แค่ขึ้นต้นทศวรรษใหม่ งานจัดแสดงรถยนต์ Geneva Motorshow 2011 ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ก็เริ่มร้อนเป็นไฟมากยิ่งขึ้นเพราะผู้ผลิตรถยนต์ทั่วทุกสารทิศต่างขนอาวุธทั้งรถใหม่และรถต้นแบบอวดโฉมในงานนี้กันอย่างอุ่นหนาฝาคั่งราวกับว่าไม่เคยมีงานจัดแสดงรถยนต์ที่ไหนในโลกมาก่อน

อันที่จริงความสำคัญของงาน Geneva Motorshow ก็ถือว่าเป็นงานแสดงรถยนต์ระดับ “แม่เหล็ก” ชนิดที่ใครก็ไม่อยากจะพลาดกัน เพราะเวทีแห่งนี้มีศักยภาพเป็นต้นแบบการจัดงานแสดงรถยนต์ทั่วโลก รวมทั้งเป็นจุดศูนย์กลางการประชาสัมพันธ์รถยนต์รุ่นใหม่ของตนได้มีประสิทธิภาพกว่างานช่วงอื่น ๆ ที่สำคัญเดือนมีนาคมมักจะเป็นฤดูการขายรถยนต์ในหลายประเทศทั่วโลกพร้อมเพรียงกัน

ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองตะวันออกกลางและราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นก็ไม่อาจหยุดยั้งการโหมกระแสการเปิดตัวรถรุ่นใหม่และรถต้นแบบของ Volkswagen Group ไปได้รวมทั้งบรรดาค่ายรถสปอร์ตเล็กใหญ่ทั้งหลายที่พยายามชิงพื้นที่สื่อให้ได้มากที่สุดเช่นกัน

 

Alfa Romeo

 

Alfa Romeo มักจะมีอะไรมาอวดชาวบ้านชาวช่องเขาเสมอผิดกับ Lancia ที่ยังคงแสดงความงามหน้าอยู่ร่ำไปทั้ง ๆ ที่เป็นแบรนด์พี่น้องท้องเดียวกับ Fiat Group ด้วยซ้ำ จนเราแอบสงสัยว่าผู้บริหารแต่ละแบรนด์คงไม่ได้พูดคุยกัน

ครั้งนี้ Alfa Romeo มีของดีมาอวดนั่นก็คือรถระดับซูเปอร์คาร์อวดโฉมใน Geneva Motorshow 2011 นั่นก็คือ Alfa Romeo 4 C Concept ดีไซน์สวยงามช่วยเพิ่มมูลค่าแบรนด์อีกระดับ มาในรูปแบบรถสปอร์ต 2 ที่นั่งขับเคลื่อนล้อหลัง เครื่องยนต์วางกลาง

มีขนาดลำตัวยาว 4 เมตร ความยาวฐานล้อน้อยกว่า 2.4 เมตร แม้จะมีขนาดกะทัดรัดแต่ก็ตอบสนองการขับขี่ได้ดี รวมไปถึงงานออกแบบที่สวยสง่าผ่าเผย

Alfa Romeo 4C Concept หยิบยืมเทคโนโลยีและวัสดุจาก 8C Competizione ไล่ตั้งแต่คาร์บอน, อลูมิเนียมเพื่อช่วยลดน้ำหนักตัวถังลงได้มาก ทำให้มีน้ำหนักตัวถังไม่ถึง 850 กิโลกรัมหรือมีน้ำหนักตัวต่อ 1 แรงม้าแค่เพียง 4 กิโลกรัมเท่านั้น รวมไปถึงระบบขับเคลื่อนล้อหลังเช่นกัน

ขุม พลังก็ได้เรี่ยวแรงจากบล๊อก 4 สูบ 1,750 ซีซี เทอร์โบฉีดเชื้อเพลิงตรงพร้อมระบบวาล์วแปรผันคู่และระบบช่วยป้องกันเทอร์โบ แล๊ก ให้พลังมากกว่า 200 แรงม้าให้สมรรถนะได้มากกว่าเครื่องยนต์ 3.0 ลิตรเสียอีกแต่ประหยัดน้ำมันเหมือนกับเครื่องยนต์ 4 สูบทั่วไป

จับ คู่เกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่แบบแห้งที่เรียกกันว่า Alfa TCT ซึ่งเคยใช้กับรถซับคอมแพคท์หรู Mito และ Giulietta จนทำให้มีความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ภายใน 5 วินาที

 

Aston Martin

 

รถสปอร์ตคันสีส้มอล่างฉ่างก็คือ Aston Martin Virage หมายจะอุดช่องว่างระหว่าง DB9 และ DBS ให้จงได้  ตำแหน่งการตลาดของ Virage คงหนีไม่พ้นเศรษฐีที่ยังชื่นชอบรถสปอร์ตคูเป้ 2+2 สมรรถนะสูงแต่ใช้งานได้ง่ายกว่า แต่ยังคงรักษาความหรูหราเหมือนกับรุ่นพี่

ดี ไซน์ของ Aston Martin Virage แทบจะถอดแบบมาจาก Aston Martin DB9 Minorchange กันมาไล่ตั้งแต่ชุดไฟหน้า, กระจังหน้าตลอดจนโป่งล้อด้านหน้าทั้งหมด เข้าทำนองว่า DNA อยู่บนใบหน้า !!

จุดเด่นอยู่ที่ขุมพลังอลูมิเนียม V12 6.0 ลิตร 497 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 52.52 กิโลกรัมเมตร จับคู่เกียร์อัตโนมัติ TouchTronic II 6 จังหวะ กระจายน้ำหนักสมดุลรถให้เท่ากัน 50-50 อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ภายใน 4.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 299 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

เกิดมาเป็น Aston Martin ทั้งทีจะมีให้มีฟีเจอร์ธรรมดา ๆ ก็กระไรอยู่ ต้องเจอกับระบบ ADS หรือระบบควบคุมการสปริงตัวของโช๊คอัจฉริยะที่สามารถ “อ่าน” พื้นถนนได้, โหมดการขับแบบ Sport เพิ่มสมรรถนะการขับขี่พิเศษทั้งการบังคับควบคุมและความไวของลิ้นปีผีเสื้อ

Aston Martin V8 Vantage S เกิดมาเพื่อแทรกกลางระหว่าง V8 Vantage และ V12 Vantage เท่านั้น ซึ่งอัพเกรดพละกำลังให้มากกว่า V8 Vantage เวอร์ชันธรรมดาและได้ภาพลักษณ์ที่ดูเหมือนรถรุ่นบนอีกด้วย

Aston Martin จัดการปรับขุมพลังเครื่องยนต์ V8 4.7 ลิตร ให้มีพละกำลังมากถึง 436 แรงม้า (PS) ที่ 7,300 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดมากถึง 49.96 กิโลกรัมเมตรที่ 5,000 รอบต่อนาทีจับคู่กับเกียร์ Sportshift II 7 จังหวะเพื่อเรียกความร้อนแรงในการขับขี่สำหรับ V8 Vantage S โดยเฉพาะ

เครื่องยนต์ที่ถูกปรับจูนใหม่มีความเร็วสูงสุดถึง 305 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ปล่อยค่าไอเสีย CO2 299 กรัมต่อกิโลเมตร มีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 12.9 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรหรือ 7.7 กิโลเมตรต่อลิตร

 

Audi

 

ปีนี้ไฮไลต์เด่นกลับตกไปอยู่ที่ Audi A3 Concept ต้นแบบรถซีดานหมายจะอุดตลาด Entry Level ที่ห่างหายไปนานมากเพราะ Audi A4 เริ่มขยับตนออกห่างจากความเป็นรถรุ่นล่างขึ้นไปเรื่อย ๆ ทุกที

รูปแบบตัวถังชวนให้นึกถึง Audi A4 เจเนเรชั่นแรกในปี 1994 ยิ่งนักด้วยมิติความยาว 4.44 เมตร ความกว้าง 1.84 เมตร ความสูง 1.39 เมตร โครงสร้างตัวถังทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ ดีไซน์ด้านหน้าได้รับอิทธิพลมาจากรถยนต์ Audi ยุคใหม่

Audi A3 Concept ก็ต้องเข้าคอร์สลดน้ำหนักตัวถังเหมือนกับรถยนต์ยุคใหม่ด้วยการใช้วัสดุตัว ถังอลูมิเนียมบริเวณประตู, ฝากระโปรงหน้า, และฝากระโปรงท้าย จนมีน้ำหนักเหลือ 1,540 กิโลกรัม

ขุมพลัง Audi A3 Concept ติดตั้งเครื่องยนต์บล๊อก 5 สูบ 2.5 ลิตร เทอร์โบฉีดเชื้อเพลิงตรง 408 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 50.98 กิโลกรัมเมตรรอบตั้งแต่ 1,600-5,300 รอบต่อนาที อัตราเร่ง 0-100 กิโลกรัมต่อชั่วโมงภายใน 4.1 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อีกทั้งยังให้ซุ้มเสียงเครื่องยนต์เหมือนกับ Audi สมัยยุค 80 อีกด้วย

แม้ Audi ยังไม่กำหนดวันเวลาจำหน่ายจริงของ Audi A3 Sedan แต่เชื่อขนมกินได้เลยว่าไม่น่าจะนานนัก

 

BMW

 

 

มีรถต้นแบบอวดโฉมเพียงแค่คันเดียวนั่นก็คือ BMW ConnectedDrive Concept พัฒนาขึ้นต่อยอดจาก BMW Vision Efficient Dynamics Concept ที่เคยเผยในงาน Frankfurt Motorshow 2010 อีกทอดหนึ่งเพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบจากรถคูเป้สปอร์ตล้ำอนาคตกลายเป็นรถ Roadster คันเก๋และเน้นการเชื่อมต่อกับรถยนต์รอบข้างแทน

ดีไซน์ของรถเน้นพื้นผิววัสดุเรียบ ๆ เส้นสายไม่เน้นความโฉบเฉี่ยวหรือซับซ้อนเหมือนรถต้นแบบทั่ว ๆ ไป จุดเด่นของมันอยู่ที่แรงบันดาลใจการออกแบบประตูมาจาก BMW Z1 ที่เป็นช่องทางเข้าห้องโดยสารขนาดเล็กพร้อมติดตั้งประตูกลไกไฟฟ้าสามารถเปิด แบบเลื่อนได้ และจุดเด่นประการสำคัญคือการออกแบบกระจกบังลมหน้าให้มีเนื้อที่แสดงภายใน ห้องโดยสารกินเนื้อที่ส่วนฝากระโปรงหน้า

รถต้นแบบคันนี้สามารถเชื่อมต่อกับรถคันอื่นทุกมุมทุกองศาได้ก่อนที่จะเกิด อุบัติเหตุตามสี่แยกไฟแดงพร้อมทั้งแสดงสัญญาณเตือนด้วยการสร้างเหตุการณ์ จำลองก่อนอุบัติเหตุผ่านหน้าจอดิสเพลย์ 3 มิติ หากคุณไม่เตรียมชลอรถระบบก็จะเขย่าผู้ขับขี่และชลอรถอัตโนมัติ เพื่อให้ผู้ขับขี่แก้ไขสถานการณ์ด้วยตนเอง

 

Chevrolet

 

 

ดูเหมือน GM Europe อาจจะกระสุนด้านไปสักนิดเพราะเล่นยิงเป้าจริงในช่วงงาน Paris Motorshow ปลายปีที่แล้วจนแทบจะหมดแม๊กจริง ๆ สำหรับ Geneva ปีนี้คงเหลือเพียงแค่การเปิดตัว Chevrolet Cruze Hatchback มุ่งหมายคว้ายอดขายตลาดรถคอมแพคท์ในตลาดยุโรปโดยเฉพาะซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาด ตัวถังชนิดนี้มากถึง 65% จึงไม่แปลกที่ GM จำเป็นต้องส่งรถตัวถังนี้มาขอส่วนแบ่งยอดขายกับเขาบ้าง

ดีไซน์ภายนอกถอดแบบจากรถต้นแบบ Prototype ไม่มากนักเพียงแต่ปรับรายละเอียดปลีกย่อยให้ใกล้ชิดชาวโลกมากขึ้นอีกหน่อย จุดเด่นของมันก็คือบั้นท้ายที่ถูกออกแบบให้เข้ากับรสนิยมชาวยุโรป มีเนื้อที่ห้องสัมภาระถึง 400 ลิตร แน่นอนมันก็ต้องมีเบาะหลังพับได้ 60/40

 

Ferrari

 

ปีนี้ดูเหมือนว่าค่ายรถสปอร์ตจะสร้างความฮือฮาได้มากกว่าค่ายรถตลาดไม่น้อย ปีนี้ Ferrari ก็นำ FF ตัวตายตัวแทน 612 ในรูปแบบตัวถัง Shooting Brake หรือแวกอน 3 ประตู มาแปลกชนิดอย่าบอกใคร

FF มีความยาวตัวถัง 4,907 มิลลิเมตร กว้าง 1,953 มิลลิเมตร สูง 1,379 มิลลิเมตร น้ำหนักตัว 1,379 กิโลกรัม น้ำหนักตัวรถเปล่าๆ 1,790 กิโลกรัม การกระจายน้ำหนัก หน้า-หลัง อยู่ที่ 47 : 53

งานออกแบบเส้นสายภายนอก ยังคงเป็นฝีมือของ Pininfarina เจ้าเก่า เหมือนเคย โดยนำเอาเส้นสายของรถรุ่นใหม่ ทั้ง 458 Italia, California และ 599 GTB Fioirino มาผสมผสานเข้าไว้ด้วยกัน เหนือสิ่งอื่นใด จุดเด่นของการออกแบบรถคันนี้ อยู่ที่บั้นท้าย ซึ่งมาในสไตล์ รถสปอร์ต กึ่งแวกอน 2 ประตู
ในแบบ Shooting Break ให้พื้นที่ห้องเก็บสัมภาระมากถึง 450 ลิตร ในยามปกติ และถ้าพับเบาะหลังจะมีพื้นที่เพิ่มเป็น 800 ลิตร! ถือว่าเป็น Fearriri ที่มีพื้นที่ห้องเก็บของด้าหลังเยอะที่สุด เท่าที่เคยทำขายกันขนานใหญ่ ไม่นับรถตัวถังพิเศษทั้งหลาย อีกด้วย

เครื่องยนต์เป็น บล็อกใหม่ V12 DOHC 48 วาล์ว ทำมุมเอียง 65 องศา 6,262 ซีซี Direct Injection วฉีดอีเล็กโทรนิคส์ 660 แรงม้า ที่ 8,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 683 นิวตันเมตร ที่ 6,000 รอบ/นาที วเลขจากโรงงานเคลมว่า ทำอัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ใน 3.7 วินาที และทำความเร็วสูงสุด ด้ 335 กิโลเมตร/ชั่วโมง อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 15.4 ลิตร/100 กิโลเมตร (อ่านไม่ผิดครับ) และอัตราการปล่อยมลพิษ อยู่ที่ 360 กรัม/1 กิโลเมตร

เครื่องยนต์บล็อกนี้ จะถูกติดตั้งเชื่อมกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ลิขสิทธิ์เฉพาะของ Ferrari ในชื่อ 4RM (four-wheel drive) โดยมีน้ำหนักของชุดระบบขับเคลื่อนที่เกี่ยวข้อง เบากว่าที่ติดตั้งอยู่ในรถยนต์แบบขับเคลื่อน 4 ล้อทั่วไปถึง 50 เปอร์เซนต์ เพื่อให้น้ำหนักตัว กดลงบนล้อคู่หลังมากถึง 53 เปอร์เซนต์
อันเป็นสัดส่วนที่สมดุลย์ ในมุมมองของวิศวกร Ferrari ทำงานร่วมกับระบบ Electronic dynamic control systems ควบคุมการกระจายแรงบิดสู่ล้อทั้ง 4 ด้วยอีเล็กโทรนิคส์ ให้เหมาะสมกับการขับขี่ในมุกสภาพถนน นอกจากนี้ FF ยังถูกติดตั้งระบบ magnetorheological damping system (SCM3) รวมทั้งยังติดตั้ง ดิสก์เบรก 4 ล้อ จานเบรกทำจาก Carbon-Ceramic โดย พันธมิตรเก่าแก่อย่าง Brembo อีกด้วย

 

Fiat

 

ปีนี้ไม่มีอะไรพิเศษจนต้องน่าขนานนามนักแต่ก็ยังมีรถต้นแบบเวอร์ชันพิเศษมาอวดโฉมกับเขาบ้างไม่เช่นนั้น Fiat อาจจะตกขอบเวทีนั่นก็คือ Fiat 500 Coupe Zagato Concept แค่ชื่อก็บอกแล้วว่า Zagato รับผิดชอบการออกแบบเกือบทั้งคัน ดัดแปลงจากรถเล็กคันน่ารักให้มีบั้นท้ายแบบสปอร์ตคูเป้ดูเผิน ๆ เหมือนกับรถของ Lancia ยุคใหม่บางรุ่น

นอกจากนี้ยังสร้างความแตกต่างด้วยการเพิ่มโคมไฟหน้าอีกคู่หนึ่งและจัดการเปลี่ยนชุดกันหน้าใหม่เน้นความสปอร์ตแบบน่ารัก  ๆ มากขึ้น สาดสีตัวถังด้วยสีเหลือง

 

Ford

 

วันนี้ Ford พร้อมแล้วที่จะนำรถมินิแวนขนาดเล็กในชื่อ B-Max ซึ่งถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานแพลทฟอร์มเดียวกับ Ford Fiesta โฉมปัจจุบันหรือ Global B-Platform ลุยตลาดแล้ว

ดีไซน์ภายนอกของ Ford B-Max นำจุดเด่น Kinetic Design ชุดล่าสุดมาประยุกต์ลงในมินิแวนขนาดสั้นคันนี้ดูเผิน ๆ ก็คล้ายกับนำ Ford C-Max จับมาย่อส่วนอีกขั้นหนึ่ง  ด้านหน้าถูกออกแบบให้มีความสปอร์ตกว่ามินิแวนตระกูล Ford ด้วยช่องดักลมกันชนหน้าขนาดใหญ่พร้อมไฟหน้าที่มีลูกเล่นมากขึ้น

จุด เด่นของ Ford B-Max ก็คือการออกแบบบานประตูคู่หลังแบบสไลด์ ดูเหมือนจะงั้น ๆ แต่แท้จริงแล้ว Ford กล้าแตกต่างจากคู่แข่งด้วยการออกแบบโครงสร้างตัวถังแบบไร้เสา B !! ทำให้การเข้าออกห้องโดยสารสะดวกยิ่งขึ้นมาก ๆ แนวคิดนี้ไม่ใช่ของใหม่ 100% เท่าไรนัก แต่เราไม่นึกว่า Ford จะใจถึงด้วยการตัดเสา B ทั้งสองด้านเลยทีเดียว

ขุมพลังของ Ford B-Max นั้นไม่ธรรมดาด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 1.0 ลิตรพ่วงเทคโนโลยี EcoBoost อันเป็นเครื่องยนต์ที่ภูมิใจนำเสนอมากเพราะมันให้พละกำลังระดับเดียวกับ เครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตรและ 2.0 ลิตร และมันกำลังจะทดแทนเครื่องยนต์สันดาปภายใน 4 สูบธรรมดาในเร็ววันนี้

 

Honda

 

ปีนี้ไม่มีของใหม่มานำเสนออย่างที่ควรจะเป็นแต่อย่างน้อยก็นำ Honda Jazz EV คันสีฟ้ามาอวดโฉมขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีระยะทางวิ่งสูงสุด 160 กิโลเมตรต่อการชาร์จประจุหนึ่งครั้ง Honda เตรียมนำรถไฟฟ้าคันนี้วางจำหน่ายในตลาดสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นภายในปี 2012 นี้

 

Hyundai

 

 

Hyundai i40 ลงทุนผ่าตัดศัลยกรรมเปลี่ยนหน้าใหม่ทั้งหมดชนิดไม่เหลือเค้า Sonata รุ่นดั้งเดิมเหลืออยู่เลย ไล่ตั้งแต่ชุดแก้มหน้า, ไฟหน้า, กระจังหน้าและกันชนหน้าทรงดุดันคล้ายกับ Hyundai Elantra รุ่นน้องไม่ผิดเพี้ยนนัก ผลลัพธ์ก็คือดีไซน์ที่ดูอ่อนเยาว์ลงมากและดูเป็นรถที่ลูกค้าชาวยุโรปน่าจะชอบได้

จุดเด่นงานดีไซน์ของ Hyundai i40 คือการออกแบบบั้นท้ายโดดเด่นมีเอกลักษณ์ด้วยกระจกห้องสัมภาระด้านข้างเว้า โค้งและยังออกแบบไฟท้ายเรียวยาวรับกันอีกด้วย

เครื่องยนต์ดีเซลก็ ขนบล๊อก 1.7 ลิตร ปล่อยค่าไอเสีย 113 กรัมต่อกิโลเมตรซึ่ง Hyundai เคลมว่าดีที่สุดในคลาส อีกทั้งยังขนอุปกรณ์มาตรฐานใหม่เพิ่มขึ้นได้แก่ เบาะนั่งและพวงมาลัยอุ่นในตัวได้, ระบบขจัดฝุ่นบนกระจังบังลมอัตโนมัติ

 

Infiniti

 

ในที่สุด Infiniti ก็มีรถคอมแพคท์ดึงลูกค้าคนรุ่นใหม่เสียทีถึงแม้จะยังไม่เปิดตัวในเร็ววันนี้ แต่น่าจะยังพอสร้างความแน่ใจว่า Infiniti เอาจริง ด้วยการอวดโฉมรถต้นแบบ Infiniti ETHEREA  

Mr.Toru Saito รองประธานองค์กรและหน่วยดูแลแบรนด์ Infiniti ระดับโลกเปิดเผยว่ารถต้นแบบคันนี้ถือเป็นแบบลักษณะใหม่ของรถระดับหรูเจาะ กลุ่มวัยเยาว์ มิใช่แค่เพียงย่อส่วนความหรูหราแบบอนุรักษ์หรือดั้งเดิมเหมือนที่ผ่านมา

ผู้คุมการออกแบบ Infiniti ETHEREA คงหนีไม่พ้น Mr.Shiro Nakamura ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบ Nissan/Infiniti กำหนดแนวคิดผสมผสานส่วนที่โดดเด่นของรถแบบคูเป้, ซีดาน และรถครอสโอเวอร์รวมไว้เป็นคันเดียวกันไว้ในรูปแบบกึ่งโมโนฟอร์ม

จุดเด่นอยู่ที่ขุมพลัง Hybrid ประกอบไปด้วยเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.5 ลิตรเทอร์โบชาร์จ 245 แรงม้าประกบกับมอเตอร์ไฟฟ้าและจับคู่เกียร์ CVT

 

Kia

 

ไป ๆ มา ๆ Kia จัดบูธได้ยิ่งใหญ่กว่า Hyundai เสียอีกหนำซ้ำยังส่งรถใหม่มาถึง 2 รุ่นด้วยกันได้แก่ Kia Picanto ที่มีงานดีไซน์ภายนอกแทบจะไม่บรรยายสรรพคุณให้มากความว่า Kia Picanto Modelchange มาแนวสปอร์ตเต็มพิกัด เล่นเส้นสายคมสันและโฉบเฉี่ยว พร้อมหน้าตาแบบ Face Of Kia อันโดดเด่น มิติตัวถังโดยรวมใหญ่โตกว่ารุ่นเดิมระดับหนึ่ง แถมยังขยายระยะฐานล้อทำให้เนื้อที่ห้องโดยสารดีขึ้นและมีเนื้อที่เก็บห้อง สัมภาระเพิ่มขึ้น 27%

ภายในห้องโดยสาร Kia Picanto Modelchange แทบฉีกกฏเกณฑ์การออกแบบรุ่นเดิมทิ้งราวกับฝ่าเท้าเป็นหน้ามือเลยทีเดียว คุณผู้อ่านลองเปรียบเทียบระหว่าง Kia Picanto รุ่นเก่ากับรุ่นใหม่ดูสิครับ น่าจะเห็นความแตกต่างเข้าขั้นรุนแรง

ขุมพลัง Kia Picanto Modelchange มีให้เลือกบล๊อก 3 สูบ 1.0 ลิตร Kappa ทั้งเบนซิน/ Bi-Fuel/ Flex-Fuel ,เครื่องยนต์ 4 สูบ 1.2 ลิตร Kappa น่าเสียดายไม่ได้บอกพละกำลังของเครื่องยนต์ทั้ง 2 บล๊อกอย่างไรบ้าง บอกได้เพียงแค่มีกำลังตั้งแต่ 69 ถึง 85 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 94 ถึง 121 นิวตันเมตร ปล่อยค่าไอเสีย CO2 ตั้งแต่ 95-105 กรัมต่อกิโลเมตร ส่วนบล๊อก 1.0 ลิตร Bi-Fuel ให้กำลัง 82 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 94 นิวตันเมตร

Kia Rio รถซับคอมแพคท์ระดับเดียวกับ Hyundai Accent แตกต่างด้วยดีไซน์และบุคลิกภาพจากรถรุ่นน้องและรถรุ่นพี่อย่างเห็นชัด

ด้าน หน้ามาพร้อมกับ Face Of Kia แต่แตกต่างจากหน้าตารถยุค 2 ปีที่แล้วบางด้วยการบีบกระจังหน้าให้แคบลง เพิ่มขอบเว้ากันชนหน้าอีกหน่อยพร้อมชุดกันชนหน้ามีช่องดักอากาศขนาดใหญ่ Kia อ้างว่าสัดส่วนของ Rio โฉมใหม่เป็นสัดส่วนแบบเดียวกับรถพรีเมี่ยม

มิติตัวถังถูกขยายให้ใหญ่ขึ้นทุกมิติไล่ตั้งแต่ความยาวเพิ่มขึ้น 55 มม. ความกว้าง 25 มม. เตี้ยลง 15 มม. ฐานล้อยาวถึง 2,570 มม. มีให้เลือกทั้งแบบ 3 และ 5 ประตู

เครื่องยนต์กลไกมีให้เลือกตั้งแต่ ดีเซล 1.1 ลิตร 70 แรงม้า (PS) ปล่อยค่าไอเสีย 89 กรัมต่อกิโลเมตร ส่วนเครื่องยนต์เบนซิน 1.2 ลิตร เทอร์โบ

 

Lamborghini

 

และแล้วก็มาถึงค่ายรถสปอร์ตที่น่าจะถือว่าส่องสปอตไลต์เจิดจ้ามากที่สุดในงานก็พี่ท่านเล่นเปิดตัว Lamborghini Aventador LP700-4 เกิดมาเพื่อแทนที่ Mucielargo โดยเฉพาะซึ่ง Lamborghini เตรียมงานพัฒนา และวางแผนด้านต่างๆ เพื่อสร้างรถรุ่นนี้มาหลายปีแล้ว และวันนี้ถึงเวลา
ที่พวกเขา จะส่งรถซูเปอร์สปอร์ตคาร์ คันนี้ สร้างความตื่นตะลึงให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ระดับโลก
มากเกินกว่าการเปิดตัวครั้งก่อนๆของพวกเขา ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา ด้วยสมรรถนะที่เกินกว่าคำว่า
ร้อนแรงไปไกลโข

ตัวรถมีความยาวทั้งคัน 4,780 มิลลิเมตร ความกว้างไม่รวมกระจกมองข้าง มากถึง 2,030 มิลลิเมตร สูงเพียง
1,136 มิลลิเมตร ส่วนระยะฐานล้อ 2,700 มิลลิเมตร (เท่ากับ Honda Civic FD) ความกว้างช่วงล้อหน้า 1,720 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อหลัง 1,700 มิลลิเมตร น้ำหนักตัวเปล่า เบามาก เพียง 1,575 กิโลกรัม เท่านั้น!! กระจายน้ำหนักรถอยู่ที่ระดับ หน้า 43% หลัง 57% ถังน้ำมันมีควาจุ 90 ลิตร ใช้น้มันเครื่อง 13 ลิตร ส่วนระบบหล่อเย็นอยู่ที่ 25 ลิตร

ขุมพลังเป็นแบบ V12 สูบ ทำมุม 60 องศา DOHC 48 วาล์ว 6,498 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 95 x 76.4 มิลลิเมตร กำลังอัด 11.8 : 1 +/- 0.2 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ MPI พร้อมระบบแปรผันวาล์ว Variable Valve Timing Electronically Control ควบคุมการทำงานด้วยกล่อง ECU ที่เรียกว่า Lamborghini Iniezione Elettronica (LIE) with Ion current analysis อ่างน้ำมันเครื่องแบบ Dry Sump ระบายความร้อนด้วยระบบ Water and oil cooling ติดตั้งอยู่ด้านหลัง พร้อมกับช่องรับอากาศแบบ variable air inlets กำลังสูงสุด มหาศาลถึง 700 แรงม้า (HP) หรือ 515 กิโลวัตต์ ที่ 8,250 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 690 นิวตันเมตร หรือ 70.31 กก.-ม.ที่ 5,500 รอบ/นาที ผ่านมาตรฐานมลพิษในระดับ Euro V / LEV2 ด้วยการติดตั้ง Catalytic converters พร้อมกับ lambda sensors

สมรรถนะที่ทางโรงงานเคลมเอาไว้ ทำอัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ในเวลาเพียง 2.9 วินาทีเท่านั้น!!
ส่วนความเร็วสูงสุด 350 กิโลเมตร/ชั่วโมง อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในเมือง 27.3 ลิตร / 100 กิโลเมตร ส่วน
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง แบบ Extra Urban คือรวมการขับขี่บนทางไฮเวย์ด้วยแล้ว อยู่ที่ 11.3 ลิตร / 100 กิโลเมตร เฉลี่ยรวมแล้วอยู่ที่ 17.2 ลิตร / 100 กิโลเมตร การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ สู่โลก สูงถึง 398 กรัม / กิโลเมตร

 

Lancia

 

นอกเหนือจากการอวดโฉมรถยนต์รุ่นใหม่ที่นำเอารถ Chrysler จากสหรัฐอเมริกามาแปะตรา Lancia ได้แก่รุ่น Flavia, Thema, Grand Voyager แล้วยังนำเสนอรถใหม่สดซิงอย่าง Lancia Ypsilon Modelchange

ถึงแม้ชื่อ Lancia Ypsilon จะไม่คุ้นหูคนไทยก็ตามแต่สำหรับชาวอิตาเลียนและชาวยุโรปบางประเทศได้ยินชื่อ เสียงเรียงนามนี้ถึง 15 ปีในฐานะรถซับคอมแพคท์ระดับพรีเมี่ยมที่ยังไม่เคยมีใครกล้าบุกตลาดมาก่อน แม้อาจจะไม่โด่งดังมากนักแต่น่าจะเป็นแรงบันดาลให้คู่แข่งรายอื่นหันมาทำตาม ได้

ดีไซน์  Lancia Ypsilon Modelchange สามารถค้นหาความเป็นตัวตนได้แล้วจากเจเนเรชั่นที่ 2 ตั้งแต่ปี 2003-2010 ด้วยรูปลักษณ์สุดคลาสสิคพรีเมี่ยมดูมีเสน่ห์ให้อารมณ์น่าพิสมัยทั้ง ๆ ที่ถูกพัฒนาบนพื้นฐานเดียวกับ Fiat Punto

สัดส่วนของรถโดยรวมก็ถือว่ายังผสมแนวคิดฉีกขนบเหมือนกับ Lancia Ypsilon โฉมแรก ด้วยการลากเส้นตัวถังเว้าลึกบริเวณด้านข้าง พร้อมกับเส้นบ่าขอบกระจกจากบานประตูท้ายต่อเนื่องไปยังไฟท้าย, มือเปิดประตูหลังซ่อนเอาไว้บริเวณเรือนกระจกหลัง ส่วนบั้นท้ายได้รับอิทธิพลจาก Lancia Delta เต็ม ๆ

มิติตัวถังมีความยาว 3,840 มม. ความกว้าง 1,670 มม. ความสูง 1,510 มม. ฐานล้อยาว 2,390 มม.

ภายในห้องโดยสารยังคงรักษาแนวคิดวางอุปกรณ์และแผงมาตรวัดศูนย์รวมไว้ตรงกลางเหมือนกับรุ่นที่แล้ว พร้อมติดตั้งอุปกรณ์มาตรฐานมากมาย

หน้า ตาคลาสสิคเช่นนี้แต่ก็ติดตั้งเทคโนโลยีอันทันสมัยด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 1.2 ลิตร 69 แรงม้า, 0.9 ลิตร TwinAir 85 แรงม้า,เครื่องยนต์เบนซิน Dual Fuel LPG 1.2 ลิตร 69 แรงม้าและเครื่องยนต์ดีเซล 1.3 ลิตร MultiJet II 95 แรงม้า

 

Mazda

 

 

หลังจากที่ปิดข่าวเงียบมานานแล้วว่า Mazda ซุ่มพัฒนารถยนต์ระดับครอสโอเวอร์คอมแพคท์ที่ว่ากันว่าจะใช้ชื่อว่า Mazda CX-5 วันนี้ก็เริ่มมองเห็นเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้วนั่นก็คือ Mazda Minagi Concept

 

ดีไซน์ของ Mazda Minagi Concept ชัดเจนมากว่าถูกยกจาก Mazda Shinari Concept แล้วนำไปจับย่อส่วนใส่ให้กับรถต้นแบบครอสโอเวอร์ชนิดไม่ผิดเพี้ยน การแสดงออกทุกเส้นสายบ่งบอกจิตวิญญาณแห่งอารมณ์ทุกสัดส่วน เมื่อดูจากภาพสเกตช์คร่าว ๆ แล้วก็พบว่าด้านหน้าถูกออกแบบให้มีความสปอร์ตและดูหรูหราในตัว ดูเผิน ๆ ก็เหมือนกับรถยนต์ Jaguar ยุคใหม่บางรุ่น

สัดส่วนของตัวถังใกล้เคียงกับ Mazda 3 ตัวถังแฮทช์แบคบ้างเพียงแต่เพิ่มเส้นความพลิ้วอ่อนโยนมาบ้าง ดูเผิน ๆ ก็คล้าย Infiniti EX ครอสโอเวอร์ระดับกลางไม่น้อย  เมื่อมองจากบั้นท้ายก็คล้ายดีไซน์จาก Ford ยุคใหม่

 

Mercedes-Benz

 

ความจริงแล้ว Mercedes-Benz ดูตั้งใจทำตลาด C-Class Coupe มากมายก่ายกองเหลือเกินทั้งพยายามปล่อยให้ตัวรถโลดแล่นในภาพยนต์โฆษณาในสหรัฐอเมริกาช่วง Super Bowl หรือการปล่อยภาพหลุดต่าง ๆ นานาจนถึงวันนี้ก็ได้เปิดตัวรถเสียที

ดีไซน์โดยรวมจะดูไม่แตกต่างจากตัวถังซีดานเหมือนกับผู้พี่ Mercedes-Benz E-Class Coupe ที่อย่างน้อยมีงานออกแบบที่ดูแตกต่างเห็นได้ชัด แต่ Mercedes-Benz ก็ยังยืนยันว่ารถคูเป้หน้าโหลคันนี้แตกต่างจากตัวถังซีดานแน่นอน อย่างน้อยมันก็ความสูงตัวถังน้อยกว่าซีดานถึง 1.5 นิ้ว

ด้านข้างถูกออกแบบให้มีความเกี่ยวข้องกับตัวถังซีดานไม่น้อย ราวกับว่าเพียงแค่ออกแบบบั้นท้ายทรงคูเป้มาตรฐานเพียงแค่นั้น ส่วนลูกเล่นซุ้มล้อหลังแบบยกปีกเหมือนกับ E-Class Coupe นั้นอย่าหาให้มากความเลย เพราะ Mercedes-Benz เน้นเส้นเรียบ ๆ และลากเส้นด้านข้างยาวต่อเนื่อง

ด้านหน้าถอดแบบมาจาก C-Class Minorchange รุ่นมาตรฐานทั้งชุดไฟหน้า, กระจังหน้าบานเกล็ด 2 ชั้นและกันชนทรงสปอร์ตติดตั้งไฟ Daylight LED และบั้นท้ายก็ใช้หลอดไฟ LED

 

ภายในห้องโดยสารก็ยกชุดมาจาก C-Class Minorchange รุ่นมาตรฐานเช่นเดียวกันซึ่งได้รับอิทธิพลการออกแบบมาจาก SLS AMG มาเต็ม ๆ สวยงามด้วยชุดโครเมี่ยม 3 วงรอบมาตรวัดต่าง ๆ, หุ้มชิ้นส่วนเมทัลลิคบนแผงคอนโซลและแผงข้างประตู, ติดตั้งหน้าจอสัมผัส 5.8 นิ้วสำหรับควบคุมความบันเทิง หากเป็นรุ่น C350 ก็สามารถสั่งติดตั้งไม้วอลนัตหรือไม้โอลีฟสีเทาควันบุหรี่เป็นพิเศษได้

Mini

 

Mini RocketMan Concept มิใช่รถต้นแบบแสดงทิศทางการออกแบบของ Mini รุ่นมาตรฐาน 3 ประตู 4 ที่นั่งแน่นอน แต่มันคือการขยายไลน์ Mini ไปสู่กลุ่มตลาด Community Car รถขนาดเล็กมาก ๆ ใช้เดินทางภายในเมืองเพื่อเชื่อมต่อกับระบบขนส่งมวลชนเท่านั้น ซึ่งเป็นแนวคิดคล้าย ๆ กับ Smart Fortwo และ Toyota iQ แน่นอนมันไม่ใช่รถยนต์ราคาประหยัดอย่างที่เข้าใจกัน

Mini เติมความโดดเด่นให้กับรถด้วยดีไซน์ที่แปลกใหม่ ความคล่องที่ดียิ่งกว่า อัตราสิ้นเปลืองที่มากกว่า แน่นอนขนาดของมันเล็กกว่า Mini รุ่นมาตรฐาน 4 ที่นั่งอย่างเห็นได้ชัด

ดีไซน์ภายนอก Mini RocketMan Concept ถูกออกแบบแนวคิดอาวองการ์ดล้ำสมัยแต่ยังสะท้อนความเป็นแบรนด์ Mini ได้ ถึงแม้หน้าตาโดยรวมจะมาแนวน่ารักไปเสียหน่อยก็ตาม เล็กกะทัดรัดด้วยความยาว 3.419 เมตร ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า Mini รุ่นดั้งเดิมปี 1959 เพียงไม่กี่เซนติเมตรเท่านั้น

จุดเด่นของมันก็คือการออกแบบประตูคู่หน้าให้สามารถเป็นชุดชิ้นส่วนแก้มล้อ หน้าไปในตัวส่วนหนึ่งได้ นั่นเป็นเพราะ Mini ใช้บานประตูชนิดข้อต่อคู่ทำให้การเปิดประตูกว้างขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องออกแบบ บานประตูให้ใหญ่โดยไม่จำเป็น และบานประตูหลังก็กินเนื้อที่หลังไว้ส่วนหนึ่งหวังผลเพื่อการนำสัมภาระวาง ไว้ได้สะดวกขึ้น

ภายในห้องโดยสารแทบจะถอดแนวคิดจาก Toyota iQ ทั้งหมดคือการจัดวางห้องโดยสาร 2+1 และสัมภาระ เคล็ดลับที่ทำให้มีเนื้อที่ผู้โดยสารตอนหลังเพิ่มได้อีก 1 คนก็คือการขยับเบาะนั่งผู้โดยสารตอนหน้าให้ชิดด้านหน้ามากที่สุด

 

Mitsubishi

 

กว่าจะมาถึงค่ายรถยนต์นั่งที่มีรถเกี่ยวข้องกับตลาดมาเมืองไทยมากที่สุด ก็ฝ่าด่านอรหันต์รถต้นแบบและรถใหม่ที่น่าสนใจสารพัดทีเดียว บูธ Mitsubishi สร้างความน่าสนใจด้วยการอวดโฉม Concept Global Small รถว่าที่อีโคคาร์จำหน่ายในไทยภายในต้นปี 2012

อันที่จริงมันมีชื่อเรียกโครงการนี้อย่างเต็มตัวว่า e-compact ฟังดูเหมือนเป็นชื่อรถไฟฟ้าแต่อันที่จริงแล้วมันคือโครงการรถยนต์ระดับ B-Segment สำหรับตลาดระดับโลกเจาะกลุ่มเป้าหมายประเทศกำลังพัฒนาเป็นหลักทั้งผลิตเพื่อจำหน่ายและส่งออกไปยังประเทศที่พัฒนาแล้วอีกด้วย เพื่อเน้นราคาขายไม่แพงเป็นหลัก

มิติตัวถังไล่เลี่ยกับ Nissan March K13 อย่างมากด้วยความยาว 3.74 เมตร ความกว้าง 1.68 เมตร และสูง 1.49 เมตร  พร้อมเครื่องยนต์บล๊อก 3 สูบรุ่นใหม่ทั้ง 1.0 และ 1.2 ลิตร พร้อมวาล์วแปรผัน MIVEC ติดตั้งเทคโนโลยี Auto Start-Stop

และท้ายสุดโรงงานแหลมฉบัง ประเทศไทยได้รับเกียรติเป็นฐานการผลิตรถเล็กในโครงการ e-compact ส่งออกทั่วอาเซียน, ญี่ปุ่น, เอเชียตอนเหนือ, ยุโรป, สหรัฐอเมริกา และประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกด้วยยอดการผลิตทำนายเบื้องต้นไว้ที่ปีละ 1.5 แสนคัน หากมีความต้องการสูงก็สามารถเพิ่มกำลังผลิตเป็น 2 แสนคันต่อปีได้

 

Nissan

 

Nissan ESFLOW Concept คือรถต้นแบบไฟฟ้าที่มีความโดดเด่นเหนือกว่ารถต้นแบบหลาย ๆ รุ่นเพราะ Nissan เคลมว่ามันใช้เทคโนโลยีเดียวกับ Nissan Leaf รถไฟฟ้าสำหรับครัวเรือนเชิงพาณิชย์รุ่นแรกของโลก มิใช่เป็นแค่รถต้นแบบดีไซน์สวย ๆ แต่ก็ไม่มีวันจะผลิตออกมาได้เลย

Nissan ESFLOW Concept พยายามตีโจทย์สำคัญให้แตกด้วยการเป็นรถสปอร์ตที่มีสมรรถนะการขับขี่ดีเยี่ยม และยังต้องเป็นรถยนต์รักษาสิ่งแวดล้อมไปในตัวด้วย

ดีไซน์ภายนอกยังไม่ทิ้งลายความเป็นรถสปอร์ตคูเป้ 2 ที่นั่งเลยแม้แต่น้อยด้วยพื้นที่ด้านหน้ายาวเหมือนกับรถสปอร์ตเครื่องยนต์ สันดาปภายในขับเคลื่อนล้อหลังเลย จุดเด่นของมันคือการออกแบบเนื้อที่กระจกรอบคันให้มีความปลอดโปร่ง และการหยิบเส้นสายรถสปอร์ตสุดคลาสสิคในอดีตมาผสมผสานกับรถต้นแบบคันนี้

โครง สร้างตัวถัง Nissan ESFLOW Concept ทำจากอลูมิเนียมน้ำหนักเบา  ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวติดตั้งเหนือบริเวณเพลากลางขับเคลื่อนล้อหลังซึ่งมอเตอร์แต่ละตัวจะ กระจายแรงขับเคลื่อนแยกอิสระล้อหลังซ้ายและขวา ทำให้รถต้นแบบคันนี้แผลงอิทธิฤทธิ์อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงต่ำกว่า 5 วินาที !!

แพ๊คเกจแบตเตอรี่ลิเธี่ยมไอออนชนิดเดียวกับ Nissan Leaf จะติดตั้งบริเวณเหนือเพลาหน้าและเพลาหลังเพื่อรักษาสมดุลตัวรถและที่สำคัญ มันมีระยะทางวิ่งสูงสุดถึง 240 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มประจุ 1 ครั้ง ถ้าจะบอกว่ารถคันนี้คือ Nissan Leaf Z นี่ผมจะเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจเลยครับ

 

Opel

 

 

ในเมื่อ Chevrolet Volt มีความพร้อมด้านการผลิตจำหน่ายให้ลูกค้าจริงไฉนแฝดสยามอย่าง Opel Ampera จึงนิ่งเฉยอยู่ไย รีบนำรถเวอร์ชันผลิตจริงอวดโฉมในงานจะดีกว่า รูปโฉมโนมพรรณไม่แตกต่างจากรถต้นแบบมากนัก แต่ถ้าถามว่าต่างกับ Chevrolet Volt ไหม? มันต่างแน่นอน

โดยเฉพาะรูปร่างหน้าตามาสไตล์ Opel ยุคใหม่ดูปราดเปรียวเพรียวลมกว่าเดิมและสร้างจุดเด่นด้วยช่องติดตั้งไฟตัดหมอกลากยาวไปถึงไฟหน้าดูเผิน ๆ เหมือนกับเขี้ยวสัตว์เลี้ยงด้วยนม

ขุมพลังยกมาจาก Chevrolet Volt มีพละกำลังมากถึง 150 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 37.37 กิโลกรัมเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 9 วินาที ความเร็วสูงสุด 161 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

Opel Zafira Tourer Concept ถอดแบบเอกลักษณ์หน้าตาจาก Opel Ampera และยังคล้าย ๆ กับรถต้นแบบ Opel ก่อนหน้านั้นไม่น้อยทำให้ Zafira ยุคใหม่ดูกระฉับกระเฉงแบบสปอร์ตมากขึ้น ล้ำสมัยด้วยไฟหน้าแบบ LED

ดีไซน์ภายนอกที่ทำให้ตัวรถดูสปอร์ตยิ่งขึ้นก็คือการขึ้นเส้นเว้นบริเวณชาย ประตูหน้าหลังเหมือนกับ Opel Astra และ Opel Insignia ดูทะมัดทะแมงด้วยกระจกด้านหลังที่ดูเล็กกว่ารุ่นเดิม

ภายในห้องโดยสารถอดแบบจากรถยนต์ Opel เป็นจุดเด่นที่แตกต่างจากรุ่นก่อน ๆ ด้วยแนวคิด Lounge Room เน้นความสว่างแบบหรูหรา ความสะดวกสบายดุจห้องเลาจ์จริง ๆ แม้กระทั่งเบาะนั่งตอนที่ 2 ยังออกแบบพนักพิงหลังพับลงเป็นที่วางแขนสุดหรู

ห้องโดยสารตอนหน้าก็สะดวกสบายด้วยหน้าจอสัมผัสภายในใต้เลย์เอาท์การออกแบบโค รงแดชบอร์ดเหมือน ๆ กับรถยนต์ Opel รุ่นอื่น ๆ หากมองเผิน ๆ ก็คล้ายแผงคอนโซล Nissan Teana

Porsche

 

Porsche Panamera S Hybrid คือไม้เด็ดที่หลายคนสามารถสัมผัสได้เพราะมันเป็นรถ Hybrid ที่ซุ่มวางแผนมานานมากถึง 3-4 ปีที่แล้ว และมันยังมาถูกจังหวะเสียด้วยเพราะ Panamera ประสบความสำเร็จเกินความคาดหมายและน่าจะกระตุ้นตลาดซีดานคูเป้ในกลุ่ม Super Niche Car ให้เติบโตยิ่ง ๆ ขึ้น

จุดเด่นของ Porche Panamera S Hybrid ก็คือการตั้งมาตรฐานใหม่ของรถทรงพลังและสามารถประหยัดพลังงาน ลดมลภาวะได้ในตัวด้วยขุมพลังที่ยกมาจาก Cayenne S Hybrid ผสมผสานระหว่างเครื่องยนต์สันดาปภายใน V6 3 ลิตร 333 แรงม้า และมอเตอร์ไฟฟ้า 47 แรงม้า รวมกำลังก็กลายเป็น 380 แรงม้า จับคู่เกียร์อัตโนมัติ Tiptronic S 8 จังหวะ

มอเตอร์ไฟฟ้าทำหน้าที่เป็นเจเนอเรเตอร์และสตาร์ทเตอร์ในตัว แต่น่าเสียดายที่ยังใช้แบตเตอรี่แบบนิเกิล เมทัล ไฮดรายอยู่

อัตรา เร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 6 วินาที ความเร็วสูงสุด 270 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สามารถวิ่งในโหมดรถไฟฟ้าระยะทางสูงสุด 2 กิโลเมตร ความเร็วสูงสุด 85 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 7.1 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร

 

Renault

 

ปีที่แล้วก็ปล่อยรถต้นแบบ Renault Dezir อวดแนวคิด Design Language ของ Renault ยุคใหม่ มาแปลกด้วยรถสปอร์ตปรารถนาอารมณ์แห่งรักและความรู้สึกแทนที่จะแสดงออกถึง สัญชาติญาณอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับพลังหรือธรรมชาติ ถือว่าฉีกแนวความคิดการออกแบบแตกต่างจากค่ายอื่น ๆ มาก

ปีนี้ Renault ก็ปล่อย Captur Concept ต้นแบบสปอร์ตครอสโอเวอร์บุคลิกสนุกสนาน แสดงออกถึงความเรียบง่าย ความรู้สึก และอารมณ์ผ่านเส้นสายอันก้าวล้ำ เอาใจคนหนุ่มสาวอย่างที่ Mr. Laurens Van den Acker ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบ Renault อยากที่จะให้มันเป็น

สัดส่วนและเส้นสายของ Renault Captur เต็มเปี่ยมไปด้วยเส้นเว้าและมัดกล้ามเนื้อในในแบบฉบับรถลุย โดยเฉพาะบริเวณแก้มด้านหน้าดูคล้ายมัดกล้ามเนื้อจริง ๆ โดดเด่นด้วยประตูปีกนกเปิดกว้างได้และหลังคาครอบห้องโดยสารครึ่งคันบนทำจาก คาร์บอนไฟเบอร์สามารถยกถอดออกกลายเป็นรถครอสโอเวอร์เปิดประทุนได้ในตัว

ขุมพลังของ Renault Captur Concept คือเครื่องยนต์ดีเซล 1.6 ลิตร เทอร์โบคู่ 160 แรงม้า (HP) แรงบิดสูงสุด 38.38 กิโลกรัมเมตรที่รอบต่ำแค่ 1,750 รอบต่อนาทีจับเกียร์คลัทช์คู่ทำให้ปล่อยค่าไอเสีย 99 กรัมต่อกิโลเมตร

ไหน ๆ Renault ก็นำเสนอรถต้นแบบอเนกประสงค์ไปแล้วเขาก็เลยจัดเต็มด้วยการอวดโฉม Renault R Space Concept ที่นำเอา Design Language ยุคใหม่มาประยุกต์กับรถครอบครัว แน่นอนรูปลักษณ์ที่เห็นต้องมีความสปอร์ตอยู่มาก

จุดเด่นอยู่ที่ขุมพลังเบนซิน 3 สูบ 900 ซีซี เทอร์โบ ให้พละกำลัง 110 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 16 กิโลกรัมเมตร จับคู่เกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่เพิ่มประสิทธิภาพ ก็ถือว่าให้พละกำลังราวกับเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร แต่ให้ความประหยัดน้ำมันแบบจิ๊บ ๆ แค่เพียง 3.8 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร และปล่อยค่าไอเสีย CO2 เพียงแค่ 95 กรัมต่อกิโลเมตร

Rolls-Royce

 

Rolls-Royce ก็พร้อมลุยตลาดรถไฟฟ้ากับเขาบ้างด้วยการอวดโฉมบางส่วนของ 102EX สร้างขึ้นบนพื้นฐาน Phantom โฉมใหม่นั่นเอง

Mr. Torsten Müller-Ötvös ผู้บริหาร Rolls-Royce แสดงความมั่นใจผ่าน Press Release ไว้ว่ารถไฟฟ้าคันนี้เป็นความภาคภูมิใจระดับสูงสุดเพราะเป็นรถไฟฟ้าคันแรกใน กลุ่ม Ultra Luxury การเพิ่มพลังงานทางเลือกก็ช่วยทำให้วิถีแบรนด์ Rolls-Royce ยั่งยืนในอนาคตได้

จุดเด่นอยู่ที่ขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวให้กำลังรวมกันถึง 389 แรงม้า แรงบิดมหาศาล 800 นิวตันเมตรหรือ 80.8 กิโลกรัมเมตร ให้อัตราเร่ง 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมงภายใน 6 วินาที ความเร็วสูงสุด 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีระยะทางวิ่งสูงสุด 200 กิโลเมตร

 

Saab

 

 

Saab 9-5 SportCombi เป็นรถแวกอนมีบุคลิกปราดเปรียวให้ความสนุกสนานในการขับขี่ผสมผสานกับความอเนกประสงค์จน กลายเป็นจุดเด่นในตลาดแวกอนขนาดกลางระดับหรู

ดีไซน์ภายนอกได้รับสาย เลือดมาจากเวอร์ชันซีดานเต็มเปี่ยมด้วยแนวคิดการออกแบบ Aero-X Concept แม้โดยรวมลักษณะการออกแบบก็ไม่ได้ฉีกแนวไปจาก Saab ยุคใหม่มากนักแต่ Saab ก็พยายามพรรณนาโวหารรายละเอียดต่าง ๆ เช่น การออกแบบกระจกบานสุดท้ายเชื่อมติดกับเสา D ดูเป็นช่องกระจกต่อเนื่อง, เส้นบ่าข้างราวกับไม้ฮอกกี้ และไฟท้ายโปร่งใสราวกับก้อนน้ำแข็งเหมือนกับ Saab 9-4x

ห้องสัมภาระของ Saab 9-5 SportCombi มีเนื้อที่ 527 ลิตร เมื่อพับเบาะหลัง 60/40 จะมีเนื้อที่เพิ่มถึง 1,586 ลิตร หากมีสินทรัพย์อันมีค่าก็สามารถซ่อนใต้พื้นห้องสัมภาระได้ ยังไม่พอ Saab ติดตั้งช่องชาร์จไฟประจุ 12 โวลต์ให้ด้วย

Saab 9-3 Griffin ได้รับแรงบันดาลใจจาก Saab 9-5 โฉมใหม่ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจต่อจาก Saab Aero-X Concept อีกทอดหนึ่ง โดดเด่นด้วยไฟหน้าสไตล์ “ก้อนน้ำแข็ง” โคมภายในติดตั้งไฟส่องสว่างตอนกลางวันสีเขียว+สีน้ำเงิน, กระจังหน้าปรับโฉมให้ทะมัดทะแมงยิ่งกว่าเดิมพร้อมชุดกันชนหน้าทรงสปอร์ตกว่า เดิมและปรับปรุงรายละเอียดช่องติดตั้งไฟตัดหมอกหน้า

ท้ายสุดก็ยังมีรถต้นแบบ Saab PhoeniX สุดสวยหลังพ้นจากร่มเงาของ GM แล้วซึ่งแสดงออกถึงแนวทางการออกแบบ Saab ยุคใหม่อย่างแท้จริงเปี่ยมไปด้วยสัญลักษณ์ของการฟื้นฟูแห่งนวตกรรมของจิตวิญญาณ ในแบบที่เรียกกันว่า Aeromotional ภายในห้องโดยสารติดตั้งหน้าจอแสดงข้อมูลที่รันด้วยระบบปฏิบัติการ Android

ขุมพลังของ Saab PhoeniX ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร เทอร์โบ 200 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 25.25 กิโลกรัมเมตร ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าไว้ที่เพลาขับล้อหลังให้กำลัง 34 แรงม้า ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 5.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีอัตราสิ้นเปลือง 5 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสีย CO2 119 กรัมต่อกิโลเมตร

 

Seat

 

ภายใต้สถานการณ์ตะกุกตะกักเช่นนี้ Seat นิ่งเฉยไม่ได้แล้วจึงต้องขออวดโฉมรถต้นแบบครอสโอเวอร์เอสยูวีที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในตลาดยุโรปในนาม Seat IBX Concept คาดว่าน่าจะได้รับแรงบันดาลใจจาก Seat Tribu Concept ครั้นเมื่อเคยจัดแสดงในปี 2006

ดีไซน์ของรถโดยรวมกลับดูไม่แตกต่างจากรถครอสโอเวอร์ในตลาดทั้งปัจจุบันและอนาคตเลยแม้แต่น้อย นั่นก็คือการมีส่วนผสมของรถแบบเอสยูวีปั่นเข้ากับรถแนวคูเป้ไว้ด้วยกัน

 

Skoda

 

 

เมื่อถึงยุคทศวรรษใหม่ Volkswagen Group จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนแนวคิดและภาพลักษณ์แบรนด์ Skoda ไปสู่ความล้ำสมัยมากขึ้นภายใต้สโลแกนใหม่ The new Power Of Skoda

ครั้น จะนำเสนอความเคลื่อนไหวทิศทางแบรนด์ใหม่คงจะไม่ทำให้ลูกค้าเชื่อ 100% ว่า Skoda จะ Refresh ตัวเองให้สดใหม่จริง ดั้งนั้น Skoda จำเป็นต้องอวดโฉมรถต้นแบบอันไปสู่การพัฒนาเป็นรถคันจริงในอนาคตนั่นก็คือ Skoda Vision D Concept อวดโฉมครั้งแรกในงาน Geneva Motorshow 2011

จุดเด่นของรถยนต์สัญลักษณ์ใหม่คันนี้ก็คือการกำหนดสัดส่วนของรถด้วยการยืด ฐานล้อให้ยาวที่สุดโดยที่หดระยะยื่นหน้า-ท้ายให้สั้นลง, แนวเส้นหลังคาให้อารมณ์ราวกับรถยนต์นั่งระดับสูง, ด้านหน้าโดดเด่นด้วยกระจังหน้าทรงใหม่พร้อมฝากระโปรงหน้ามีติ่งกลางย้อยลงมา เพื่อติดตั้งโลโก้ Skoda ใหม่

โดยรวมก็ยังถือว่ามีกลิ่นการออกแบบ Volkswagen ยุคใหม่ค่อนข้างเยอะพอสมควรโดยเฉพาะไฟหน้า, กันชนหน้า และการลากเส้นสายด้านข้าง

 

Smart

 

วันนี้ Smart ก็เปิดเผยโฉม ForSpeed Concept ด้วยรูปร่างหน้าตาที่ไม่แตกต่างจากภาพหลุดคราวก่อนนั้นมากนัก รถต้นแบบคันนี้พาลทำให้นึกถึง Smart Crossblade รถต้นแบบเปิดประทุนที่ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐาน Smart Fortwo รุ่นปัจจุบันเน้นความโปร่งใสของประตูถูกอวดโฉมภายในปี 2003 ความแตกต่างของ Smart ForSpeed Concept ก็คือการบอกเล่าหน้าตาของ Smart Fortwo โฉมใหม่และรถยนต์ Smart รุ่นอื่น ๆ

ดีไซน์ Smart ForSpeed Concept ถูกออกแบบเน้นแนวน่ารักคล้าย ๆ รถจักรยานยนต์ญี่ปุ่นบางรุ่นพร้อมช่องดักลมด้านหน้าขนาดใหญ่ เส้นสายรอบคันโค้งมนทันสมัยเหมาะสมกับรถยุคปี 2011 การออกแบบห้องโดยสารเพิ่มความหรูพรีเมี่ยมมากขึ้นและยังเน้นความสมมาตรของ แผงหน้าปัดทำให้ไม่มีปัญหาการสับเปลี่ยนตำแหน่งพวงมาลัยมากนัก แผงแดชบอร์ดกลางก็เน้นความน่ารักและการใช้งานง่าย มีช่องวางอุปกรณ์ขนาดเล็กได้

จุดเด่นของรถต้นแบบคันนี้คือมอเตอร์ไฟฟ้า 40 แรงม้า (PS) ติดตั้งด้านหลัง ระยะทางวิ่งสูงสุด 135 กิโลเมตร และสามารถเพิ่มแรงม้าอีก 7 แรงม้าเมื่อกดปุ่มเพิ่มพลังแต่ก็ทำให้มีระยะทางวิ่งสูงสุด 120 กิโลเมตร

Subaru

 

 

 

งานนี้ไม่ได้มาโชว์รถอย่างเดียวแต่ Subaru ขอมาโชว์โครงสร้างทางวิศวกรรมของรถสปอร์ตขนาดเล็กที่พัฒนาร่วมกับ Toyota หรือว่าง่าย ๆ รถสปอร์ตคูเป้เล็กคันนี้จะเป็นแฝดสยามร่วมกับ Toyota FT-86 II นั่นเอง

โครงสร้างตัวรถอวดให้เห็นระบบขับเคลื่อนล้อหลัง, การติดตั้งเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรสูบนอนไร้ระบบอัดอากาศใด ๆ ไว้ด้านหน้าตัวรถ เพื่อแสดงถึงจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำสามารถตอบสนองคุณภาพด้านการขับขี่ได้ดี

 

Toyota

 

 

ค่ายรถญี่ปุ่นปีนี้คงไม่มีใครน่าสนใจเท่ากับ Toyota อีกแล้วเพราะอวดโฉมรถยนต์นั่งรุ่นเด่นถึง 3 รุ่นได้แก่ Toyota FT-86 II, Toyota Yaris HSD Concept และ Toyota Prius+ มินิแวน 7 ที่นั่ง

Toyota FT-86 II รถต้นแบบกึ่ง Prototype ที่ใกล้เคียงกับเวอร์ชันคันผลิตจริงมากที่สุดราว 90% ซึ่งพวกเขาบอกว่าได้แรงบันดาลใจจากรถในตำนานอย่างรุ่น 2000 GT ยุค 60 โดยผู้ที่ต้องรับผิดชอบการออกแบบ Toyota FT-86 II ก็คือศูนย์การออกแบบ ED2 ซึ่งเคยออกแบบ Toyota Yaris โฉมปัจจุบัน

ดูเหมือนว่า Toyota จะยังคงรักษาแนวคิดการออกแบบ FT-86 II ให้ใกล้เคียงกับรถต้นแบบครั้งแรกเมื่ออวดโฉมในงาน Tokyo Motorshow 209 ค่อนข้างมาก ด้านหน้าแทบจะถอดแบบมาจาก FT-86 เวอร์ชันแรก แต่จะต่างกันในรายละเอียด ได้แก่ ลบช่องดักลมซ้าย-ขวาบริเวณกันชนหน้าทิ้งไป, ติดตั้งไฟส่องสว่างกลางวัน LED บริเวณกันชนแนวตั้ง, เพิ่มความโหนกนูนบริเวณซุ้มล้อหน้าสร้างความดุดันเพิ่มมากขึ้น, ฝากระโปรงหน้าออกแบบให้ใช้เนื้อที่ระดับหนึ่งไม่กินยาวจนถึงกันชนหน้า, ติดตั้งช่องดักลมบริเวณแก้มด้านข้างรถ เป็นต้น

สัดส่วนตัวรถดูคล้ายของเดิมแต่ Toyota จับยืดขยายให้มีความเป็นรถสปอร์ตขับเคลื่อนล้อหลังมากยิ่งขึ้นด้วยการยืด ระยะห้องเครื่องให้ยาวไปอีก, ออกแบบแนวหลังคาสูงขึ้นแต่ลาดยาวกว่ารถต้นแบบเวอร์ชันแรก, มีการเล่นเส้นสันของขอบซุ้มล้อหน้าและหลังด้วย

Toyota Yaris HSD Concept อาศัยร่างทรง Yaris รุ่นใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวในญี่ปุ่นเดือนธันวาคมปีที่แล้ว เรื่องรูปร่างหน้าตาคงไม่ติดใจอะไรมากนักเพราะแทบจะถอดแบบ Yaris รุ่นใหม่ยกเว้นตกแต่งรายละเอียดต่าง ๆ เพื่อให้ลูกค้ารับทราบว่ามันคือ Hybrid

จุดเด่นสำคัญก็คือระบบ Full Hybrid ครั้งแรกในกลุ่มรถยนต์ระดับ B-Segment แน่นอนจุดขายนี้ก็สามารถทำลายยอดขาย Honda Jazz Hybrid ได้ในชั่วพริบตาหากผลลัพธ์สามารถยืนยันได้ว่า Toyota Yaris Hybrid มีสมรรถนะและอัตราสิ้นเปลืองดีกว่า อันเนื่องจากเหตุผลด้านเทคนิคที่ดีกว่า

Toyota ชูจุดเด่นเป็นรถ Full Hybrid ที่มีค่าบำรุงรักษาต่ำและมีความทนทานสูงเพราะไม่ใช้สตาร์ทเตอร์ สายพานไทม์มิ่งและสายพานขับเคลื่อน

และสามารถกักเก็บพลังงานไฟฟ้าเพิ่มเติมจากแผงโซลาร์บนหลังคารถเพื่อปั่นกำลังให้เครื่องปรับอากาศ ลดการใช้พลังงานอีกทางหนึ่ง

กำหนดวางจำหน่ายในตลาดยุโรปช่วงปลายปี 2012 ที่โรงงานวาเลนเซีย ประเทศฝรั่งเศส

คัน ต่อมา Toyota Prius + มินิแวน Hybrid 7 ที่นั่ง อาศัยรูปร่างหน้าตาเหมือนกับ Prius V ที่เพิ่งเปิดตัวไปในสหรัฐอเมริกาจนทำให้เรางุนงงกันว่าตกลงแล้ว Toyota จะทำตลาดรถคันนี้มีกี่ที่นั่งกันแน่

อย่างไรก็ตามถ้ามันจะเตรียมวางจำหน่ายในยุโรป จุดเด่นของมันที่ไม่เหมือนใครก็คือเป็นรถมินิแวน 7 ที่นั่งที่มีอัตราสิ้นเปลืองดีที่สุดในตลาดยุโรปแน่นอน เว้นเสียแต่ว่า Ford จะมีนโยบายวางจำหน่าย C-Max เวอร์ชัน Hybrid ด้วยเจ้า Prius+ น่าจะมีคู่แข่งที่น่ากลัวเพิ่ม

ภายในห้องโดยสารอเนกประสงค์ด้วยเบาะนั่งตอนที่ 2 แยกพนักพิงและเบาะนั่งตอนที่ 3 สามารถพับแยกลง 50:50 ได้

 

Volkswagen

 

ปีนี้น่าจะเรียกว่า Volkswagen เป็นเจ้าพ่อในวงการรถยนต์ระดับโลกได้เลยอย่างน้อยก็เปิดตัวรถรุ่นใหม่และรถต้นแบบไม่ต่ำกว่า 6 คันเข้าไปแล้ว เข้าใจว่าต้องการแผ่อิทธิพลเพื่อเตรียมตัวขึ้นเป็นเบอร์ 1 แทนที่ Toyota หรือไม่ก็ GM

เริ่มจาก Volkswagen Bulli รถต้นแบบ MicroBus กลับชาติมาเกิดด้วยแนวคิดของรถถูกปรับปรุงไปจากเดิม จากที่เคยเอาใจกลุ่มลูกค้าครอบครัวขนาดใหญ่ ก็หันมาเจาะกลุ่มลูกค้าวัยรุ่น เพื่อนเยอะ ด้วยแนวคิดเบาะนั่งแบบ 6 ที่นั่ง (3 + 3 Seaters) แทนที่จะเป็นแบบ รถตู้7-8 ที่นั่ง เหมือนสมัยก่อน ดูได้จากตัวถังมีความยาว 3,990 มิลลิเมตร กว้าง 1,750 มิลลิเมตร สูง 1,750 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อยาว 2,620 มิลลิเมตร บ่งบอกให้เรารู้อย่างชัดเจนว่า เป้าหมายในการกลับมาเกิดครั้งนี้ คือเอาใจวัยรุ่นที่กำลังมองหารถยนต์ใช้งานในเมือง ทรงสูงหน่อย อย่าง Nissan Cube , Kia Souls , Toyota Corolla Rumion/ Scion xB

ถึงกระนั้น เส้นสายภายนอกยังคงกลิ่นอายดั้งเดิมของ Microbus เอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้สีทูโทน หรือการออกแบบด้านหน้ารถให้เป็นรูปตัว V คล้ายกับ Microbus รุ่น Original ติดตั้งล้ออัลลอย 18 นิ้ว พร้อมฝาครอบดุมล้อ

ภายในรถ ตกแต่งด้วยสีแดง ทีมออกแบบเล่นแรงๆ ด้วยการนำ iPad มาติดตั้งฝังไว้ให้ทำหน้าที่เป็นจอ Multi-Function Touchscreen ไปจนถึงระบบเครื่องเสียง สวิชต์เครื่องปรับอากาศ และระบบนำทาง Navigation System บนแผงควบคุมคอนโซลกลาง ซึ่งสามารถยกออกไปใช้งานที่อื่นได้เหมือน iPad ธรรมดาทั่วไป (ต้องขอชมเชยว่าแนวคิดนี้ ล้ำมากๆ)

รถคันนี้ขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้า ด้วยมอเตอร์ 115 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 260 นิวตันเมตร ที่รับกำลังไฟฟ้าจากแบ็ตเตอรี lithium-ion 40 กิโลวัตต์  ให้อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ในเวลา 11.5 วินาที และทำความเร็วสูงสุด ล็อกเอาไว้ที่ 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย

ผลงานที่ Volkswagen ภูมิใจนำเสนอเห็นจะเป็นต้นแบบรถยนต์ขนาดเล็กที่ออกแบบโดยทีมงาน ItalDesign Giugiaro ได้แก่ Volkswagen Go! และ Tex

Volkswagen Go! มินิแวนไฟฟ้าขนาดเล็กเล็กมีความยาวตัวถังไม่เกิน 4 เมตรแต่ฐานล้อยาวมากถึง 2,700 มม. ติดตั้งแบตเตอรี่ใต้เบาะหน้า-หลัง กระจายสัดส่วนน้ำหนักตัวถังด้านหน้า 58% และด้านหลัง 42%

ทีมงาน อาศัยประสบการณ์ออกแบบรถเล็กที่มีเนื้อที่ใช้สอยในห้องโดยสารมากหลายรุ่น แล้ว อาทิ รถ Taxi New York ปี 1976, MegaGamma ในปี 1978, Structura ปี  1998 และ Proton Emas ในปี 2010 มาประยุกต์จนได้ Volkswagen Go! ที่มีเนื้องที่ห้องโดยสารมากกว่ารถเอสยูวีขนาดใหญ่เสียอีกทั้งยังมีเนื้อที่ ห้องสัมภาระมหัศจรรย์ถึง 400-525 ลิตร

ภายในห้องโดยสารมีจุดเด่นที่ความสะดวกสบายมากกว่าโชว์ความล้ำสมัยและความ สะดวกสบายตามหลักสรีระศาสตร์ ItalDesign พยายามตีโจทย์การใช้รถในเมืองได้แตกฉานกว่าที่คิดด้วยการเพิ่มลูกเล่นกล่อง เก็บของกลางหรือที่ท้าวแขนสามารถเลื่อนไปยังห้องโดยสารตอนหน้าและตอนหลังได้ ซึ่งแนวคิดนี้คล้าย ๆ กับ Mazda Premacy และ Nissan Serena

ความชาญฉลาดของ ItalDesign ก็คือพวกเขาทราบดีว่าการขับรถจอดในที่แคบเป็นเรื่องยากลำบากแล้ว แต่การออกจากรถในที่แคบลำบากยิ่งกว่า ดังนั้นการติดตั้งกล่องเก็บของที่เป็นที่ท้าวแขนในตัวเลื่อนไปมาได้ก็ทำให้ ผู้ขับขี่หรือผู้โดยสารตอนหน้าเดินอ้อมไปยังด้านหลังแล้วเปิดบานประตูสไลด์ ด้านหลังลงรถอย่างสวยงามได้

ขุมพลังของ Volkswagen Go! เป็นมอเตอร์ไฟฟ้าระบบ Blue-e-motion ที่ Volkswagen เป็นฝ่ายพัฒนามีระยะทางวิ่งสูงสุด 240 กิโลเมตร

Volkswagen Tex รถคูเป้ 3 ประตูที่มีเส้นสายง่าย ๆ แต่แข็งกร้าวสืบสายตำนานรถสปอร์ตแห่งแบรนด์ Volkswagen ได้อย่างลงตัวและกำหนดเทรนด์การออกแบบรถสปอร์ตยุคใหม่ของ Volkswagen ในอนาคตได้

Volkswagen Tex มีความสูงตัวรถเพียงแค่ 1,355 มม. กว้าง 1,750 มม. ด้านหน้าดูผอมเพรียวเหมือนกับรถสปอร์ตยุค 80 ที่มีหน้าต้านแคบมาก ๆ  พร้อมฝากระโปรงหน้าขึ้นสันรูปตัว V ติดตั้งล้อขนาด 19 นิ้ว ออกแบบให้มีช่องดักลมด้านข้างบริเวณประตูหน้า

เมื่อเป็นรถสปอร์ตก็ไม่จำเป็นต้องออกแบบให้มันอึดอัด งานนี้ทีมงานติดตั้งกระจกพาโนรามิคบนหลังคากินเนื้อที่ไปยังห้องโดยสารตอนหลัง

ขุมพลังของ Volkswagen Tex ใช้ระบบ Plug-in Hybrid ที่เรียกกันว่า Twin Drive พ่วงด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 1.4 ลิตรเทอร์โบ พ่วงมอเตอร์ไฟฟ้า 113 แรงม้า และสามารถรีดแรงบิดสูงสุด 40 กิโลกรัมเมตร ขับเคลื่อนล้อหน้าจับคู่เกียร์อัตโนมัติ Direct Shift 7 จังหวะ

ยิ่งเป็น Hybrid ยิ่งดีใหญ่เพราะสามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 6 วินาทีเท่านั้น ความเร็วสูงสุด 220 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หากคุณอยากจะประหยัดน้ำมันถึงวินาทีสุดก็ใช้โหมดพลังงานไฟฟ้าซึ่งมีระยะทาง วิ่งสูงสุด 35 กิโลเมตร

งานนี้มีเซอร์ไพร์ซเล็ก ๆ ด้วยการแนะนำ Volkswagen Golf Cabriolet คืนมาอีกครั้งหลังห่างหายจากวงการไปนานถึง 7 ปีเต็ม

การกลับมาของ Volkswagen Golf Cabriolet ครั้งนี้ก็ย่อมต้องสร้างความแตกต่างให้กับ Golf รุ่นปัจจุบันบ้างด้วยการออกแบบเสาคู่หน้าให้เอนลาดลงไปอีกพร้อมทั้งออกแบบ แนวหลังคาให้เตี้ยลง, ซ่อนโรลบาร์ไว้ในลำตัวรถสามารถกระดกค้ำยันตัวรถทันทีเมื่อเกิดการพลิกคว่ำ, หลังคาผ้าใบสามารถเปิด/ปิดได้ในขณะที่รถวิ่งความเร็ว 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

โดยรวมยังใช้โครงสร้างตัวถังพื้นฐานร่วมกับ Volkswagen Golf เจเนเรชั่นปัจจุบันช่วยลดต้นทุนการพัมนาไปได้มาก แม้กระทั่งบั้นท้ายยังถอดแบบมาจาก Golf GTI เลย

Volkswagen Golf Cabriolet ติดตั้งเครื่องยนต์ตั้งแต่ 105 แรงม้า (PS) ไปจนถึง 210 แรงม้า (PS) เกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ DSG เป็นอุปกรณ์ให้เลือก เครื่องยนต์ไฮไลต์หนีไม่พ้นเครื่องยนต์ดีเซล 1.6 ลิตร TDI 105 แรงม้า (PS) ประหยัดถึง 4.4 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรปล่อยค่าไอเสีย CO2 เพียง 117 กรัมต่อกิโลเมตร

 

Volvo

 

 

สุดท้าย ท้ายสุด Volvo ก็ส่ง V60 Plug-in Hybrid กระตุ้นตลาดกับเขาบ้าง จุดเด่นของรถคันนี้คือขุมพลัง Hybrid ชนิดดีเซลบล๊อก 5 สูบ 2.4 ลิตร ให้กำลัง 215 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 44.44 กิโลกรัมเมตร พ่วงด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าแบบเพลาหลังไฟฟ้าในตัวให้พลังถึง 70 แรงม้า กักเก็บไฟด้วยแบตเตอรี่ลิเธี่ยมไอออนกินไฟ 12 กิโลวัตต์ชั่วโมง หรือว่ากันง่าย ๆ รถคันนี้ก็จัดว่ามีระบบขับเคลื่อน All Wheel Drive ในตัว

ผู้ใช้สามารถชาร์จประจุให้เต็มได้ภายใน 7 ชั่วโมงครึ่งสำหรับกระแสไฟบ้าน 230 โวลต์ 6 แอมป์หรือภายใน 3 ชั่วโมงสำหรับการชาร์จประจุแบบเร่งด่วน 230 โวลต์ 16 แอมป์ ผลลัพธ์คือ Volvo V60 Plugi-in Hybrid คันนี้ประหยัดน้ำมันแค่ 1.9 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสียต่ำมากถึง 49 กรัมต่อกิโลเมตร นอกจากนี้ยังสามารถใช้โหมดขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้าอย่างเดียวระยะทางสูงสุด 50 กิโลเมตร

ผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมดการขับขี่ถึง 3 โหมดได้แก่โหมด Pure ให้ระบบใช้กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้ามากที่สุดเท่าที่จะกระทำได้, โหมด Hybrid ให้มอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ดีเซลทำงานร่วมกันและโหมด Power การทำงานคล้ายโหมด Hybrid แต่เป็นการเร่งพลังสูงสุดในระยะสั้น ๆ ด้วยตัวเลขความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายในแค่ 6.9 วินาที