Jeep เปิดตัวรุ่นปรับโฉมของ Wrangler สำหรับตลาดอเมริกาเหนือไปเมื่อเดือนมิถุนายน 2023 จนกระทั่งได้มีการปล่อยทีเซอร์ว่าจะมีการวางจำหน่ายในภูมิภาคยุโรปในวันที่ 12 กันยายน 2023 นี้ โดยเป็นการยกชุดรุ่นที่จำหน่ายอยู่ในอเมริกาเหนือที่ได้รับการปรับปรุงงานออกแบบให้มีความสดใหม่ รวมไปถึงมีการติดตั้งอุปกรณ์มาตรฐานมาให้เข้ากับยุคสมัยมากยิ่งขึ้น และแน่นอนว่า ต้องมาพร้อมทางเลือกกับขุมพลังเพียงแบบเดียวนั่นก็คือรุ่นย่อย 4xe หรือ ขุมพลัง Plug-in hybrid
Wrangler รุ่นปรับโฉมได้รับการติดตั้งกระจังหน้าชิ้นใหม่ แต่ยังคงไว้ซึ่งช่องรับลมกระจังแบบ 7 ซี่เช่นเดิม โดยได้เพิ่มเติมรายละเอียดการตกแต่งสีดำเงา พร้อมด้วยสีเทาและสีตัวรถเพิ่มรายละเอียดให้โดดเด่นยิ่งขึ้น ขณะที่รุ่นย่อย Sahara จะได้รับการติดตั้งขอบสี platinum silver โดย Jeep อ้างว่ากระจังหน้าแบบใหม่นี้มีประสิทธิภาพในการระบายความร้อนได้ดียิ่งขึ้น สิ่งที่น่าเสียดายได้แก่การเปลี่ยนเสาอากาศจากแบบเสาเหล็กดั้งเดิม มาใช้แบบติดตั้งร่วมกับกระจกบังลมหน้าแทน
หลังคาแบบ Open-air ที่มีให้เลือก 2 รูปแบบ ได้แก่ สีเดียวกับตัวถังและสีดำ ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถเลือกปรับแต่งรูปแบบของประตูเพื่อให้สามารถถอดแบบแยกชิ้นได้ตามสั่ง รวมไปถึงหลังคากระจกในรุ่น Hard-top มีล้ออัลลอยให้เอกทั้งหมด 5 รูปแบบ ตั้งแต่ขนาด 17 ไปจนถึง 20 นิ้ว ตามการใช้งาน พร้อมด้วยสีตัวถังให้เลือกมากกว่า 10 เฉดสี
ภายในมาพร้อมกับการอัพเดทอุปกรณ์มาตรฐานให้ทันสมัย เริ่มต้นด้วยหน้าจอกลางขนาด 12.3 นิ้ว ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Uconnect 5 ซึ่งมีความทันสมัยและขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของรถตระกูล Wrangler มาพร้อมการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย พร้อมด้วยระบบความปลอดภัยพื้นฐานอย่าง ระบบเตือนผู้ขับขี่เหนื่อยล้า ระบบเตือนรถออกนอกเลน และระบบตรวจจับสัญญาณจราจร
ขุมพลังที่มีให้เลือกเพียงแบบเดียวสำหรับตลาดยุโรป ได้แก่ เครื่องยนต์เบนซินความจุ 2.0 ลิตร 4 สูบ พ่วงระบบอัดอากาศเทอร์โบชาร์จเจอร์และมอเตอร์ไฟฟ้าจำนวน 2 ตัว ทำให้ได้กำลังสูงสุดมากถึง 380 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 637 นิวตัน-เมตร จับคู่กับระบบส่งกำลังเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ระบบ TorqueFlite โดยสามารถวิ่งเป็นระยะทาง 21 ไมล์ (33.6 กิโลเมตร) ด้วยการใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ความจุ 17 kWh พร้อมด้วยโหมดการขับขี่ที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็น โหมด EV โหมดประหยัดแบตเตอรี่ หรือโหมดสั่งให้เครื่องยนต์ปั่นไฟชาร์จแบตเตอรี่
ขณะที่ใครที่มองหาขุมพลังเครื่องยนต์สันดาปภายในล้วน ต้องรีบจับจองเป็นเจ้าของก่อนที่จะหมดโควตา สำหรับลูกค้าชาวเยอรมัน อิตาลี โปแลนด์และสเปนเท่านั้น เนื่องจาก Jeep ยังมีเครื่องยนต์เบนซินล้วนให้เลือกในจำนวนจำกัด โดนเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบ พ่วงระบบอัดอากาศเทอร์โบชาร์จเจอร์ ให้กำลังสูงสุดมากถึง 272 แรงม้า จับคู่กับระบบส่งกำลังเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ระบบ TorqueFlite
กำหนดการส่งมอบ Wrangler สำหรับตลาดยุโรปจะเริ่มต้นในช่วงต้นปี 2024 ด้วยรุ่นย่อยการตกแต่ง Shara และ Rubicon
ที่มา: Motor1