เวลามีคนถามว่าเวลาไปเที่ยวญี่ปุ่นช่วงไหนสวยที่สุด ทุกคนก็คงจะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าช่วงฤดูใบไม้ผลิ ดอกซากุระเบ่งบาน ทั้งเมืองเต็มไปด้วยสีชมพู
แต่อีก 1 ฤดู ที่เป็นหนึ่งในช่วงที่สวยที่สุดในญี่ปุ่นไม่แพ้กันคือฤดูใบไม้ร่วง ที่ต้นไม้ทั้งประเทศจะค่อยๆ เปลี่ยนสีจากสีเขียว เป็นสีเหลือง สีแดง แล้วค่อยๆ ร่วงลงมาจากต้น
ทำให้พื้นป่าเป็นไปด้วยสีสันที่สวยตระการตา แต่ความงดงามมักจะร่วงโรยไปอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับดอกซากุระ เพียง 1-2 สัปดาห์เท่านั้น ซึ่งการจะไปล่าใบไม้เปลี่ยนสีที่ญี่ปุ่น ก็ต้องใช้การพยากรณ์ล่วงหน้าและดวงชะตาไม่แพ้กัน ส่วนอากาศในช่วงนี้จะเย็นสบายไม่หนาวมาก อุณหภูมิประมาณ 10 – 15 องศา จัดชุดง่ายกระเป๋าไม่หนัก
หลังจากวางแผนล่วงหน้าอยู่หลายเดือน เพื่อคาดเดาช่วงการเริ่มเปลี่ยนสี ภูมิภาคที่จะไปและการเดินทาง จนสรุปได้ที่ช่วงกลางเดือนตุลาคม และภูมิภาคที่ไปครั้งนี้คือ ภูมิภาคโทโฮคุ (Tohoku) เดินทางโดยการเช่ารถขับ!
ที่เลือกการไปล่าใบไม้เปลี่ยนสีที่ภูมิภาคโทโฮคุ เพราะเป็นภูมิภาคที่เป็นป่าเขา มีจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่โด่งดังหลายแห่ง และยังเป็นที่นิยมของชาวญี่ปุ่นในการไปพักผ่อนแช่ออนเซ็น มีบ่อออนเซ็นเก่าแก่และมีชื่อเสียงหลายแห่ง
จากนั้นเริ่มรวบรวมสมาชิกจนครบ ก็เตรียมตัวในการเดินทาง
เริ่มจากการจองตั๋ว เนื่องจากเพื่อนร่วมทริปมีเวลาและวันลาจำกัดทำให้แยกย้ายกันเดินทางจากไทย โดยแต่ละคนบินลงคนละหัวเมือง พร้อมไปรวมตัวกันที่เมืองเซนได เมืองหลวงของจังหวัดมิยางิ และเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคโทโฮคุ
เริ่มจากการจองตั๋วเครื่องบินจากไทย เชื่อว่าหลายท่านน่าจะประสบปัญหาเหมือนผม คือการดอยไมล์การบินไทย (ROP) หลังจากงดเดินทางกว่า 2 ปี ไมล์ที่สะสมไว้ทั้งจากการบินและบัตรเครดิตก็ไม่ได้ใช้ในการแลกตั๋วเครื่องบินในการเดินทาง บางท่านเหลือเป็นแสนไมล์ บางท่านเป็นล้านไมล์ ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น
ปัญหานี้จะไม่เป็นปัญหาใหญ่เพราะว่า ไมล์จะมีหมดอายุ และ ที่นั่งในการแลกไมล์ปล่อยออกมาน้อยมาก ทำให้การแลกตั๋วที่นั่งกลายเป็นสงครามแย่งชิงกันเลยทีเดียว
กดดูตั๋วที่นั่งจนท้อ บังเอิญกดไปเจอที่บินไปลง เมืองฟุกุโอกะ ยังพอมีที่นั่งให้แลก ไม่รอช้ากดแลกตั๋วทันที
ส่วนการเดินทางในประเทศ เราเลือกเดินทางโดยเครื่องบินโดยสายการบิน JAL ช่วงที่ไปทาง JAL มีตั๋วโปรโมชั่นบินในประเทศสำหรับนักท่องเที่ยว JAL Japan Explorer Pass ในราคาเริ่มที่ 5,500 เยน รวมกระเป๋าโหลดเรียบร้อย ทำให้การเดินทางจากฟุกุโอกะไปเซนไดใช้เวลาไม่นานและประหยัดสะดวกกว่าการนั่งรถไฟชินคันเซน

การเช่ารถครั้งนี้เราเลือกใช้บริการของ Toyota Reat a Car เนื่องจากการเดินทางรอบนี้จะเป็นการขับรถข้ามเมือง การรับรถและส่งรถคืนคนละพื้นที่ จึงตั้งใจเลือกผู้ให้บริการที่ครอบคลุมในทุกเมืองทั่วญี่ปุ่น โดย Toyota Reat a Car เป็นหนึ่งในผู้ให้บริการเช่ารถที่ครอบคลุมทั่วญี่ปุ่น มีทุกเมือง สะดวกในการส่งรถคืน
โดยเพื่อนร่วมทริปจะบินมาไม่พร้อมกัน เลยเช่ารถเป็น 2 คัน แบ่งเป็น 2 ช่วง ช่วงแรกผู้ร่วมทริป 3 ท่านเช่าเป็น Toyota Roomy ช่วงที่สอง ผู้ร่วมทริป 5 ท่าน เปลี่ยนรถเป็น Toyota Noah แบบ 7 ที่นั่ง เพื่อสะดวกในการนั่งโดยสารและเก็บกระเป๋าได้ไม่ต้องกังวล
แต่อีก1อย่างที่ห้ามลืมคือทำประกันการเดินทางแอบเลือกบริษัทที่มีCall Centerฉุกเฉิน เพื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดแล้วต้องการคนช่วยที่หรือติดต่อภาษาญี่ปุ่นได้เพื่อความอุ่นใจในการเดินทางตลอดทริปนี้
เมื่อทุกอย่างพร้อม เราก็ต้องเตรียมตัวก่อนเดินทาง โดยเฉพาะใบขับขี่สากล การไปขับรถที่ญี่ปุ่นต้องใช้ใบขับขี่แบบ 1 ปี เล่มสีขาวเท่านั้น แบบสองปีเล่มสีเทาไม่สามารถนำมาใช้ขับขี่ที่ประเทศญี่ปุ่นได้ และในวันรับรถอย่าลืมเตรียมใบขับขี่ตัวจริงของประเทศไทยไปด้วย

DAY1
วันเดินทางเช็คอินเตรียมออกล่าใบไม้เปลี่ยนสี บินออกจากไทยด้วยสายการบิน THAI Airways ไฟลท์ TG 648 ออกจากสนามบินสุวรรณภูมิประเทศไทย 00:50 น. ใช้เวลาบินไปถึงสนามบินฟุกุโอกะประเทศญี่ปุ่น 08:00 น. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมงก็ลงจอด
ด้วยความเหนื่อย นอนรวดเดียวไม่ได้ตื่นมาทานอาหารบนเครื่อง พี่ๆไฟลท์แอทเทนเด้นเห็นเราหลับแบบสลบเลยคงไม่กล้าปลุก สำหรับใครนั่งชั้น BC สามารถแจ้งได้ว่าจะให้ปลุกมารับประทานอาหารไหม แต่ ณ เวลานั้น ผมห่วงนอนมากกว่า ไฟลท์นี้ใช้เวลาบินน้อย กลัวนอนไม่พอ……

บินลงไฟลท์เช้า การจราจรทางอากาศยังไม่หนาแน่นมาก ผ่านตม. รับกระเป๋าและออกจากสนามบินใช้เวลาไม่เกิน 30 นาที
เนื่องจากเรามาก่อนเพื่อนร่วมทริปก่อน 1 วัน เลยมีเวลาท่องเที่ยวรอบๆ เมืองฟุกุโอกะก่อน โดยข้อดีของการมาพักที่เมื่องฟุกุโอกะคือสนามบินอยู่ใกล้ตัวเมืองมาก โรงแรมที่เข้าพักคืนนี้ อยู่ในย่านใจกลางเมืองบริเวณย่านช้อปปิ้งเทนจิน (Tenjin Ward) ซื้งระยะทางจากสนามบินไม่ถึง 5 กิโลเมตร นั่ง TAXI ไม่เกิน 2,500-3,000 เยน ถ้ามากัน 3-4 คนแนะนำ Taxi เลย สะดวกกว่ารอรถบัสหรือรถไฟเยอะ

หลังจากเข้าไปฝากกระเป๋าและเติมกาแฟให้กระแสเลือดเรียบร้อย ก็พร้อมออกท่องเที่ยว สถานที่แรกที่จะไปในวันนี้คือวัดนันโซอิน(Nanzoin Temple, 南蔵院) (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/ExeDtKYXf5jAQMn98)
วัดนันโซอิน อยู่ห่างจากตัวเมื่องฟุกุโอกะพอสมควร นั่งรถไฟจากสถานีรถไฟย่านใจกลางเมืองประมาณ 30 นาที โดยตัววัดอยู่บนเขา ต้องใช้เวลาเดินจากสถานีรถไฟ Kido Nanzoin-mae Station ประมาณ 5 นาที บริเวณวัดเต็มไปด้วยป่าที่ล้อมรอบตัววัดให้ความสงบร่มรื่น ใครจะเข้าไปวัดต้องแต่งกายสุภาพ

และที่โดดเด่นจนเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและเป็นจุดถ่ายรูปที่มีความโดดเด่นคือ พระพุทธไสยาสน์ทองสัมฤทธิ์ หรือ พระนอนขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีความยาวถึง 41 เมตร ความสูง 11 เมตร และหนักถึง 300 ตัน ภายในองค์พระนอนเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากประเทศเมียนมา เชื่อว่าหากได้ไปกราบไหว้แล้วก็จะเป็นสิริมงคลแก่ผู้ที่กราบไหว้
และว่ากันว่าเงินที่ใช้ในการสร้างนั้นมาจากเจ้าอาวาสที่ชนะล็อตเตอรี่หลายครั้ง รอบนี้เราเลยไม่พลาด แอปกระเป๋าตังค์พร้อมกดซื้อเลยชุดใหญ่!!!!!!
หลังจากหมดค่าสลากกินแบ่งรัฐบาลไปหลายพัน เอ้ย! กราบไหว้จนจิตใจสงบก็พร้อมเดินทางต่อ แต่เนื่องจากสถานที่ต่อไปต้องไปช่วงเย็นดังนั้น Shopping Time!

เดินซื้อของรอบๆ ย่านเทนจินจนหมดแรงเอาของไปเก็บที่โรงแรมเรียบร้อย ก็ขึ้นรถไฟทันที วัดต่อไปคือศาลเจ้ามิยะดาเคะ (Miyajidake Shrine,宮地嶽神社)(พิกัด : https://maps.app.goo.gl/EqybmRrrd9tTpcrr5)
นั่งจากสถานีรถไฟใจกลางเมืองไปยังสถานีรถไฟ Fukuma Station และจะมีตัวเลือกโดยการนั่งรถบัสต่อไปยังศาลเจ้า แต่ด้วยเวลานั้นสี่โมงเย็นแล้วเราเลยตัดสินใจนั่ง TAXI เพื่อให้ไปทันพระอาทิตย์ตกดิน
รถ Taxi ไปถึงหน้าทางเข้าศาลเจ้า ผู้คนเต็มทางเข้าและบันไดทางขึ้น นักท่องเที่ยวต่างจับจองที่นั่งเพื่อชมวิวพระอาทิตย์ดินในบริเวณศาลเจ้าแห่งนี้ โดยมีชื่อเรียกว่า “Hikari no Michi” หรือ เส้นทางแห่งแสง (Path Of Light)
จุดชมวิวนี้ถือเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดินที่สวยที่สุดแห่งนึงในญี่ปุ่น โดยวันที่สวยที่สุดของปีจะมี 2 ช่วง คือกุมภาพันธ์ และตุลาคม โดยแต่ละช่วงจะมีแค่ 7 วันเท่านั้น ที่พระอาทิตย์จะตกลงโดยลอดเสาโทริอิ ช่วงที่เราไปเป็นช่วงนั้นพอดี ทำให้มีนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะคนญี่ปุ่นมาชมเป็นจำนวนมาก

รอจนพระอาทิตย์ตกลงน้ำ เสียงระฆังวัดก็เคาะดังสนั่น จากนั้นผู้คนก็แยกย้านเดินทางกลับ ความสำคัญของศาลเจ้ามิยะดาเคะไม่ได้มีเพียงวิวเท่านั้น แต่ยังเป็นศาลเจ้าที่ผู้คนมักจะมาขอพรก่อนออกเดินทางไปค้าขายให้โชคดีและทำการค้าสำเร็จ
ได้เวลากลับ บริเวณหน้าศาลเงียบสนิท ไม่มี Taxi ให้เรียกต้องรอรถบัสและต่อรถไฟกลับเข้าตัวเมือง ใช้เวลาร่วม 1 ชั่วโมง

มาถึงตัวเมืองเกือบ 3 ทุ่ม …. หิวสิครับ พร้อมหาอะไรอุ่นๆ ทานก่อนเข้านอนฝันดี
อุตส่าห์อยู่ในเมืองต้นกำเนิดของทงคตซึราเมง(น้ำซุปกระดูกหมู) หาร้านทันทีสรุปลองจัดร้าน Shin-Shin Ramen (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/5qvE15FFyVsE1iNQ9)
Shin – Shin Ramen เป็นหนึ่งใน 5 ร้านดังของเมืองฟุกุโอกะ โดยเราเดินไปสาขาหลักแต่ดันปิดเลยเดินไปสาขาที่อยู่ในห้าง PARCO
จัดไปสูตรสำเร็จ ราเมน ข้าวผัด เกี๊ยวซ่า สั่งมาครบ
ทงคตซึราเมงมาอย่างรวดเร็ว น้ำซุปกระดูกหมูแลดูข้นคลั่ก มันลอย ซดน้ำซุปทดสอบ…… น้ำซุปกลมกล่อมรสอ่อนๆ ไม่เข้มเหมือนหน้าตา ตามด้วยเส้นนุ่มกำลังดี หมูชาชูหมักเกลือ รสธรรมชาติ โดยรวมออกรสเบาๆ ซดคล่องๆ เน้นรสธรรมชาติของวัตถุดิบไม่ปรุงแต่งจนมีอะไรโดด กลมกล่อมพอดี
ตามด้วยเข้าผัด เม็ดข้าวร่วนๆ กลิ่นหอมกระทะ ทานคู่กันเข้ากันกำลังดี สุดท้ายเกี๊ยวซ่า อร่อยมาตรฐาน
เป็น ทงคตซึราเมง ที่เบากว่าที่คิด เหมาะกับทานก่อนนอน ไม่หนักท้อง ให้ความสดชื่นมากกว่าความหนักแน่น ถ้าใครเมาๆ มาได้ราเมนนี้สักถ้วยก่อนนอนจะเป็นการปิดท้ายวันที่ลงตัว
จบไป 1 วัน รีบเข้านอนพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า !!!!

DAY2
นาฬิกาปลุก 6 โมงเช้าล้างหน้าเก็บของเตรียมเดินทาง…..แต่เที่ยวบินวันนี้เป็นช่วงบ่าย ช่วงเช้าเลยไปเที่ยวเล่นในเมืองอีกสักนิด
ของขึ้นชื่อของเมืองฟุกุโอกะอีกอย่างหนึ่งที่ไม่มีใครไม่พูดถึงคือ ไข่ปลาเมนไทโกะ (Mentaiko) หรือไข่ของปลาคอด ซึ่งจะไปนำไปหมักกับพริกและเครื่องปรุงรส มีร้านดังอยู่ร้านหนึ่งที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว และเป็นร้านที่เปิดตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า

เช็คเอาท์ฝากกระเป๋าที่โรงแรมเรียบร้อย เดินจากโรงแรมไปไม่ไกลมาก ก็ถึงร้าน Ganso Hakata Mentaiju,元祖博多めんたい重(พิกัด : https://maps.app.goo.gl/VPKXSbDWQREckB347)
ร้านขายไข่ปลาเมนไทโกะในเมืองฟุกุโอกะมีเป็นหลายร้อยร้าน แต่ร้านนี้เป็นหนึ่งในร้านที่ได้รับการพูดถึงกันมากที่สุด ด้วยการตกแต่งร้านที่โดดเด่นทั้งภายนอกโดยใช้ไม้และภายในใช้โทนสีดำตัดกับไม้ ให้ความรู้สึกอบอุ่นและเงียบสงบ แต่คนเต็มร้าน ไปถึง 7.30 น.ต้องต่อคิวแล้ว!!!
ถึงคิวเข้าร้านสั่งเมนูแนะนำชุดใหญ่ Han Men Sui Set(3,718เยน) จะประกอบด้วย
-Mentaiju ข้าวหน้าไข่ปลาเมนไทโกะ ประกอบด้วยไข่ปลาเมนไทโกะชิ้นใหญ่วางอยู่บนข้าวที่โรยด้วยสาหร่าย ทานคู่กับซอสราด……กัดไปคำแรก เค็มนำ และ เค็มตาม สรุปเค็มมาก ต้องตามข้าวไปเยอะๆ แต่ที่โดดเด่นคือกลิ่นหอมไข่และและเครื่องเทศปรุงรส น้ำซอสช่วยเพิ่มความกลมกล่อม
-Mentai Nikomi tsukemen ทสึเคเมนคือราเมนแบบจุ่ม โดยน้ำผสมไข่ปลาเมนไทโกะ จุ่มกับเส้นอุด้ง เส้นเหนียวนุ่มหนึบ เนื่องจากเส้นไม่ได้แช่ในน้ำซุปทำให้ไม่เละ เส้นเด้งสู้ฟัน ผสมกับกับน้ำซุปที่มีไข่ปลาให้ความเค็มและหอมมาก เป็นเมนูที่อร่อยมาก
-และปิดท้ายด้วยน้ำซุปไข่ปลารสเบาๆ เชงๆ ช่วยเพิ่มความสดชื่น
ต่อด้วยของหวาน พุดดิ้ง (748เยน) ราดซอสคาราเมล และเจลลี่คาราเมล เป็นเมนูปิดท้ายที่ดีมาก

เดินออกมานอกร้านเหมือนเป็นลานกว้างสวนสาธารณะ เห็นคนต่อคิวยาวไม่รู้ร้านอะไรไปต่อคิวก่อน สรุปเป็นร้านคาเฟ่และเบเกอรี่ Pain Stock Tenjin (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/Rbon2G9ccbPANg2E7)
ถึงคิวเข้าไปในร้าน ขนมปังกลิ่นหอมน่าทานเต็มไปหมด จัดเสบียงในช่วงบ่ายไปถุงใหญ่

หนังท้องตึง หนังตาก็เริ่มหย่อนทันที นั่งรถไฟไป 1 สถานี จะพบกับร้านกาแฟชื่อแปลกๆ Fuk Coffee(พิกัด :https://maps.app.goo.gl/6vsTGDbbrjUMo4SR6)
ร้านกาแฟชื่อแปลก ที่ใช้ตัวย่อของสนามบิน Fukuoka ในการตั้งชื่อร้าน กาแฟดีขนมอร่อย คนเต็มร้านเช่นเดิม

ใกล้เวลาขึ้นเครื่อง เพื่อไปจุดนัดหมายของวันนี้ นั่ง Taxi ไปสนามบิน สนามบินฟุกุโอกะ จะแยกเป็น 2 เทอร์มินอล บินในประเทศและระหว่างประเทศ จะอยู่ตรงข้ามกัน เวลาเรียก Taxi อย่าลืมแจ้งคนขับ
ถึงสนามบินพร้อมเช็คอิน เดินทางด้วยสายการบิน Japan Airlines เที่ยวบิน JL3537 บินจากสนามบินฟุกุโอกะ ลงที่สนามบินเซนได ใช้เวลาเดินทาง ประมาณ 2 ชั่วโมง
บินลงสนามบินตามกำหนด เจอกับเพื่อนร่วมทริป เดินวนๆ หาเคาน์เตอร์ บริษัทเช่ารถเราToyota Rent A Car เข้าไปคุยพร้อมนำเลขการจองเพื่อตรวจสอบชื่อ จากนั้นพนักงานพาเราไปขึ้นรถบัสรับส่งบริเวณหน้าสนามบิน

เนื่องจากจุดรับรถอยู่นอกสนามบินเลยต้องมีรถของทางบริษัทพามา มาถึงก็เตรียมเอกสารประกอบการเช่ารถได้แต่ Passport,ใบขับขี่สากล,ใบขับขี่ประเทศไทย ให้กับพนักงาน พร้อมตรวจสอบการรับรถพร้อมสอนการใช้งานเบื้องต้นรวมถึงการรับบัตรขึ้นทางด่วน ETC โดยพนักงานจะมีอุปกรณ์ช่วยแปลภาษาให้เข้าใจง่าย ส่วนเราก็ตรวจสอบรอบๆ รถ ดูริ้วรอยต่างๆ ถ่ายรูปเก็บไว้ทุกรอย เพื่อเป็นหลักฐานว่ารอยดังกล่าวเราไม่ได้ทำ
รถที่เรารับมาในวันนี้คือ Toyota Roomy รถทรงกล่องขนาดกระทัดรัดประตูสไลด์ เครื่องยนต์ 3 สูบเทอร์โบความจุ 1,000cc ให้กำลังสูงสุด 98 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 140 นิวตันเมตร พ่วงด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT ขับเคลื่อนด้วยล้อคู่หน้า
ผู้โดยสาร 3 ท่านพร้อมกระเป๋าเดินทางใหญ่ 3 ใบ สามารถไปได้ โดยพับเบาะหลังลง 1 ข้างเพื่อวางกระเป๋า ส่วนผู้ด้วยสารนั่งได้สบายสบาย ทรงกล่องของตัวรถมีพื้นที่เหนือศีรษะ และวางขาได้อย่างเหลือเฟือ
รับรถขับออกมาทันทีเพื่อไปจุดมุ่งหมายของวันนี้คือจังหวัดยามากาตะ Yamagata, 山形市 ด้วยระยะทางประมาณ 80 กิโลเมตรจากสนามบินเซนได ขับขึ้นทางด่วนแล้วตรงอย่างเดียว ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.30 ชั่วโมง

จังหวัดยามากาตะเป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาคโทโฮคุ เป็นจังหวัดที่ยังไม่เป็นที่นิยมในชาวต่างชาติมากนัก แต่มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจหลายที่ โดยเราจะไปในวันพรุ่งนี้ เราขับมาถึงตัวเมืองก็เริ่มค่ำ วันนี้คงต้องเข้าที่พักแต่ก่อนเข้าที่พักขอแวะเติมกระเพาะให้เต็มจะได้หลับสบาย พุ่งไปร้านทันที ร้านที่ได้รับเลือกคืนนี้คือ Yamagyu,焼肉 山牛 山形店 (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/mNjhTyaDgmokytaw9)
ฝากรุ่นพี่ที่อยู่ญี่ปุ่นโทรจองไว้ให้ เข้าไปถึงทันเวลาพานั่งโต๊ะทันที

หนึ่งในของดีจังหวัดยามากาตะคือเนื้อวัวภูเขาอันขึ้นชื่อ ติดท็อปเนื้อที่ดีที่สุดในญี่ปุ่น โดยจะมีเนื้อ 2 สายพันธุ์ที่มีชื่อเสียงในละแวกนี้คือ Yonezawa gyu กับ Yamagata gyu แต่เรามาเมืองยามากาตะ เราจึงลองเนื้อ Yamagata gyu โดยที่ร้านจะมีเป็นเซ็ทให้ได้ลิ้มลองเนื้อในแต่ละส่วน ที่แล่มาอย่างดี โดยสามารถทานได้ 3-4 คนอิ่มสบายๆ แต่ด้วยความหิว สั่งมา 2 เซ็ท อ่านไม่ออกชี้อย่างเดียว
เนื้อมาชุดใหญ่ ถึง 2 ชุด รวมถึงลิ้นที่แล่มาบางและยาวสะใจ เนื้อมีมันแทรกอย่างสวยงาม
เนื้อ Yamagata gyu ดูจากลายของชั้นไขมันแทรกแล้วน่าจะไม่น้อยกว่า A4 ขึ้นไปแน่นอน ย่างลงบนตะแกรงไฟ มันจากเนื้อหยดลงในตะแกรงไฟลุกท่วม กลิ่นเนื้อหอมมากกกก กัดเข้าไปในปากเนื้อนุ่ม บางส่วนที่มันเยอะแทบจะละลายในปาก ถือว่าเป็นเนื้อชั้นดีสมคำร่ำลือจริงๆ จัดไปนึกว่าจะไม่อิ่มพอขึ้นถาดสองเริ่มแย่งกันย่าง เนื้อมันเยอะมากทำให้อิ่มเร็วกว่าที่คิด ทานกันจนจุก
คิดเงินออกมาทานกันสามคนหารกันตกคนละประมาณ 4,xxx เยน ถือว่าราคาไม่แพงเทียบกับคุณภาพของเนื้อ ถ้าทานในเมืองใหญ่จะแพงกว่าเป็นเท่าตัว ร้านนี้แนะนำสำหรับร้าน Yamagyu
อิ่มกันแล้วก็ได้เวลาไปพักผ่อน เตรียมออกเดินทางแต่เช้า……..

DAY3
เก็บของเรียบร้อยพร้อมเดินทาง เปิดเส้นทางใน Google Map แล้วอยากจะทานยาแก้เมารถดักไว้ก่อน เส้นทางวันนี้จะไม่ได้ใช้ทางด่วน เป็นทางเพื่อไปชมธรรมชาติตามจุดต่างๆ โดยผ่านเส้นทางขึ้นและลงเขาซะส่วนใหญ่ กดพิกัดเรียบร้อยจุดหมายแรกที่เราจะไปล่าใบไม้เปลี่ยนสีคือ ภูเขาซะโอ (Mount Zao)
โดยเราขับรถไปที่ Zao Ropeway,蔵王ロープウェイ 蔵王山麓駅 (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/BmXgGy4LsmtG1Q5p9) โดยใช้เวลาขับรถจากตัวเมืองยามากาตะเพียง 20 นาทีก็ถึง โดยกระเช้า จะมี 2 ช่วง 3 สถานีนับจากสถานีต้นทาง ค่าตั๋วนั่งไป-กลับอยู่คนละ 3,500 เยน

ขึ้นกระเช้าจากสถานีแรก Zao Sanroku Station ไปถึงสถานีที่ 2 Juhyo Kogen Station ใช้เวลาไม่นาน อยู่บนกระเช้าประมาณ 10 นาที ออกไปเดินเล่นด้านนอกอากาศเย็นสบายกำลังดี แต่ใบไม้ยังแค่เขียวๆเหลืองๆ เลยตัดสินใจขึ้นต่อเลยดีกว่า นั่งไปอีกประมาณ 10 นาทีก็ถึงสถานีปลายทาง Jizo Sancho Station โดยระหว่างทางที่ความสูงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ใบไม้ก็ค่อยๆ ไล่จากสีเขียวเป็นสีเหลืองสีส้มสีแดงตามลำดับ แต่ใกล้ยอดเข้ามีใบไม้บางส่วนร่วงโรยไปหมดแล้วเป็นที่ๆ สวยงามจริงๆ

ขึ้นมาถึงบนยอดเขาซะโอ ลมแรงมากอากาศเย็น ต้นไม้รอบๆ ใบไม้ร่วงไปหมดแล้ว เดินออกไปนอกสถานี จะมีทางเดินสำหรับคนที่อยากจะเดินป่าเดินเขาในบริเวณนี้ และสามารถเดินลงไปตามสถานีกระเช้าได้เลย บนลานกว้างด้านบนจะเป็นที่ประดิษฐานของ Zao Jizoson รูปปั้นเทพห่มผ้าสีแดงขนาดใหญ่ ที่มีความเชื่อว่าจะคอยปกปักรักษาผู้ที่เดินทางให้มีความปลอดภัย แคล้วคลาดจากภัยพิบัติต่างๆ
หลังดูแผ่นที่เส้นทางขับรถวันนี้แล้ว ดูจากรุ่นรถที่ขับแล้ว เราไหว้ขอพรกันหน่อยดีกว่าเพื่อความปลอดภัยไม่ขับตกเขา……สาธุ

เดินเล่นชมวิวสักนิดก็ได้ไปจุดหมายต่อไป ลงกระเช้าพร้อมขับรถไปต่อ ปากปล่องภูเขาไฟโอคะมะ Okama ,御釜 (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/bRziv6gZTMgzAPbr6) ขับรถบนเส้นทางคดเคี้ยว ขึ้นลงเป็นระยะ ชวนเมารถ ถึงจะโค้งขึ้นเขาแต่ความลาดชันของถนนสามารถขับผ่านได้ง่าย กำลังรถเครื่องความจุขนาด 1,000cc 95 แรงม้าขับขึ้นไปได้อยางสบาย ช่วงลงเข้าลากเกียร์ S-B อาศัย Engine Break ช่วยเป็นระยะลดการทำงานของเบรก
ระหว่างทางใบไม้เปลี่ยนสีเป็นสีส้มสวยงามเกินจะอดใจไหว รถจอดสองข้างทางกันเป็นระยะ ถ่ายรูปกันตลอดทาง จนไปถึงจุดหมายปากปล่องภูเขาไฟโอคะมะ มีที่จอดรถกว้างขวาง

เดินจากจุดจอดรถไปประมาณ 10 นาทีก็จะถึงปากปล่องภูเขาไฟโอคะมะ Okama คำว่า Okama แปลว่ากระทะด้วยลักษณะของหลุมที่คล้ายกระทะ บนปากปล่องจะมีทะเลสาบสีฟ้าสวยงาม โดยทะเลสาบแห่งนี้มีฉายาว่าทะเลสาบ 5 สี โดยในแต่ละช่วงเวลาของวันเมื่อแสงพระอาทิตย์กระทบผิวน้ำ สีของน้ำจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ โดยบริเวณนี้เราสามารถเดินเทรคไปตามแนวเทือกเขาซะโอ เชื่อมต่อกันหมดตามสถานีกระเช้าที่เราผ่านมา
เดินถ่ายรูปกันสักพักคิดว่าเราต้องไปต่อกันแล้ว เนื่องจากลมแรงมากกว่าที่คิด เสื้อผ้าไม่ค่อยพร้อมกันเท่าไหร่ได้รูปแล้วไปต่อกันดีกว่า วันนี้ต้องไปคืนรถช่วงบ่าย ดูจากเส้นทางแล้วน่าจะทำเวลามากไม่ได้

ขับรถออกมาประมาณชั่วโมงกว่าใกล้เที่ยงเริ่มหิวกันแล้ว กดหาร้านอาหารระหว่างทางเจอร้านที่น่าสนใจจะได้พักรถพักคนขับสักหน่อย กับร้าน Buna no Mori,ぶなの森 (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/cy2XGTrqAzG3m7gy7) ร้านชานเมืองอาหารสไตล์ยุโรปในบรรยากาศแบบญี่ปุ่น เหมือนหลุดเข้าไปในหนังการ์ตูน Ghibli Studio บรรยากาศอบอุ่นผ่อนคลาย เปิดเมนูดูตาม IG ก็จัดเมนูแนะนำ พิซซ่า แฮมเบิร์ก และกราแตง
อาหารรสอ่อนไม่จัดจ้าน ทานง่ายเหมาะเป็นร้านอาหารสำหรับทุกเพศทุกวัย ใครได้ผ่านแนะนำ แต่อาหารอาจจะรอนานนิดนึง ร้านแนวธรุกิจครอบครัว พนักงานทั้งร้านน่าจะไม่เกิน 3-4 คน

จัดไป1อิ่ม ขับรถต่อกลับไปที่สนามบินเซนได เพื่อไปเปลี่ยนรถและรับสมาชิกเพิ่มที่ตามที่นัดหมาย แวะเติมน้ำมันกลับเต็มถังก่อนส่งรถ ขับไปถึง Toyota Rent A Car สาขา Sensai Airport พร้อมคืนรถและยื่นเอกสารการจองรถคันถัดไป Toyota Noah รถ MPV แบบ 8 ที่นั่ง เครื่องยนต์ 3 สูบเทอร์โบความจุ 2,000cc ให้กำลังสูงสุด 152 แรงม้าที่ 6,100 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 193 นิวตันเมตร พ่วงด้วยเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i ขับเคลื่อนด้วยล้อคู่หน้า สำหรับผู้ร่วมทริปจำนวน 5 ท่านพร้อมกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ 5 ใบ แถวที่นั่งแบบ 2-3-3 พับเบาะแถวหลังสุดใส่กระเป๋าได้สบายๆ

โทรศัพท์ดังเพื่อนอีก 2 ท่านเดินทางมาถึงเรียบร้อย ขับรถไปสนามบินทันที รีบรับและรีบไปต่อเพราะต้องเดินทางต่อกว่า 200 กิโลเมตร!!! ขับรถวิ่งจากสนามบินเซนไดขึ้นทางด่วนยิงยาว ใช้เวลาประมาณ 2.30 ชั่วโมงก็ถึงเมืองโมริโอกะ Morioka City ไปถึงก็ค่ำแล้วทุกคนเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ทั้งบินมาจากไทย และขับรถทั้งวันตั้งแต่เช้า
เลยเข้าโรงแรมพักผ่อน จอดรถที่โรงแรมเรียบร้อย ออกไปหาอะไรทาน กดดูของดีเมืองโมริโอกะ จนไปเจอร้านนี้ SEIROUKAKU,盛楼閣
ร้านเนื้อย่างสไตล์เกาหลี คิวยาวพอสมควรรอประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึงคิว เป็นเนื้อย่างเกาหลีเหมือนกับบ้านเรา สั่งเป็นชุดสั่งเครื่องเคียง แต่เนื้อย่างไม่ใช่สิ่งที่เราอยากลองชิม ที่อยากลองคือโมริโอกะเรเมน เป็นบะหมี่เย็นที่มีต้นกำเนิดจากทางตอนเหนือของเกาหลี นิยมทานหลังการทานเนื้อย่าง โดยจะเป็นบะหมี่เย็นใส่ผลไม้ มีทั้งแบบเผ็ดและไม่เผ็ด รสแปลกเข้ากันแบบงงๆ ทั้งน้ำซุปกับผลไม้ ทานแล้วสดชื่นดี อิ่มแล้วพร้อมกลับไปนอน…..

DAY4
ตื่นมายามเช้าพร้อมคำเตือนจากกรมอุตุฯ เตือนเรื่องมีพายุเข้ามาจากจีน จะทำให้ทีฝนหนัก 3 วัน และอุณหภูมิจะลดอย่างรวดเร็ว ….. นั่นไงวันที่ออกล่าใบไม้เปลี่ยนสีจริงจัง พายุเข้า!!!! แต่มาถึงแล้วก็ต้องไปต่อ ออกมาเดินหากาแฟแถวๆ โรงแรม เพิ่มความสดชื่น ฝนก็เริ่มตกต้อนรับทันที ได้ถ่ายแค่วิวแม่น้ำคิตาคามิ กับภูเขาไฟอิวาเตะที่โดนเมฆฝนบดบัง แต่วันนี้เราขับขึ้นเขาอิวาเตะคงจะได้รับฝนเต็มๆ ซื้ออุปกรณ์กันฝนเพิ่มก่อนเดินทางต่อ

ขนของขึ้นรถพร้อมเดินทาง ขับออกจากตัวเมืองโมริโอกะมุ่งสู่หุบเขาอิวาเตะ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึงจุดหมายแรก Goshogake Onsen,後生掛温泉 (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/WfkV7CG2ZB289JjU6)
ระหว่างทางที่ขับขึ้นเขา ต้นไม้เริ่มเปลี่ยนสีเป็นระยะๆ ทำให้วิวสองข้างทางตื่นตาตื่นใจ ขับเข้าไปที่จุดบ่อออนเซ็น เปิดประตูรถได้กลิ่นกำมะถันแรงเตะจมูก พร้อมไอน้ำที่ลอยขึ้นบนฟ้าเห็นมาแต่ไกล ทางเข้าจะมีโรงแรมออนเซ็นสามารถจองเข้าพักได้ แต่เราไม่พัก เข้ามาเดินชมบ่อโคลนผุด รอบๆ บรรยากาศดีแต่กลิ่นกำมะถันแรงจนเวียนหัว ทุกคนเลยสรุปว่าไม่ต้องเดินไปสุด ถ่ายรูปเช็คอินพอ
Goshogake Onsen เป็นที่นิยมในหน้าหนาวเดินฝ่าหิมะไปชมบ่อโคลนผุด จุดเด่นของบ่อน้ำพุร้อนนี้คือน้ำมีอุณหภูมิสูงถึง 98 องศา และมีแร่ธาตุที่มีประโยชน์เป็นจำนวนมาก จึงเป็นบ่อน้ำพุที่ได้รับความนิยมในละแวกนี้

ขับออกรถออกจากจุดนี้ แวะจุดถ่ายรูปยอดนิยม 後生掛駐車場公衆トイレ (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/jeSQzfPdC93i6NBx6) เป็นลานจอดที่เดินขึ้นมาริมถนนเป็นมุมถ่ายรูปที่สวยมากมุมหนึ่งในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี โดยจะเป็นโค้งถนนที่อยู่กลางดงของต้นไม้สีสดใส ถ้าได้ฟ้าใสจะสวยกว่านี้!!!!!

จุดหมายต่อไป ขับต่อไปไม่ไกล Hachimantai Onuma pond,八幡平大沼 (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/b4TmZ4TjDWasLiBA7) เป็นบ่อน้ำธรรมชาติที่ล้อมไปด้วยต้นไม้พร้อมทางเดินรอบบ่อน้ำ มีไกด์พาเดินชมเข้าไปติดต่อได้ที่ Hachimantai Visitor Center อยู่ที่ลานจอดรถเลย ลงจากรถพร้อมฝนที่เทลงมาพายุที่พัดแรงจนร่มพับไปหลายรอบ ตัดสินใจลองเดินไปหน้าบ่อน้ำแต่ลมกับฝนแรงเกินจะต้านทาน ขอยอมแพ้ ขับรถไปจุดหมายต่อไป

ที่จะไปต่ออยู่ห่างประมาณ 70 กิโลเมตร แต่ด้วยถนนแคบและเป็นเส้นทางขึ้นลงเขาเป็นระยะ ตลอดเส้นทางในเขตหุบเขาอิวาเตะ ใบไม้เปลี่ยนสีเต็มที่ ขับรถชมต้นไม้สองข้างทางจนผ่านช่วงหุบเขาลงไปยังถนนเลียบแม่น้ำ ผ่านเขื่อน Tamagawa Impounding Dam,玉川ダム จนมาถึงทางแยกเลี้ยวไปที่ ทะเลสาบทาซาวะ Lake Tazawa,田沢湖 ก่อนเข้าไป แวะเข้าห้องน้ำซื้อข้าวเที่ยง เตรียมไปปิกนิคริมทะเลสาบ

ทะเลสาบทาซาวะ คนญี่ปุ่นเรียกว่า ทาซาวะโกะ ตั้งอยู่ในเมืองเซมโบกุ จังหวัดอาคิตะ จังหวัดบ้านเกิดของโนะฮะระ ฮิโระชิ พ่อของชินจังนั่นเอง……ไม่เกี่ยว! ทะเลสาบทาซาวะขนาดใหญ่ที่รอบทะเลสาบมีระยะทางถึง 20 กิโลเมตร และเป็นที่อยู่ของรูปปั้นหญิงงามทัตสุโกะ Tatsuko Statue,たつこ像 (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/QMuxKEJobun1gP1X7) ตำนานทัตสุโกะ เธอคือหญิงงามที่รับไม่ได้กับความชรา จึงไปขอพรกับเจ้าแม่กวนอิม เจ้าแม่ได้บอกให้เธอไปดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่บ่อทางตอนเหนือซึ่งก็คือน้ำจากทะเลสาบ หลังจากดื่มเธอก็กลายร่างเป็นมังกร จากนั้นมังกรสาวทัตสึโกะก็ได้พบรักกับมังกรหนุ่มจากทะเลสาบโทวาดะ เรื่องน่ารักคือทุกฤดูหนาวมังกรหนุ่มจะมาหาทัตสึโกะที่ทะเลสาบทาซาวะ ทำให้ทะเลสาบโทวาดะกลายเป็นน้ำแข็ง ส่วนทะเลสาบทาซาวะไม่เคยเป็นน้ำแข็งเลยเพราะมีความอบอุ่นจากความรักของทั้งคู่ แต่ในความเป็นจริงสาเหตุที่ไม่กลายเป็นน้ำแข็งก็เพราะว่า ทะเลสาบทาซาวะลึกเกินไปนั่นเอง โดยทะเลสาบทาซาวะเป็นทะเลสาบธรรมชาติที่ลึกที่สุดในญี่ปุ่นด้วย
นั่งชมความงามอยู่ที่ลานจอด เนื่องจากฝนตกหนักมาก ทานข้าวพักกันบนรถ วิ่งลงไปเก็บภาพเล็กน้อยก็ต้องวิ่งกลับทั้งหนาวทั้งเปียก ไปต่อดีกว่า ไว้มีโอกาสจะกลับมาใหม่นะ

คืนนี้เราจะไปพักที่หมู่บ้าน Nyuto Onsen ที่มีชื่อเสียงคือออนเซ็นที่มีน้ำสีน้ำนมธรรมชาติ ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีโรงแรมแบบเรียวกังทั้งหมด 7+1 เราเข้าไปพักหนึ่งในโรงแรมในหมู่บ้านนี้คือโรงแรม Kyukamura Nyuto Onsen,休暇村 乳頭温泉郷 (พิกัด :https://maps.app.goo.gl/moFXA1gE6b9YqqsB9) เป็นโรงแรมออนเซ็นที่ทันสมัย มีห้องแบบนอนเตียงกับนอนพื้นให้เลือก โรงอาบน้ำขนาดไม่ใหญ่มาก แต่มีโซนบ่อแช่นอกอาคาร
และพิเศษสำหรับผู้ที่เข้าพักในโรงแรมหมู่บ้านนี้ สามารถซื้อบัตร Yumeguri-Cho เพื่อเข้าไปแช่บ่อออนเซ็นทั้ง 7+1 ของหมู่บ้านได้บ่อละ 1 ครั้ง ใครรักในการแช่ออนเซ็นน่าจะถูกใจ มีรถบัสรับส่งระหว่างโรงแรม แต่แนะนำขับรถไปเองจะสะดวกที่สุด
เข้าไปเช็คอินเก็บของพร้อมแช่น้ำอุ่นคลายเหนื่อย และรับประทานอาหารเย็นแล้วก็ …….. หลับ

DAY5
เช้าแล้วแสงแดดสาดส่อง รู้สึกมีความหวัง แอบขอให้คำพยาการณ์อากาศของญี่ปุ่นไม่แม่นสักครั้ง ขอให้ฝนไม่ตกแดดออกฟ้าใส หลังจากทานข้าวเช้าที่โรงแรมพร้อมเดินทาง ไปถ่ายรูปเล่นก่อนไปเที่ยวชมบ่อออนเซ็นอื่นๆ

ออกจากโรงแรมจุดหมายที่อยากไปชมคือ Tsurunoyu Onsen,乳頭温泉郷 鶴の湯温泉 (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/WD9Rj2Dx1NVPdnePA) เป็นเรียวกังที่มีความเก่าแก่ที่สุดในหมูบ้าน Nyuto Onsen สร้างมาตั้งแต่สมัยเอโดในปีค.ศ.1650 เป็นเวลาเกือบ 400 ปี จอดรถหน้าทางเข้าก็รู้สึกถึงความเก่าทันที เดินเข้าไปจะมีห้องพักเรียงกันสองข้างทาง ซึ่งมีผู้เข้าพักจริง ปลายทางจะเป็นบ่อออนเซ็นกลางแจ้ง สีน้ำนมขาวอมฟ้า แต่มีคนแช่อยู่จึงไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพ เลยได้แต่ถ่ายบรรยากาศๆ รอบเรียวกัง ฝนก็ยังมาตกต่อตามคำพยาการณ์อากาศ วันนี้ขับข้ามเมืองด้วย ดังนั้นไปต่อดีกว่า

ระหว่างขับไปเมืองต่อไป จะเห็นป้ายเตือนระวังหมีตลอดทาง และเส้นทางที่เราขับมาจากฮาจิมันไต ฝนถล่มจนปิดทางห้ามเข้า โชคดีที่เรามาตั้งแต่เมื่อวาน วันนี้เราขับมาอีกทาง บนช่วงขับขึ้นเขาอิวาเตะ ฝนก็ยังหนักต่อเนื่อง จนขึ้นในจุดที่สูงขึ้นเรื่อยๆ กระจกรถฝ้าขึ้น มองอุณหภูมิที่รถ ข้างนอกอากาศ 1 องศา มองอีกทีทางข้างหน้าขาวโพลน มองทางเกือบไม่เห็นจนจอดรถพักที่พักรถสักครู่ …….. หิมะตก!!!!!
ระหว่างตื่นเต้นกับหิมะหนัก สีขาวของหิมะตัดกับใบไม้สีส้มสวยประทับใจ แต่ในความสวยนั้น……… ยางรถเราที่เช่ามาไม่ได้ใส่ยางหน้าหนาววววว

หลังจากสาวๆ วิ่งไปถ่ายรูป คนขับนั่งเช็ดกระจก เปิดไล่ฝ้ากระจกจนเคลียร์ พร้อมออกเดินทาง กลัวหิมะจะตกหนักกว่านี้แล้วจะยิ่งขับยาก รีบไปต่อดีกว่า แต่ใช้ความเร็วลดลงหน่อย เพิ่มความระวังก่อนเข้าโค้งมากขึ้น จนหลุดช่วงภูเขาจากหิมะก็กลายเป็นฝนปกติค่อยสบายใจหน่อย

ขับต่อไปประมาณ 1 ชั่วโมงหิวข้าว ต้องแวะหาอะไรทานสักหน่อย เวลา ณ ตอนนั้นก็ปาไปบ่ายสอง ร้านอาหารในยานชนบทของญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะเปิด-ปิดเป็นรอบและรอบบ่ายส่วนใหญ่จะเปิดบ่ายสอง คนในรถวุ่นหาร้านกันจนเจอ ร้านอาหารญี่ปุ่นติดกับสถานีรถไฟ เมืองฮาจิมันไต ขับไปถึงร้าน 食事処 あんべ (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/d8YqmZyBMqjiR2XUA) เหมือนดูจะเป็นร้านใหญ่ของเมืองนี้
สั่งอาหารแบบสุ่มๆ เพราะเมนูภาษาญี่ปุ่นล้วน สั่งเรียบร้อยเจ้าของร้านเข้ามาชวนคุย บอกไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเท่าไหร่ และก็บอกว่าช่วงนี้ปกติฝนไม่น่าจะตกและหนาวแบบนี้ อากาศปีนี้แปรปรวนจริงๆ อาหารอร่อยดี รสชาติญี่ปุ่นมากๆ เค็มนำ และเน้นความหอม แต่ถือว่าอร่อยใช้ได้ใครได้ขับผ่านมาแถวนี้แนะนำครับ เติมพลังแล้วไปต่อ

ขับไปอีกสักพักก็ถึงจุดหมายของวันนี้ ทะเลสาบโทวาดะ Lake Towada,十和田湖 (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/VbsGhyAtbocmPtsQ6) ก่อนจะลงไปที่ทะเลสาบ ก็แวะตามจุดถ่ายรูป ที่สามารถเห็นวิวจากด้านบนได้สวย โดยจะมี 2 จุดหลักๆ ดังนี้
-พิกัด1 : https://maps.app.goo.gl/2o28NW3tM6nq29kc6
-พิกัด2 : https://maps.app.goo.gl/djY3w75TYtASrp187

แต่เนื่องจากไปถึงเย็นและฝนยังตกไม่เลิก มติในรถจึงให้เข้าโรงแรมเลย เพราะฟ้าเริ่มมืดแล้วไปแช่ออนเซ็นดีกว่า
โรงแรมคืนนี้ของเรา Hotel Towadaso,ホテル十和田荘 (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/5qJcPwbvmzuVtxq39) โรงแรมขนาดใหญ่มีออนเซ็นให้แช่ โรงแรมใหญ่ ห้องเยอะ คนพักก็เยอะเช่นกัน แช่ออนเซ็น ทานข้าว แล้วเข้านอน พรุ่งนี้ต้องออกเช้าและไปเทรคกิ้งเดินป่าด้วยขอเก็บแรงก่อน

DAY6
ตื่นแต่เช้าด้วยความสดชื่นพร้อมออกเดินทาง วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ ดูจากคนเข้าพักโรงแรมแล้วรีบออกหน่อยดีกว่า แต่ขอแวะเติมพลังก่อนหาคาเฟ่สวยๆ ดื่มกาแฟ แวะร้านนี้ Towadako Marineblue,十和田湖マリンブルー (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/SjTNEwHwWtyg2LxWA) ร้านคาเฟ่ริมทะเลสาบวิวสวยริมน้ำ มาถึงก่อนเวลาเปิดร้านประมาณ 15 นาทีแต่เจ้าของร้านใจดีเปิดให้สั่งเครื่องดื่มและขนมได้ มาเที่ยวในแถบนี้ สิ่งที่ห้ามพลาดคือแอปเปิล ผลไม้ขึ้นชื่อของเมืองแถบนี้ ที่ร้านก็มีขนมดังประจำร้านด้วยพายแอปเปิลชั้นใหญ่ เดินออกไปถ่ายรูปรอบๆ ร้านสักหน่อยได้เวลาไปต่อ

จุดมุ่งหมายหลักของวันนี้ คือ โออิระเสะ Oirase Stream,奥入瀬渓流 หนึ่งในเส้นทางเดินป่าชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น โดยเส้นทางการเดินจะเดินตาม ลำธารโออิระเสะ มีระยะทางประมาณ 14กิโลเมตร โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวอย่างเราก็ต้อง…….ขับรถไป
โดยตลอดเส้นทางในจุดถ่ายรูปหลักๆ จะมีที่จอดรถสำหรับใครที่อยากลงไปถ่ายรูปตามน้ำตก หรือจุดที่มีความสวยงาม โดยจะมีจุดพักสำหรับผู้มาเดินมาพร้อมที่จอดรถ มีห้องน้ำและร้านอาหารให้บริการพร้อม

ที่มา : https://www.japan.travel/national-parks/parks/towada-hachimantai/see-and-do/oirase-trail/

จุดถ่ายรูปหลักๆ ที่เราแวะจอดมี 3 จุดหลักๆ คือ
-พิกัดที่1 น้ำตกน้ำตกโชชิ,銚子大滝(奥入瀬渓流) : https://maps.app.goo.gl/v3sEgBjJEgHBEgZE9
-พิกัดที่2 น้ำตกชิราอิโตะ โทวาดะ,白糸の滝 : https://maps.app.goo.gl/sM7a6GSbcJtKPpfNA
-พิกัดที่3 Ishigedo Kyuukeijo Rest Area,石ヶ戸休憩所 : https://maps.app.goo.gl/PRxJaGA7Z9udXVRN7
วันนี้พอจะมีแสงแดดสาดส่องลงมาบ้าง เดินถ่ายรูปได้พอสมควร อากาศดี ใบไม้กำลังเริ่มจะเปลี่ยนสี ยังไม่แดงเท่าที่ควร ถ้ามาช้ากว่านี้สักหนึ่งอาทิตย์น่าจะสวยกว่านี้ แต่แค่นี้ก็ประทับใจมากๆ

ถ่ายรูปเล่นเดินกันจนเหนื่อยถึงเวลาต้องไปต่อ วันนี้เราต้องขับรถขึ้นไปถึงเมืองอะโอะโมริ และอยากจะไปแวะระหว่างทางแล้วต้องไปคืนรถช่วงเย็นเลยต้องทำเวลาเล็กน้อย ออกจากจุดพักรถขับรถไปถามแนวเขา ความสูงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หิมะก็ตกลงมาอีกครั้ง สลับกับแดดออกเป็นระยะๆ จนถึงจุดจอดพักรถที่มีจุดชมวิวสวยๆ ขอพักสักหน่อย
Sukayu public parking lot,酸ヶ湯公共駐車場 (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/ttyEXqAw3UC5MYBc6) ที่จอดรถกว้างห้องน้ำพร้อม อากาศหนาวหิมะเต็มพื้น เดินไปอีกนิดจะเจอมุมถ่ายรูปสวยที่ Jigokunuma,地獄沼 (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/3mgQcXFp34zbapyE8)วิวสวยไม่ใช่น้อย ได้รูปสวยๆ มาพอสมควร ไปต่อดีกว่า

จุดแวะที่มีมุมสวยที่สุดของวันนี้ไม่แวะจอดไม่ได้ ชมวิวสะพาน Jōgakura Bridge,城ヶ倉大橋 เป็นจุดถ่ายรูปใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยมาก พิกัดจอดรถแนะนำก่อนถึงสะพาน (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/RRrLKo5G257QtFZJ9) มองไปทางไหนใบไม้ก็เปลี่ยนสีส้มสีแดง 360 องศา สวยดังภาพวาด ถ่ายยังไงก็สวย เป็นจุดถ่ายรูปที่ไม่ควรพลาด และเราสามารถเดินไปถึงสะพาน

ถ่ายรูปกันจนหนาว สะพานอยู่ระหว่างร่องเขา ลมแรงขั้นสุด เพื่อนร่วมทริปเริ่มไม่ไหว ไปขึ้นรถเตรียมไปต่อดีกว่า
ขับรถต่อไปอีกไม่ไกล ต้องไปขึ้นเขาสักหน่อย กับ Hakkōda Ropeway,八甲田ロープウェー 山麓駅 (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/jsJL7H3c9aWrVBn97) มาคราวนี้เป็นการล้างแค้น ช่วงปีใหม่ปีก่อนเคยมาเยือนอยู่หนึ่งครั้ง แต่กระเช้าปิดเพราะลมแรงเลยอดขึ้นไปบนยอดเขาฮักโกดะ ดูปีศาจหิมะ (Snow Monster) รอบนี้เลยขอไปดูใบไม้เปลี่ยนสีละกัน
ไปถึงจุดจอดรถ…..วันหยุดทำไมเงียบๆ เดินเข้าไปถาม ….. วันนี้ลมแรงกระเช้าปิด!!!!! สงสัยดวงคงยังไม่ได้ขึ้นภูเขาฮักโกดะ คงต้องมีรอบสาม แผนเปลี่ยนงั้นเข้าเมืองอาโอโมริเลยดีกว่า ไปหาอะไรหม่ำสักหน่อย ขับรถเข้าไปในเมืองอาโอโมริ ไปจอดรถที่โรงแรมฝากก่อนเรียบร้อย ออกไปกินข้าวกันดีกว่า ใกล้เวลาส่งรถ เดี๋ยวไม่ทัน

เดินไปที่เล่นแถวตลาดปลาใกล้โรงแรม Auga Fresh Market,アウガ新鮮市場(พิกัด : https://maps.app.goo.gl/LT1qYnvvNrdc8ipa7) มาเมืองติดทะเล ข้าวด้งปลาดิบต้องเข้า จัดไปชุดใหญ่ 1 อิ่ม จากนั้นก็เดินไปริมทะเลหาซื้อของฝากที่ A-FACTORY (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/Zv8eU1E7o5yqZSeZ9) แหล่งรวมของฝากจากเมืองอาโอโมริและเมืองรอบข้าง จัดของฝากกันเต็มกระเป๋าเพราะใกล้วันกลับแล้ว

ใกล้ถึงเวลาส่งรถขับพาเพื่อนกลุ่มแรกที่ต้องกลับก่อนไปที่สนามบินอาโอโมริ ขับออกไปไม่ไกลเมืองส่งรถคืนที่ Toyota Rent A Car แต่ผมยังไม่กลับเลยนั่งรถบัสกลับเข้าเมืองไปพักผ่อน

DAY7
ตื่นเช้าลากกระเป๋าเป็นนักท่องเที่ยวสายลาก เดินไปขึ้นรถไฟที่สถานีอาโอโมริ ไปยังเมือง ฮิโระซะกิ Hirosaki,弘前市 ด้วยรถไฟสาย Local ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที หลังจากถึงสถานี หาที่ฝากกระเป๋าเดินทางก่อน ไปดูตู้ฝากกระเป๋า สรุปใส่ไม่ได้ กระเป๋าใหญ่ไป เข้าไปถาม Tourist Information จนได้ความว่ามีจุดรับฝากกระเป๋าอยู่อีกด้านของทางออกของสถานี รีบลงไปดูทันทีสรุปรับฝากเรียบร้อยแต่ office ปิด 17.00 น. ให้กลับมาให้ทัน

ฝากกระเป๋าเรียบร้อยเดินตัวปลิวไปเรียก Taxi จุดหมายที่ Starbucks Coffee – Hirosaki Park,スターバックス コーヒー弘前公園前店 (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/fScXaDzP6NogW5kq6) ร้าน Starbucks แห่งนี้มีความพิเศษคือ ตัวอาคารถูกลงทะเบียนให้เป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรม เอกลักษณ์ของที่นี่คือตกแต่งในยุคสมัยไทโช เคยเป็นบ้านพักข้าราชการทหารสมัยก่อน นำมารีโนเวทใหม่ ดูคลาสสิคและแปลกตามากๆ สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1917 ตั้งอยู่ตรงข้ามทางเข้าปราสาทฮิโรซากิ สถานที่ท่องเที่ยวที่โด่งดังในการชมซากุระ และใบไม้เปลี่ยนสี

ทานกาแฟเสร็จก็มีแรงพร้อมเดินชมปราสาท เพียงข้ามถนนก็ถึงทางเข้า ปราสาทฮิโรซากิHirosaki Castle,弘前城 (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/Pag39uvZdp6j5LMX7) ปราสาทฮิโรซากิ(Hirosaki Castle) ถูกสร้างขึ้นในปี 1611 ตอนนี้ตัวปราสาทถูกย้ายจากตำแหน่งดั้งเดิมโดยไม่มีการรื้อถอน เพื่อทำการบูรณะ แต่จุดเด่นของที่นี่คือสวนสาธารณะฮิโรซากิ เป็นจุดชมดอกซากุระที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น
รอบๆ บริเวณปราสาทเต็มไปด้วยต้นซากุระมากกว่า 2,500 ต้นปลูกเรียงกันสองข้างทางเสมือนอุโมงค์ดอกซากุระ ในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีก็มีการจัด Light Up ประดับไฟรอบๆ ตัวปราสาท แต่เรามาเร็วเลยได้แต่เดินชมรอบๆ

เดินชมกันจนเหนื่อยก็ได้เวลาเดินทางไปสนามบิน นั่ง Taxi ไปลงที่สถานีรถไฟฮิโรซากิ จะมีรถบัสรับส่งจากเมืองฮิโรซากิไปสนามบินอาโอโมริได้โดยตรง ใช้เวลาเพียง 45 นาทีก็ถึงสนามบินพร้อมเดินทางด้วยสายการบิน Japan Airlines เที่ยวบิน JL0148 เดินทางสู่สนามบินฮาเนดะ กรุงโตเกียว
กลังจากถึงโตเกียวส่งเพื่อนขึ้นเครื่องกลับไทยเรียบร้อย ส่วนผมอยู่ต่อ เนื่องจากทาง Toyota Motor Thailand ได้เรียนเชิญเข้าร่วมชมงาน Tokyo Mobility Show 2023 ขออยู่ต่ออีกสามสี่วัน จากนั้นก็นั่งรถบัสเข้ากรุงโตเกียว พักผ่อนเตรียมตัว วันพรุ่งนี้ต้องไปเข้าร่วมกลุ่มพี่ๆ น้องๆ สื่อมวลชนที่เข้าร่วมงานในปีนี้
สรุปทริปขับรถล่าใบไม้แดง เป็นทริปเที่ยวญี่ปุ่นที่สนุกมาก การขับรถที่ญี่ปุ่นไม่ยากอย่างที่คิด มีเพียงกฎบางอย่างที่ไม่เหมือนกับบ้านเรา และมารยาทในการขับขี่ถึงควรศึกษาไปก่อนเดินทางจะช่วยให้ขับขี่ที่ประเทศญี่ปุ่นนำได้อย่างราบรื่น สวนการตามล่าใบไม่เปลี่ยนสีไม่ใช้จะหวังพึ่งคำพยากณ์ใบไม่เปลี่ยนสีและจะได้ชมใบไม้สวยๆ โชคชะตาและดวงก็ต้องใช้ประกอบคู่กัน อย่างเช่นทริปนี้ใบไม้แดงช้ากว่าค่าเฉลี่ยถึง 1 อาทิตย์ แถมเจอพายุฝน พายุหิมะ กลายเป็นใบยังไม่ทันแดงดี ก็ทำให้ร่วงเร็วกว่าที่ควรจะเป็น
ดังนั้นใครอยากมาชมใบไม้เปลี่ยนสีก็เพื่อใจไว้ด้วยและเตรียมอุปกรณ์กันหนาวกันฝน เพื่อสภาพอากาศไม่เป็นใจ ใครคิดว่าญี่ปุ่นมาดูแค่ดอกซากุระ ลองเพิ่มอีกทริปมาดูใบไม้เปลี่ยนสี สถานที่เดียวกันแต่ความสวยมันคนละความรู้สึกจริงๆ

Japan Mobility Show 2023
ถึงวันนัดหมายกับทางทีมงาน Toyota Motor Thailand โดยทางพี่ๆ น้องๆ สื่อมวลชนสายยานยนต์บินมาถึงในวันนี้ หลังจากนอนพักเอาแรงจากทริปล่าใบไม้แดง
ใกล้เวลานัดหมายรีบเดินไปยังจุดหมายที่โรงแรม Keio Plaza Hotel Tokyo เพื่อลงทะเบียนเข้างาน และมีการพบปะระหว่างสื่อมวลชนในภาคพื้นเอเชียและผู้บริหารระดับสูงของทาง Toyota
โดยมีการกล่าวเปิดงานโดย Mr.Masahiko Maeada ประธานเจ้าหน้าที่บริหารภูมิภาคเอเชีย นำเสนอวิสัยทัศน์ “การขับเคลื่อนแห่งอนาคตสำหรับเอเชีย”
ในงาน Japan Mobility Show 2023 ครั้งนี้จัดแสดงภายภายใต้แนวคิด “FIND YOUR FUTURE” โดยการออกแบบตัวรถให้มีความคุ้มค่าต่อการใช้งานและยังอยู่ภายใต้แนวคิด Carbon Neutrality การเป็นกลางทางคาร์บอน

ทาง Toyota มีการพัฒนารถที่มีความหลากหลาย เพื่อความเหมาะสมในแต่ละภูมิภาค เรามีจุดมุ่งหมายเดียวกันในการพัฒนารถยนต์เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนและมุ่งไปสู่ การเป็นกลางทางคาร์บอน
เพราะแต่ละประเทศมีพลังงานและพลังงานทางเลือกที่แตกต่างกัน รถยนต์ที่จะจัดจำหน่ายจึงต้องเหมาะสมต่อประเทศนั้นๆ ทาง Toyota พัฒนารถยนต์พลังงานทางเลือกในทุกประเภท (Multi-Pathway)
ซึ่งทาง Toyota มีรถในทุกประเภทพร้อมจัดจำหน่ายทั้ง HEV,PHEV,BEV,FCEV,H2,CN Fuel ดังนั้น Toyota จึงไม่ได้มุ่งเน้นการผลิตรถไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวเพื่อการเป็นกลางทางคาร์บอน เพราะทุกประเทศมีความพร้อมไม่เหมือนกัน
โดยในภูมิภาคเอเชียรถยนต์ไฮบริดได้รับความยอมรับเพิ่มขึ้นทำให้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยังมีความต้องการเพิ่มขึ้นในปีที่ผ่านๆ มา ส่วนรถ BEV รถพลังงานไฟฟ้าก็กำลังมีการเติบโตที่น่าสนใจในภูมิภาคเอเชีย ทาง Toyota ก็มีที่พร้อมจัดจำหน่ายและอยู่ในขั้นทดสอบเพื่อเตรียมจัดจำหน่ายในอนาคต

ทาง Toyota วิจัยและพัฒนารถเพื่อตอบโจทย์ในรถกลุ่มใหม่ๆ จนได้พัฒนารถเชิงพาณิชย์ให้มีความคุ้มค่าและสามารถดัดแปลงเพื่อให้มีความหลากหลายในการใช้งานจึงออกมาเป็นต้นแบบ IMV0
โดยตอบสนองลูกค้าที่สามารถเป็นเจ้าของรถได้ง่ายขึ้น และสามารถปรับแต่งได้หลากหลายในการใช้งาน
ส่วนในพลังงานไฮโดรเจนในไทย ทางโตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น (TMC) จับมือกับ Commercial Japan Partnership Technologies (CJPT) และ บริษัท เครือเจริญโภค
ภัณฑ์จำกัด (ซีพี) ได้ร่วมพัฒนาต้นแบบเครื่องผลิตไฮโดรเจนจากก๊าซชีวมวล ได้สำเร็จและใช้งานจริง โดยใช้แก๊สชีวมวลจากฟาร์มไก่ของซีพี ในการผลิตไฮโดรเจน
โดยพลังงานไฮโดรเจนที่ผลิตได้จะนำไปใช้กับรถบรรทุกที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฮโดรเจนในอนาคต หลังจากจบการบรีฟ สื่อมวลชนแต่ละประเทศก็แยกกลุ่มเข้าช่วงตอบคำถาม

โดยสื่อมวลชนจากไทยก็มุ่งความสนใจไปยังเรื่องของรถยน IMV0 ที่จะเปิดตัวภายในปีนี้ และถามต่อเรื่องอนาคตของรถ BEV ในประเทศไทยและแนวทางของรถพลังงานไฮโดรเจน ว่าจะเป็นแนวทางไหน
โดยคำตอบจากทางผู้บริหาร Toyota สำหรับ IMV0 จะเป็นรถที่ราคาเข้าถึงง่าย และสามารถดัดแปลงให้เข้ากับการใช้งานในแต่ประเทศ ส่วนเรื่องกฎหมายมลพิษในแต่ละประเทศมีความเข้มงวดที่แต่ต่างกันในอนาคตอาจจะมีเครื่องยนต์ทางเลือกอื่นๆ ที่เหมาะสมตามออกมา
ส่วนเรื่อง BEV ขอให้อดทนรออีกนิดเพื่อเราจะพัฒนารถไฟฟ้าที่มีความเสถียรและไว้ใจได้ในระยะยาวเหมือนรถเครื่องยนต์ที่เราเคยทำมา และเรื่องพลังงานไฮโดรเจน ตอนนี้ระบบขับเคลื่อนด้วยไฮโดรเจนมี 2 แบบ คือ FCEV (Fuel Cell Electric Vehicle) และ H2 Engine โดยถ้าไฮโดรเจนเกิดขึ้นจริง
ทาง Toyota จะแยกเป็น 2 ประเภทโดยต้นทุนการผลิต FCEV จะมีต้นทุนที่สูงจึงอาจจะเหมาะกับรถยนต์เชิงพาณิชย์ ส่วนรถ H2 Engine อาจจะเน้นไปทางรถยนต์ส่วนบุคคลเพราะเป็นเพียงการดัดแปลงเครื่องยนต์ที่มีอยู่แล้วเท่านั้น ดังนั้นสามารถผลิตได้ต้นทุนที่ถูกกว่าและผลิตได้ในจำนวนมาก
หลังจากจบตอบคำถามทาง Toyota ก็จัดเลี้ยงอาหารค่ำและผู้บริหารและวิศวกร พบปะพูดคุยกับผู้สื่อข่าวอย่างเป็นกันเอง หลังจากจบงานก็พร้อมไปงาน Japan Mobility Show 2023 ในวันพรุ่งนี้!!!

เสียงนาฬิกาปลุกดังแต่เช้า เราต้องรีบเดินทางเนื่องจากToyota เปิดบูธเป็นเจ้าแรก
ขึ้นรถแจก QR เข้างาน พร้อมมุ่งตรงไปที่ Japan Mobility Show 2023 จัดที่ Tokyo Big Sight,東京ビッグサイト (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/R1UoUz66dGMT1C6d7)
มาถึงงานวิ่งไปที่บูธ Toyota ทันที บูธใหญ่สุดในงาน ยิ่งนับบริษัทในเครือ รวมกันน่าจะเกือบครึ่งฮอล สมเป็นเจ้าบ้าน พร้อมตกแต่งด้วยจอ LED มากมายดูสว่างสดใส

ถึงเวลากล่าวเปิดบูธโดย คุณโคจิ ซาโต้ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ซึ่งกล่าวถึงความหลากหลายของการขับเคลื่อนในอนาคต ผู้คนมีจำนวนมากความต้องการที่หลากหลาย เราจึงใช้ธีม “Find Your Future”
โดยในงานนี้ได้มีการเปิดตัวรถต้นแบบหลายคัน โดยเป็นรถที่ตอบโจทย์ในทุกรูปแบบทั้งรถสปอร์ต รถอเนกประสงค์ รถใช้งานเชิงพาณิชย์

โดยเริ่มจากรถ BEV
-รุ่น FT-Se รถสปอร์ตสีส้มจอดเด่นกลางเวที FT-Se เป็นคอนเซปต์โมเดลแบบรถสปอร์ตที่ทางToyota จงใจใช้โลโก้ GR แทนโลโก้ Toyota แบบดั้งเดิม โดยเส้นสายตัวถังจะมีความคล้ายกับ GR Sports Concept ที่เคยเปิดตัวมาก่อนหน้านี้แต่ดูมีขนาดที่กระทัดรัดกว่า หรือคันนี้จะเป็นรถสปอร์ตตัวแทนของ MR2 ในอนาคต

-รุ่น FT-3e รถ Crossover ทรงสปอร์ต คูเป้ ที่ขนาดดูจะเล็กกว่า BZ4X ทรงรถมีความเป็นเหลี่ยมคมดูทันสมัย และมีความเป็นดิจิตอล ด้วยไฟด้านข้างรถพร้อมจอบอกสถานะต่างๆ ดูทรงแล้วน่าจะมาเป็นรถในตระกูล BZ ในคันต่อไปแน่ๆ

-รุ่น KAYOIBAKO รถตู้ไซส์เล็ก ทรงแปลก น่ารัก ที่ภายในพื้นเรียบสามารถดัดแปลงได้หลายรูปแบบในการใช้งานได้หลายหลายในทุกช่วงวัย ร่วมถึงการใช้งานร่วมกับ Wheelchair ตอบโจทย์ของสังคมผู้สูงวัย

-รุ่น LAND CRUISER Se เมื่อ Land Cruiser ในตำนานอยากจะเป็นรถ BEV คันนี้คือต้นแบบที่ดูหน้าสนใจ ตัวถังแบบ monocoque โดยการออกแบบยังเป็นในแนวทางของรถไฟฟ้าตระกูล BZ แต่ตัวรถมีขนาดที่ใหญ่และพร้อมที่จะลุยแบบ SUV แท้ๆ
-รุ่น EPU รถกระบะคอนเซปต์คาร์ ตัวถังแบบ monocoque ยังช่วยทำให้พื้นที่ท้ายกระบะสามารถรองรับการใช้งานที่หลากหลาย

รถต้นแบบที่พร้อมจำหน่ายในบ้านเราเร็วๆ นี้
รุ่น IMV 0 เป็นรถกระบะพื้นเรียบที่มีขนาดเล็กกว่ากระบะ Toyota Revo ที่เราคุ้นเคย ออกแบบมาเพื่อเป็นรถที่ง่ายต่อการดัดแปลงเป็นร้านค้าหรือรถที่ใช้งานในแต่ละวัตถุประสงค์ เช่นรถพยาบาล รถขนส่งบุคคล หรือรถบรรทุก เพื่อตอบสนองการใช้งานที่หลากหลาย และยังเป็นรถดูแลได้ง่ายเหมือนรถกระบะทั่วไป
โดยในงานมีการจำลองให้ผู้มาชมลองกดความต้องการที่จะดัดแปลงรถแล้วความต้องการนั้นจะขึ้นไปที่ตัวรถจริงให้เห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น

ภายในงานไม่ได้มีแต่คอนเซปคาร์ ยังมีอย่างอื่นที่น่าสนใจ
NEO Steer พวงมาลัยแบบใหม่ที่ออกแบบมือจับแบบรถมอเตอร์ไซค์ ผสานกับฟังก์ชันของคันเร่งและแป้นเบรกที่อยู่บนพวงมาลัย ผู้ใช้งานที่มีความบกพร่องที่ส่วนล่างของร่างกายก็สามารถขับได้แบบไม่มีปัญหา พร้อมมี Simulator จำลองการขับขี่จริง

ภายในบูธก็จะมีรถที่ขายจริงจอดโชว์ให้ได้เดินชมกันได้แก่
Toyota Century SUV

Totota Crown Sedan FCEV

Toyota Crown Sport PHEV

Toyota Land Cruiser 250 Series

Toyota Land Cruiser 70 Series

เดินถ่ายรูปจนครบ แอบแวะไปเยี่ยมชมรถในเครือสุดหรู Lexus
มาถึงบูธ Lexus ก็รู้ได้ทันที โดยบูธจัดออกมาได้เน้นถึงความรู้สึก ให้ความรู้สึกเหมือนมาเดิน Art Gallery คุมโทนด้วยสีดำตัดกับไม้ ให้ความรู้สึกสงบ
ในงานเปิดตัวด้วยคอนเซปคาร์ BEV 2 รุ่น

-รุ่น LF-ZL Concept รถทรง SUV ที่มีความโดดเด่นด้วยประตูผู้โดยสารตอนท้ายที่เปิดแบบประตูสไลด์แปลกตา ภายในดูเหมือนจะเป็นรถ Sedan มากกว่าจะดูเป็นรถ SUV และการคาดการรถรุ่นนี้จะเป็นรถที่ใช้วิธีการขึ้นรูปตัวถังแบบ Gigacasting เพื่อความแข็งแกร่งของโครงสร้าง
และลดเวลาในการประกอบ ภายในออกแบบได้สวยงามดูมีความเรียบหรูในแบบของ Lexus

-รุ่น LF-ZC Concept รถทรง Sedan ที่ออกแบบให้มีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ (Cd.) เพียงแค่ 0.20 ด้วยรูปทรงที่ลู่ลมทำให้รถดูมีความเป็นสปอร์ตมาก ส่วนภายในมาในแนวทันสมัย เน้นการใช้จอขนาดใหญ่และเล่นแสงสีภายในตัวรถ

และยังมีรถLexus RZ 450e แต่งแนวลุยป่าให้ดูเป็นแนวทางในการตกแต่งจอดแสดงโชว์

เดินต่อไปอีกนิดดูรถอีก 1 คัน จาก Toyota Auto Body หนึ่งในบริษัทในเครื่องที่ออกแบบและผลิตรถในเชิงพาณิชย์ รวมถึงรถตู้และรถบรรทุก โดยคันนี้นำมาโชว์ในบูธที่โดดเด่นคือ Hiace BEV Concept รถตู้ไฟฟ้าที่หน้าตาคล้าย Toyota Hiace ที่ขายในบ้านเราแต่มีการตกแต่งให้ทันสมัย และมีการปรับภายในด้วยจอขนาดใหญ่รวมถึงเกียร์แบบกดปุ่ม ทำให้ตัวรถดูทันสมัยแปลกตา

เดินจนกว่าจะครบในงานใช้เวลาเกือบ 2 วัน โดยยังมีโซนอุปกรณ์ตกแต่ง และโชว์โชว์รถที่ยังมาจัดยังไม่เต็มพื้นที่เนื่องจากเป็นวันรอบสื่อมวลชน และภายนอกลานจอดยังมีรถให้ได้ทดลองขับทดลองนั่งอีกหลายรุ่น
โดยภาพรวมงาน Japan Mobility Show 2023 เป็นงานโชว์แนวคิด โชว์นวัตกรรม รวมถึงแนวทางในอนาคตของรถยนต์ในแต่ละค่าย ดังนั้นจะไม่ค่อยมีรถที่ขายจริงมาจัดแสดง และได้รับความสนใจของชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติทั่วโลก คนเข้ามาชมงานจำนวนมาก
และในปีนี้ดูจากแนวทางของรถญี่ปุ่นในแต่ละค่ายออกไปในแนวทางเดียวกัน รถไฟฟ้าสำหรับรถยนต์จากค่ายญี่ปุ่นดูจะเป็นเป้าหมายสำคัญเพื่อจะสู้กับรถไฟฟ้าจากทั่วโลก ดูจะรถต้นแบบทุกค่ายนำเสนอเป็นรถ BEV เพื่อรับกระแสยานยนต์ไฟฟ้าที่กำลังเป็นที่นิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในตลาดโลก
แต่เมื่อในแต่ละประเทศยังมีความพร้อมไม่เท่ากัน ค่ายรถยนต์จึงไม่สามารถหักดิบไปพัฒนาเป็นรถไฟฟ้าได้ทันที เพราะตลาดโลกก็ยังมีคนต้องการใช้รถยนต์เครื่องสันดาป และค่อยๆ เปลี่ยนผ่านเป็นรถยนต์ไฮบริด โดยตัวเร่งสำคัญคือนโยบายของรัฐบาลในแต่ละประเทศ
และเมื่อ BEV พร้อมในเทคโนโลยีทั้งในเรื่องระยะทาง และความเร็วในการชาร์ตและความคงทน ผู้ใช้ก็พร้อมที่จะมุ่งสู่ Carbon Neutrality แน่นอน ผมเชื่อว่าเราทุกคนก็อยากให้โลกของเราสะอาดขึ้น เพื่ออนาคต

ขอขอบคุณ / Special Thanks to:

Toyota Motor Thailand Co., Ltd.

เอื้อเฟื้อการเดินทางในครั้งนี้

Sirisak Setpattanachai

สงวนลิขสิทธิ์ ภาพถ่ายและบทความ โดยผู้เขียน

ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com

Copyright (c) 2023 Text and Pictures

Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.

First publish in www.Headlightmag.com