ช่วงนี้ค่ายรถอเมริกันหวังผลบุญจากตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือบางประเทศในเอเชียไม่ขึ้นเอาเสียเลย ครั้นจะให้
โทษบุญพาวาสนาก็บอกได้ไม่เต็มปากนักเพราะกรรมมันเกิดขึ้นจากผลของการกระทำมากกว่า ก็เหลือเพียงแค่ยอมรับ
ชะตากรรมแล้วลองพยายามแก้ไขข้อผิดพลาดในอดีตหรือจะยอมแพ้ถอนสมอแต่โดยดี
แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาเลือกจะถอนตัวออกไปมากกว่าจะกลับไปสู้
ล่าสุด Ford Motor ตัดสินใจปิดหน่วยธุรกิจรถยนต์ในประเทศญี่ปุ่นและอินโดนีเซียกลางคันเพราะทางบริษัทได้บอก
เหตุผลว่า “ไม่มีวี่แววที่จะทำกำไร” จากทั้งสองตลาดที่กำลังล้มลุกคลุกคลานกันอยู่
Ford จะถอนสมอธุรกิจออกทั้งหมดรวมถึงการปิดดีลเลอร์, หยุดการขาย, หยุดการนำเข้ารถยนต์ Ford/Lincoln ส่วน
แผนกที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนารถยนต์ในญี่ปุ่นก็จะเคลื่อนย้ายไปยังที่ใหม่
Dave Schoch ประธานแห่ง Ford Motor ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคส่งสาส์นไปถึงพนักงานทุกคนที่ทำงานในประเทศญี่ปุ่น
และอินโดนีเซียถึงสถานการณ์นี้ และแน่นอนว่าพนักงานทั้งสองประเทศจะต้องตกงานกันตามสภาพ
นี่ไม่ได้เป็นครั้งแรกที่บริษัทรถอเมริกันขอถอนสมอออกจากบางตลาดในเอเชีย เมื่อปีที่ผ่านมา GM ก็ยุติการทำตลาด
รถยนต์ในตลาดอินโดนีเซียเนื่องจาก GM มองเห็นว่าศักยภาพของตนเองไม่สามารถช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาดจากค่ายรถ
ญี่ปุ่นได้เลย จนทำให้พนักงาน GM อินโดนีเซีย 500 ชีวิตต้องตกงานอย่างช่วยไม่ได้
อันที่จริงแล้ว Ford Motor เคยตั้งรกรากในถิ่นฐานอาทิตย์อุทัยเมื่อปี 1974 หลังจากนั้นอีก 5 ปีคล้อยหลัง Ford ก็ได้เข้า
ไปถือหุ้นใน Mazda 7% และขยายสัดส่วนเป็น 33.3% ในปี 1996 สาเหตุที่ต้องถอนทัพเพราะว่า Ford ไม่สามารถ
ต้านทานเจ้าตลาดประจำประเทศอย่าง Toyota, Honda และ Nissan และรวมถึงแบรนด์ท้องถิ่นได้เลย
ส่วนตลาดอินโดนีเซียก็เพิ่งรุกตลาดอย่างจริงจังในปี 2002 ปัจจุบันมีจำนวนพนักงานเหลือเพียงแค่ 35 คนมีดีลเลอร์เพียง
45 ราย มียอดขายประจำปี 2015 แค่เพียง 6,000 กว่าคัน ชิงส่วนแบ่งการตลาดเหลือแค่ 0.6% เท่านั้นซึ่งโฆษกหญิง
ประจำตัว Ford เซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีนก็เปิดเผยว่าสาเหตุที่ Ford มียอดขายแค่นี้ก็เพราะ Ford ไม่ได้สร้าง
โรงงานในประเทศอินโดนีเซียจึงไม่มีทางที่จะสู้กับคู่แข่งได้เลย
ถ้า Ford ส่งสัญญาณมาเช่นนี้ก็มีความเป็นไปได้สูงว่า ตลาดที่มีส่วนแบ่งการตลาดย่ำแย่สุด ๆ (ต่ำกว่า 1%) ก็น่าจะต้อง
โดนถอนทัพในไม่ช้า
Ford ทำถูกแล้วหรือยังที่ทิ้งไว้กลางทางแบบนี้? เวลาจะให้คำตอบที่ดีที่สุดแก่พวกเขาเองครับ
ที่มา : Reuters