง นอกจากนี้ ยังใช้การเน้นสีแบบเดียวกันบริเวณกระจกมองข้าง
มือจับประตู และช่องลมด้านข้างตัวถัง เพิ่มความรู้สึกเท่ในแบบสปอร์ตที่เข้มยิ่งขึ้น
“รูปโฉมที่ดุดันของ WildTrak และลวดลายกราฟิกใหม่ เป็นการออกแบบที่ลงตัวสำหรับผู้ที่ชื่นชอบ
ความสปอร์ตและภาพลักษณ์ที่หรูหราขึ้น ไม่ว่าจะใช้ขนรถ ATV หรือบรรทุก Jetski ไปขับเล่นใน
วันหยุดก็ดูลงตัวในทุกด้าน” Kreg Metros หัวหน้าทีมนักออกแบบ Ford Ranger ใหม่ กล่าว
Ranger WildTrak มาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว แร็คหลังคาและโครงหลังคาด้านหลังแบบสปอร์ต
ที่ช่วยเสริมมุมมองด้านข้างให้โดดเด่น ตราสัญลักษณ์ WildTrak และการออกแบบลวดลายกราฟิกสุด
พิเศษ นับเป็นจุดเด่นที่ทำให้ Ranger WildTrak แตกต่างจากรถเพื่อการใช้งานในชีวิตประจำวันอื่นๆ
ด้วยความยาว 5,359 มม. และกว้าง 1,850 มม.Ranger ใหม่ จึงดูบึกบึนมากขึ้น ขณะเดียวกัน ยังคงเป็น
รถที่ผู้ใช้งานสามารถขับขี่ไปบนถนนแคบๆ และบังคับทิศทางเพื่อเข้าจอดได้อย่างง่ายดาย ซึ่งเป็นผล
จากการตอบสนองที่ดีเยี่ยมของระบบพวงมาลัยที่มีระยะหมุนไม่เกิน 3.5 รอบ
ทีมออกแบบของ Ford ยังได้ออกแบบเส้นสายด้านข้างตัวถังให้สูงขึ้นอย่างมาก และยกขอบกระบะ
ให้สูงขึ้น เพิ่มประโยชน์ใช้สอยด้วยพื้นที่เก็บของที่ลึกมากขึ้น สำหรับรุ่นตัวถังแบบธรรมดาและแบบ
OPEN CAB มีขนาดพื้นที่บรรทุกของด้านหลังใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับรถในระดับเดียวกันที่ 1.85
ลูกบาศก์เมตร และ 1.45 ลูกบาศก์เมตร ตามลำดับ ขณะที่รุ่นดับเบิ้ลแค็บมีขนาดความจุอยู่ในระดับต้นๆ
ของตลาดที่ 1.21 ลูกบาศก์เมตร
บริเวณเหนือซุ้มล้อของกระบะท้ายได้รับการขยายให้กว้างขึ้นเพื่อรองรับการวางสิ่งของที่มีความยาว
ตลอดความยาวของกระบะ ช่วยให้เจ้าของรถสามารถบรรทุกแผ่นไม้หรือแผ่นยิปซั่มได้โดยสะดวก
ขณะที่ในบางประเทศมีการติดตั้งระบบจัดการสัมภาระที่ยืดหยุ่นได้มาก ทำให้จุดที่ใช้ยึดสิ่งของกับ
ท้ายรถสามารถปรับระดับความลึกได้แทนที่จะเป็นจุดยึดสิ่งของแบบตายตัว ผู้ขับขี่จึงสามารถจัดการ
สัมภาระให้ลงตัวได้ง่ายยิ่งขึ้น
ห้องโดยสาร สวยงามและทันสมัย เพียบพร้อมด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ปกติจะพบได้ใน
รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเท่านั้น พื้นผิวสัมผัสภายในห้องโดยสารได้รับการออกแบบใหม่โดยใช้วัสดุ
ที่มีความทนทานต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน และยังดูดีมีคุณภาพ สำหรับรุ่นพื้นฐานใช้เบาะ
ไวนิลช่วยให้ดูแลรักษาง่าย ขณะที่รุ่นสูงขึ้นไปมีการตัดขอบด้วยผ้าและหนังเป็นตัวเลือก โดยวัสดุ
ที่ใช้ใน Ranfger ใหม่ ทั้งหมดล้วนผ่านการทดสอบความทนทานเพื่อใช้งานในเชิงพาณิชย์แล้วทั้งสิ้น
“เราพัฒนาวัสดุที่มีความแข็งแรงแต่ไม่แข็งกระด้าง ทั้งยังดูสวยงาม มีคุณภาพ และมีประสิทธิภาพ
ในการใช้งานได้ดี”Peter Jones ผู้จัดการฝ่ายงานออกแบบภายในห้องโดยสาร กล่าว “ดังนั้นจึงกล่าว
ได้ว่า Ranger ใหม่ จะทำให้คุณรู้สึกเหมือนเป็นเจ้าของรถยนต์นั่งส่วนบุคคลด้วยการออกแบบและ
การตกแต่งเบาะนั่งที่ดูดีและสะดวกสบาย ขณะเดียวกัน ก็มีความทนทานมากพอสำหรับการใช้งาน
อย่างเต็มที่”
ช่องเก็บของต่างๆ มีมากถึง 23 จุดในรุ่น Double Cab ซึ่งนับว่าเยอะสุดในบรรดาคู่แข่งทั้งหมด
แถมยังมีกล่องเก็บของกลางคอนโซลที่ลึกมาก พื้นที่ในกล่องมากที่สุดเมื่อเทียบกับรถกระบะ
ในระดับเดียวกัน ด้วยความจุ 8.5 ลิตรและสามารถบรรจุกระป๋องเครื่องดื่มได้มากถึง 6 กระป๋อง
ทั้งยังสามารถเก็บความเย็นได้ในรุ่นที่มีการต่อท่อแอร์เข้าไปยังกล่องดังกล่าว
กล่องเก็บของด้านหน้าฝั่งผู้โดยสาร มีขนาดใหญ่พอสำหรับการบรรจุเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา
ขนาด 16 นิ้ว ขณะที่ช่องเก็บของด้านข้างประตูสามารถใส่ขวดน้ำขนาด 1.5 ลิตรได้ นอกจากนี้
ยังมีพื้นที่สำหรับวางโทรศัพท์เคลื่อนที่และของกระจุกกระจิกอื่นๆ บริเวณตรงกลางคอนโซล
รวมทั้งพื้นที่อื่นๆ ซึ่งอยู่ในระยะที่ผู้ขับสามารถเอื้อมถึงได้ ขณะที่ใต้เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหลัง
มีช่องเก็บของซ่อนอยู่ เหมาะสำหรับการเก็บเครื่องมือต่างๆ ที่สามารถจะหยิบใช้ได้ง่าย
ไม่เพียงเท่านั้น บางรุ่นยังสามารถเชื่อมต่อการสื่อสารผ่าน Bluetooth USB และเครื่องเล่น iPod
อีกทั้งยังมีระบบควบคุมการสั่งการด้วยเสียง สำหรับวิทยุ CD iPod USB และระบบเครื่องปรับ
อากาศแบบอัตโนมัติ ทั้งร้อนหรือเย็น และโทรศัพท์เคลื่อนที่ รวมทั้งระบบควบคุมความเร็วคงที่
Cruise Control แสดงผลผ่านหน้าจอสีขนาด 5 นิ้ว อีกทั้งยังมีระบบนำทางผ่านดาวเทียม หรือ
Navigation System ในบางรุ่น อีกทั้งยังมี ระบบกล้องมองภาพด้านหลัง (Rear View Camera
System) ติดตั้งมาให้อีกด้วย
Ranger ใหม่ จะมีเครื่องยนต์ให้เลือก 3 ขนาด อย่างที่เคยรายงานไป ทั้งแบบ Diesel Duratorq
บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.2 ลิตร Commonrail Turbo 150 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 376
นิวตันเมตร ตามด้วยเครื่องยนต์ในรุ่นท็อป เป็นเครื่องยนต์แปลกในบรรดารถกระบทั่วไป คือ
เป็นแบบ Diesel 5 สูบ DOHC 20 วาล์ว 3.2 ลิตร Conmmonrail Turbo แรงมหาศาลเกินกว่าใคร
ถึง 200 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 470 นิวตันเมตร เบนซิน Duratec 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว แบบ
2.5 ลิตร 166 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 226 นิวตันเมตร และสามารถติดตั้งระบบก๊าซ LPG ได้
อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย สูงสุดเมื่อเทียบกับคู่แข่งในระดับเดียวกัน โดยรุ่นขับเคลื่อนแบบ 2 ล้อมี
ความประหยัดเฉลี่ย 9.8 ลิตร / 100 กิโลเมตร ขณะที่รุ่นเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.2 ลิตร ประหยัด
น้ำมันเฉลี่ยที่ 7.6 ลิตร / 100 กิโลเมตร ในรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ ส่วนรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล 3.2 ลิตร
มีอัตราสิ้นเปลืองที่ 9.6 ลิตร / 100 กม. ในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ความประหยัดขนาดนี้ และถังน้ำมัน
ใหญ่ จุได้ถึง 80 ลิตร Ranger ใหม่บางรุ่น จึงสามารถขับได้ระยะทางมากกว่า 1,000 กิโลเมตร กว่า
จะเติมน้ำมันแต่ละครั้ง นอกจากนี้ เครื่องยนต์ทุกรุ่นของ Ranger ใหม่ ยังมีการปล่อยก๊าซคาร์บอน
ไดออกไซด์อยู่ในระดับเดียวกับมาตรฐานที่เข้มงวดที่สุดของประเทศต่างๆ ที่จะวางจำหน่าย
Ford Ranger ใหม่ นับเป็นรถกระบะคันแรกที่ติดตั้งระบบส่งกำลังเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ใหม่ ที่
ได้รับการปรับจูนให้การขับขี่ที่นุ่มนวล เปลี่ยนเกียร์ได้อย่างรวดเร็วจนผู้ขับขี่แทบจะไม่รู้สึกถึงการ
เปลี่ยนเกียร์ แบบเดียวกับรถยนต์นั่งส่วนบุคคล อีกทั้งยังมาพร้อมโหมดบวก-ลบ เพื่อให้สามารถ
เล่นเกียร์ได้ตามต้องการ อีกทั้งยังสามารถตรวจจับว่ารถกำลังวิ่งอยู่บนเนินที่มีความลาดชันหรือไม่
จากนั้น ระบบส่งกำลังจะใช้เทคโนโลยี Grade Control Logic ในการค่อยๆ ลดเกียร์ลงขณะขับขี่
ลงเนินเพื่อเพิ่มแรงเบรกจากระบบส่งกำลังเมื่อรถตรวจจับได้ว่าผู้ขับกำลังเหยียบเบรก
Ranger เครื่องยนต์ Diesel จะมีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา และเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ขณะที่รุ่น
เครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร จะติดตั้งระบบเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน โดยระบบ
ส่งกำลังและอัตราทดเกียร์ได้รับการปรับจูนใหม่เพื่อให้เหมาะกับการเหยียบคันเร่งอย่างสนุกสนาน
มอบการประหยัดน้ำมันเป็นเลิศ รวมทั้งความเงียบภายในห้องโดยสาร
เฟรมแชสซีเป็นแบบใหม่ ระบบกันสะเทือนใหม่ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง รวมทั้งระบบพวงมาลัย
ใหม่แบบแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงไฮโดรลิก ช่วยให้ผู้ขับขี่ รู้สึกสบายขึ้น เหมือน
ขับรถเก๋ง ไม่จำเป็นต้องใช้แรงมากมายในการบังคับทิศทางของรถ
ระบบกันสะเทือนด้านหลังของเรนเจอร์ ใหม่ ได้รับการปรับจูนให้เหมาะกับการขับขี่ในสภาพถนน
หลากหลายรูปแบบ และรองรับการบรรทุกน้ำหนักมากๆ ทั้งยังช่วยให้การทรงตัวดีเยี่ยมเมื่อขับด้วย
ความเร็วสูงบนพื้นดิน ช่วยลดการส่ายของรถ และช่วยให้รถไม่ลื่นไถลเมื่อขับบนพื้นผิวที่ขรุขระ
นอกจากนี้ การปรับตั้งระบบกันสะเทือนที่เป็นเอกลักษณ์ ยังรวมถึงการพัฒนาสปริงและโช้คให้
มอบความสบายยิ่งขึ้นเพื่อตอบสนองต่อการขับขี่บนถนนที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อ เช่นในประเทศไทย
ที่สำคัญ Ranger ใหม่ บางรุ่นสามารถลากจูงน้ำหนักได้สูงสุดถึง 3,350 กิโลกรัม มากสุดในบรรดา
รถกระบะพิกัดเดียวกัน (อีกแล้ว จะเยอะไปไหนเนี่ย?)
วิศวกรของฟอร์ดยังค้นพบวิธีการอันชาญฉลาดในการเก็บซ่อนชิ้นส่วนที่สำคัญให้พ้นจากอันตราย
เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถตะลุยไปได้แม้ในเส้นทางสุดโหด จุดต่ำสุดของรถอยู่สูงจากพื้นสูงสุดถึง 241
มิลลิเมตร ซึ่งเป็นผลจากการยกชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบส่งกำลังขึ้นไปอยู่ด้านบนคานเหล็กของ
โครงสร้างตัวถัง ทั้งชุดเกียร์ ถาดน้ำมัน และอุปกรณ์สำคัญอื่นๆ จึงได้รับการปกป้องอย่างปลอดภัย
เพื่อเพิ่มศักยภาพในการลุยน้ำของ Ranger ใหม่ อุปกรณ์ไฟฟ้าชิ้นหลักๆ และชุดดักอากาศภายใน
ห้องเครื่องจึงถูกยกให้สูงขึ้น ช่วยให้สามารถลุยน้ำได้ลึกกว่ารถกระบะอื่นๆ สำหรับรุ่นขับเคลื่อน
แบบ 4 ล้อและรุ่นขับเคลื่อนแบบ 2 ล้อ Hi-Rider สามารถลุยน้ำได้สูงสุด 800 มิลลิเมตร นับเป็น
ความสูงระดับแถวหน้าของรถในกลุ่มนี้
อีกทั้งยังมีการติดตั้งระบบ Hill Launch Assist ทำให้แม้แต่รถที่บรรทุกน้ำหนักมาก ซึ่งอาจมีน้ำหนัก
รวมบรรทุกหนักเต็มพิกัดถึง 3,200 กิโลกรัม ก็ยังสามารถหยุดและออกตัวอีกครั้งได้บนถนนที่มีความ
ลาดชันถึง 60% ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่รถกระบะทั่วๆไปจะสามารถทำได้
เมื่อต้องขับลงจากเนินที่มีความลาดชัน ระบบ Hill Descent Control จะทำงานอัตโนมัติช่วยเสริม
แรงเบรกและลดความเร็วของรถโดยไม่ทำให้เบรกล็อก และผู้ขับขี่ไม่จำเป็นต้องเหยียบเบรกแ
ต่อย่างใด การควบคุมการทำงานจึงเป็นไปอย่างง่ายดาย และมอบประสบการณ์ขับขี่ที่เหนือชั้น
เมื่อเทียบกับคู่แข่งอื่นๆ
Ranger ใหม่ รุ่นขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ ได้รับการติดตั้งห้องเกียร์เสริม (Transfer Case) ที่มีความ
ทนทาน ทั้งในรุ่นระบบส่งกำลังแบบเกียร์ธรรมดาและเกียร์อัตโนมัติ ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยน
จากการขับเคลื่อนแบบ 2 ล้อเป็นแบบ 4 ล้อได้ทุกเวลา (Shift on the fly) ด้วยปุ่มควบคุมบนคอนโซล
ที่ใช้งานได้อย่างง่ายดาย สำหรับบางรุ่น ผู้ขับขี่สามารถเลือกเฟืองท้ายแบบ Limited Slip หรือระบบ
Electronic locking rear differential เพื่อช่วยลดอาการล้อหมุนฟรี
นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยีช่วยปกป้องความปลอดภัยก่อนการชนเพื่อช่วยลดอุบัติเหตุ โดยมีระบบควบคุม
เสถียรภาพแบบอิเล็กทรอนิกส์ (ESP : Electronic Stability Program) ที่จะเพิ่มแรงเบรกและลดแรงบิดของ
เครื่องยนต์เพื่อลดการปัดของล้อ และบรรเทาอาการท้ายปัดหรือดื้อโค้งขณะขับขี่บนถนนลื่นๆ หรือเมื่อ
ผู้ขับจำเป็นต้องเปลี่ยนเลนกระทันหัน
ระบบ ESP ใน Ranger ใหม่ ยังประกอบด้วยเทคโนโลยีย่อยต่างๆ อาทิ ระบบ Trailer Sway Control ที่จะ
คอยจับการเคลื่อนไหวของ รถพ่วงที่ผู้ขับนำมาพ่วงท้ายว่ามีการแกว่งหรือไม่ และหากพบอาการดังกล่าว
ระบบจะเพิ่มแรงเบรกเข้าไปยังล้อเพื่อลดการแกว่งของส่วนพ่วงท้าย ด้านระบบ Adaptive Load Control
ช่วยให้ผู้ขับขี่รักษาเสถียรภาพของรถได้แม้ในขณะบรรทุกน้ำหนักมาก ระบบ Roll-over Mitigation จะ
คอยตรวจจับความเร็วของรถ การเร่งด้านข้าง และองศาของพวงมาลัย ซึ่งเมื่อรถมีแนวโน้มว่าจะเสียสมดุล
ระบบจะเข้าแทรกแซงการทำงานเพื่อลดความเสี่ยงของการพลิกคว่ำ
ระบบ ESP ของเรนเจอร์ ทำงานได้อย่างดีในการขับขี่แบบ Off Road เช่นเดียวกัน ด้วยการปรับการควบคุม
การทำงานของเครื่องยนต์และเบรกเพื่อช่วยรักษาเสถียรภาพของรถ และจะไม่แทรกแซงการทำงานโดย
ไม่จำเป็นเมื่อรถวิ่งบนถนนที่ขรุขระ สำหรับรุ่นขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อนั้น ผู้ขับขี่สามารถปิดการทำงาน
บางส่วนของระบบ ESP ได้ เพื่อลดการควบคุมอาการท้ายปัดและการดื้อโค้ง รวมทั้งการลดแรงบิดของ
เครื่องยนต์ แต่ระบบจะยังคงแทรกแซงการทำงานของเบรกเพื่อลดอาการล้อหมุนฟรี การปรับตั้งการทำงาน
แบบนี้เหมาะสมที่สุดสำหรับการขับขี่บนพื้นทรายหนาๆ หรือบนพื้นที่ปกคลุมด้วยโคลนมากๆ เพื่อช่วย
รักษาสมดุลของรถและให้การควบคุมที่แม่นยำ
ระบบเบรกแบบหน้าดิสก์ หลังดรัม ตามมาตรฐานของรถกระบะทั่วไป แต่มีขนาดจานเบรกและดุมล้อ
ขนาดใหญ่ที่สุดในตลาดปัจจุบัน รวมทั้งยังติดตั้งระบบป้องกันล้อล้อก ABS (Anti Lock Braking System)
และระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake Force Distribution เสริมการทำงานของล้อหลังเมื่อมี
การบรรทุกน้ำหนักที่แตกต่างกันและระบบช่วยเพิ่มเบรกฉุกเฉิน Brake Assist พร้อมระบบ Gravel Road
Logic ในระบบ ABS ช่วยลดระยะในการเบรกขณะขับขี่บนพื้นถนนที่ลื่น ซึ่งพบเห็นได้บ่อยครั้งในบาง
ประเทศที่มีถนนแบบไม่ลาดยางจำนวนมาก นอกจากนี้ Ranger ใหม่ ยังมีระบบสัญญาณไฟฉุกเฉิน หรือ
Hazzard Light Signal ที่จะติดกระพริบขึ้นมาเองอัตโนมัติเพื่อเตือนรถคันที่ตามมาด้านหลังทันทีที่ผู้ขับขี่
เบรกกระทันหัน ไม่เพียงเท่านั้น
ด้านความปลอดภัย Ranger ใหม่ ยังคงสานต่อความเป็นผู้นำ ในการรักษาชีวิตของผู้ใช้รถกระบะ เหมือน
เช่นที่เคยทำมากับรถรุ่นก่อนๆ คราวนี้ใช้โครงสร้างรูป 6 เหลี่ยม ภายใต้ฝากระโปรงหน้า เพื่อลดความเสี่ยง
จากการบาดเจ็บบริเวณศีรษะของผู้เดินถนน หากเกิดอุบัติเหตุขึ้น กันชนหน้า ยังออกแบบให้ช่วยดูดซับ
แรงกระแทกได้อีกด้วย โครงสร้างตัวถังที่ใช้เหล็กที่มีความแข็งแรงสูงพิเศษตลอดทั้งคัน เพื่อปกป้องความ
ปลอดภัยของผู้โดยสารในกรณีที่เกิดการชน ขณะที่เฟรมตัวถังใหม่ช่วยลดความแรงจากการกระแทกได้
การใช้แบบจำลองในคอมพิวเตอร์ที่มีความทันสมัย ช่วยให้วิศวกรของ Ford สามารถทดสอบการชนแบบ
เสมือนจริง (Virtual Reality) ได้มากกว่า 9,000 ครั้งก่อนที่จะสร้างรถต้นแบบขึ้นมาเพื่อทดสอบการชนจริงๆ
ระบบคอมพิวเตอร์แบบเสมือนจริงจึงมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ทีมวิศวกรสามารถทดสอบการชนใน
รูปแบบต่างๆ ได้อย่างรอบด้าน มากกว่าการทดสอบการชนจริงแบบทั่วไป
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการติดตั้ง ถุงลมนิรภัยตามจุดต่างๆ ของรถที่จะมีความแตกต่างกันในแต่ละประเทศ
ที่วางจำหน่าย อย่างไรก็ตาม คราวนี้ จะถือเป็นครั้งแรกที่มีการติดตั้ง ม่านถุงลมนิรภัย (Curtain side Aitbag)
ในทุกตัวถังเป็นครั้งแรก โดยถุงลมนิรภัยเหล่านี้จะถูกบรรจุไว้บริเวณขอบหลังคา ขณะเกิดการชนด้านข้าง
ถุงลมนิรภัยเหล่านี้จะพองตัวขึ้นเพื่อรองรับการกระแทกบริเวณศีรษะของผู้โดยสารที่นั่งอยู่ติดกับประตู
ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง โดยครอบคลุมทั้งโครงสร้างตัวถังและส่วนที่เป็นกระจก จากบริเวณเสาหน้า
(A-pillar) ไปจนถึงเสาหลัง (C-pillar) ของรถ
ขณะเดียวกัน ยังมี ถุงลมนิรภัยด้านข้างสำหรับผู้โดยสารด้านหน้า ติดตั้งบริเวณด้านข้างของเบาะเพื่อปกป้อ
งบริเวณลำตัวเมื่อเกิดการชนจากด้านข้าง นอกจากนี้ เรนเจอร์ ใหม่ ยังมาพร้อมถุงลมนิรภัยด้านหน้าสำหรับ
ผู้ขับขี่ และผู้โดยสารด้านหน้า ตามความคาดหวังของผู้บริโภค
ตรึงผู้ขับขี่ และผู้โดยสารด้วยเข็มขัดนิรภัยแบบสามจุดพร้อมระบบดึงกลับอัตโนมัติสำหรับผู้โดยสารทุกที่นั่ง
และระบบลดแรงกระแทกจากการเบรกสำหรับผู้โดยสารด้านหน้า มีสัญญาณเตือนให้คาดเข็มขัด BeltMinder
มาให้ในทุกรุ่น
เพื่อความมั่นใจด้านความทนทานต่อการใช้งาน Ranger ใหม่ ได้ผ่านการทดสอบอย่างเข้มข้นในหลายประเทศ
ทั่วโลก เพื่อพิสูจน์ความทรหดทั้งในสภาพภูมิประเทศและสภาพภูมิอากาศสุดโหด ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบขับ
ในประเทศออเสเตรเลีย ดูไบ ประเทศไทย อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ สวีเดน และแอฟริกาใต้ ซึ่ง Ranger ต้อง
ฝ่าฟันทั้งอากาศที่ร้อนจัด หนาวจัด ถนนที่เปียกลื่นในช่วงฤดูฝน การขับบนภูเขาสูง ไปจนถึงการขับฝ่าแม่น้ำ
ที่ไหลเชี่ยว ทะเลทรายอันแห้งผาก และถนนที่เป็นหลุมบ่อ รถต้นแบบของเรนเจอร์ผ่านการเดินทางมาแล้วกว่า
1,000,000 กิโลเมตร ยังไม่รวมถึงการทดสอบอีกมากมายในห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์
อย่างไรก็ตาม เน้นย้ำกันตรงนี้ว่า Ford จะยังไม่พร้อมส่ง Ranger ใหม่ขึ้นโชว์รูมในเมืองไทยในตอนนี้
เนื่องจากว่า การเตรียมสายการผลิตนั้น แม้จะเสร็จแล้ว แต่การทดสอบคุณภาพของรถ ก่อนการผลิตขายจริง
ยังไม่สิ้นสุด และกว่าที่ ทั้ง Ford กับ Chevrolet จะพร้อมเปิดตัวรถกระบะใหม่ของทั้งคู่ จะต้องรอกันไปถึง
ไตรมาส 4 หรือราวๆ เดือนตุลาคม – พฤศจิกายน ก่อนงาน Motor Expo สิ้นปีนี้
เมื่อถึงเวลานั้น เราอาจจะได้เห็น ศึกชนช้าง เปิดตัวชนกัน ของทั้งคู่ อีกรอบ…….
ระหว่างนี้ ถ้าอยากเห็นรถคันจริง ขอแนะนำให้เดินทางไปดูทั้ง Ford Ranger ใหม่ กับ Chevrolet Colorado
ที่งาน Bangkok International Motor Show 2011 ระหว่างวันที่ 25 มีนาคม – 4 เมษายน 2011 ที่ Challenger
Hall IMPACT เมืองทองธานี กันก่อนแล้วกัน
—————————————–///———————————————–