Dacia แบรนด์รถราคาประหยัดสัญชาติโรมาเนียที่อยู่ภายใต้ชายคา Renault group นับตั้งแต่ปี 1999 โดยเปิดตลาดรถยนต์ที่มีราคาเข้าถึงได้ โดยจะมีวางจำหน่ายเพียงไม่กี่รุ่น ได้แก่ Sandero Sandero Stepaway Jogger และรถ SUV อย่าง Duster ที่ได้ฤกษ์เปิดตัวรุ่นเปลี่ยนโฉมในฐานะเจเนอเรชั่นที่ 3 โดยอ้างอิงงานออกแบบจากรถต้นแบบรุ่น Bigster ที่เปิดตัวในปี 2021 โดยสังเกตเห็นได้ถึงชิ้นงานพลาสติกที่เสริมภาพลักษณ์ตัวลุยมากยิ่งขึ้น พร้อมด้วยเส้นสายที่ทันสมัย โลโก้แบรนด์ใหม่โดดเด่นบริเวณกระจังหน้า พร้อมด้วยช่องดักลมแนวตั้งทรงเหลี่ยม ปิดท้ายด้วยไฟหน้าติดตั้งไฟ LED รูปตัว Y

 

ขณะที่ด้านข้างมาพร้อมมือเปิดประตูคู่หลังแบบซ่อนไว้ที่เสา C และความยาวตัวถังกว่า 4,343 มิลลิเมตร ที่ยังคงเท่ากับรุ่นก่อนหน้า แต่ถูกสร้างขึ้นบนงานวิศวกรรมพื้นฐาน CMF-B platform ที่หยิบยกมาจากบริษัทแม่ ทำให้มีพื้นที่เก็บสัมภาระเพิ่มขึ้นเป็น 472 ลิตร พร้อมด้วยพื้นที่สำหรับวางขาสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง และหากใครยังไม่พอใจกับพื้นที่เก็บสัมภาระเท่านี้ ยังสามารถเลือกติดตั้งแร็คหลังคาเพิ่มเติมที่สามารถรับน้ำหนักได้มากสุด 80 กิโลกรัม

 

ภายในมาพร้อมการตกแต่งด้วยวัสดุตัวลุยแบบดิบ ด้วยพลาสติกแข็งสีแปลกตา แต่มาพร้อมความคงทนตลอดอายุการใช้งาน พร้อมด้วยการลดต้นทุนเพื่อกดราคาตัวรถให้สามารถแข่งขันได้เช่นเดิม แต่ไม่ลดทอนเส้นสายที่ทันสมัยออกไป พร้อมหน้าจอมาตรวัดผู้ขับขี่ขนาด 7 นิ้ว และหน้าจอกลางแสดงผลความบันเทิงขนาด 10.1 นิ้ว ที่ติดตั้งเยื้องเข้าหาผู้ขับขี่ มาพร้อมช่องเสียบ USB จำนวน 4 ตำแหน่ง และการเชื่อมต่อ Android Auto และ Apple CarPlay แบบไร้สาย ติดตั้งลำโพงจำนวน 6 ตำแหน่ง

 

สิ่งที่ทาง Dacia ยังคงทิ้งเอาไว้แม้จะเป็นรถเจเนอเรชั่นใหม่ก็ตาม ได้แก่ ปุ่มควบคุมระบบปรับอากาศแบบดั้งเดิม พร้อมด้วยปุ่มกดบนพวงมาลัย พร้อมด้วยการออกแบบให้มีตะขอและหูเกี่ยวในหลายตำแหน่ง เพิ่มความสะดวกยามใช้งานได้อย่างดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะสายออกท่องเที่ยวสุดสัปดาห์หรือสายช๊อป ทั้งนี้ ยังมีแพ็คเกจเตียงนอนแบบพับเก็บได้ให้เลือกติดตั้ง ที่มาพร้อมโต๊ะพับและพื้นที่เก็บสัมภาระ โดยทั้งหมดนี้จะสามารถจัดเก็บไว้ที่ห้องสัมภาระด้านท้าย โดยไม่รบกวนพื้นที่เบาะนั่งแถวหลังแต่อย่างใด

 

ขุมพลังเป็นที่น่าสนใจว่า ทางค่ายได้ถอดเครื่องยนต์ดีเซลออกจากไลน์อัพ และแทนที่ด้วยขุมพลังใหม่ เบนซิน Hybrid 140 ที่มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ความจุ 1.6 ลิตร ไร้ระบบอัดอากาศ พ่วงด้วยมอเตอร์ 2 ตัว ทำหน้าที่เป็นเจเนอเรเตอร์ปั่นไฟและสตาร์ทเครื่องยนต์กับมอเตอร์ขับเคลื่อน ให้พละกำลังรวมสูงสุด 140 แรงม้า (PS) จับคู่กับแบตเตอรี่ความจุ 1.2 kWh ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ multi-mode ผ่าน 2 ล้อคู่หน้า

ทั้งนี้ยังมีทางเลือกเครื่องยนต์เบนซิน Duster TCe 130 แบบ 3 สูบ ความจุ 1.2 ลิตร พ่วงระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ พร้อมด้วยระบบ mild-hybrid 48 V และมอเตอร์ขนาดเล็กช่วยลดมลพิษขณะเดินทางด้วยความเร็วต่ำ แต่ก็ยังมาพร้อมแบตเตอรี่ความจุ 0.9 kWh ให้พละกำลังสูงสุด 130 แรงม้า (PS) โดยเคลมว่าสามารถลดปริมาณมลพิษได้ถึง 10% โดยที่ยังคงมีพละกำลังเท่าเดิมกับขุมพลังที่ไม่ได้พ่วงระบบ mild-hybrid ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ พร้อมทางเลือกระบบขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า หรือ 4 ล้อ ที่มาพร้อมโหมดการขับขี่ 5 รูปแบบ ได้แก่ Auto Snow Mud / Sand Off-Road และ Eco พร้อมด้วยระยะต่ำสุดใต้ท้องรถถึง 217 มิลลิเมตร

 

นอกจากนี้ยังมีทางเลือกขุมพลัง 2 ระบบ เบนซิน / LPG รุ่น TCe 100 เบนซิน 3 สูบ ความจุ 1.0 ลิตร พ่วงระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ ให้พละกำลังสูงสุด 100 แรงม้า (PS) ที่ปรับปรุงให้มีพื้นที่ใช้สอยมากยิ่งขึ้น โดยติดตั้งถัง LPG ไว้ที่ใต้ห้องเก็บสัมภาระ ทำให้สามารถจุได้กว่า 50 ลิตร และเมื่อรวมกับถังน้ำมัน ทำให้สามารถวิ่งได้ไกลสุดถึง 1,300 กิโลเมตร

Dacia มีกำหนดวางจำหน่าย Duster เจเนอเรชั่นที่ 3 ในช่วงต้นปี 2024 โดยจะสานต่อตำนานยอดขายถล่มทลายของ 2 รุ่นก่อนหน้า ที่ขายไปได้มากกว่า 2.2 ล้านคัน และยังต้องจับตาดูต่อไปว่าจะถูกนำไปวางจำหน่ายในประเทศใดบ้าง เมื่อพิจารณาจาก 44 ประเทศที่ Dacia ทำตลาดอยู่ในปัจจุบันนี้

ที่มา: Carscoops