หลังจาก Mini ประกาศยุติสายพานการผลิตของ Cooper ที่แต่เดิมจะถูกผลิตขึ้นในโรงงานที่เมือง Oxford ประเทศอังกฤษ ก็ต่างมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้างว่า BMW Group จะทำอย่างไรกับโรงงานแห่งนี้ต่อไป จนกระทั่งได้มีการเข้าระดมทุนระหว่างบริษัทเองกับรัฐบาลของสหราชอาณาจักร เพื่อให้โรงงานแห่งนี้ยังคงอยู่รอดต่อไปในอุตสาหกรรมยานยนต์ซึ่งเหลือน้อยลงทุกที โดย BMW ได้ออกมาประกาศเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2023 ว่าจะอัดฉีดเงินลงทุนกว่า 600 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 2 หมื่นล้านบาท เพื่อเข้าปรับปรุงโรงงานแห่งนี้ ให้รองรับการผลิตรถ Mini ขุมพลังไฟฟ้าล้วนในอนาคตอันใกล้นี้
โดยรถ Mini ที่จะถูกขึ้นสายพานการผลิตหลังจากโรงงานแห่งนี้ได้รับการปรับปรุง ได้แก่ Cooper 3 ประตู ขุมพลังไฟฟ้าล้วน และรถ compact crossover อนุกรมใหม่ ที่เปิดตัวในฐานะรถต้นแบบไปก่อนหน้าอย่าง Aceman นับตั้งแต่ปี 2026 เป็นต้นไป
แน่นอนว่ามาตรการที่เข้มงวดของสหราชอาณาจักรที่จะมุ่งเข้าสู่ยุคของรถ EV ภายในปี 2030 จึงส่งผลกระทบให้โรงงานรถยนต์ต่างพากันปรับแผนการผลิตและหันมาผลิตรถ EV แทนรถที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป รวมไปถึงการสนับสนุนการลงทุนการจัดตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่ในสหราชอาณาจักรอีกด้วย แต่ทว่า Mini เองก็ยังไม่ได้ออกมายืนยันถึงความแน่ชัดในประเด็นนี้ ว่าแบตเตอรี่ที่จะนำมาใช้ในการผลิต Mini EV ทั้ง 2 รุ่น จะถูกผลิตขึ้นจากโรงงานแห่งไหน ยังคงอยู่ในกระบวนการสรรหา ตามความคุ้มทุนของการดำเนินธุรกิจ
ในช่วงก่อนหน้านี้ ทาง BMW Group ได้ออกมาให้ข้อมูลว่า Mini ขุมพลังไฟฟ้าล้วนทุกรุ่น จะถูกผลิตขึ้นในโรงงานที่ประเทศจีน อย่างไรก็ตาม หลังจากข่าวนี้แพร่ออกไป ทาง Mini จึงได้ยืนยันว่ารถ Cooper EV และ Aceman จะถูกผลิตขึ้นในโรงงานทั้ง 2 แห่ง เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดรถ EV ในอนาคตทั่วโลก
ยิ่งไปกว่านั้น โรงงานผลิตชิ้นส่วนของ Mini ที่ตั้งอยู่ในเมือง Swindon จะได้รับการพัฒนาด้วยเม็ดเงินลงทุนบางส่วนจากงบก้อนนี้เช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม อนาคตของโรงงานผลิตเครื่องยนต์ในเมือง Birmingham ยังไม่ถูกเปิดเผยในขณะนี้
นับว่าเป็นข่าวดีของเหล่าพนักงานและครอบครัว Mini ในสหราชอาณาจักร ที่ยังคงมีธุรกิจยานยนต์เป็นท่อน้ำเลี้ยงครอบครัวในปัจจุบันนี้ หลังจากเจอพิษผลกระทบจาก Brexit และภาวะเศรษฐกิจถดถอย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีข้อตกลงกันภายใน EU และ สหราชอาณาจักรที่จะต้องสร้างผลผลิตจากรถ EV ให้ได้เป็นสัดส่วนกว่า 45% ของยอดขายรถ EV ทั้งหมด นับตั้งแต่ปี 2024 เป็นต้นไป โดยยังไม่มีความชัดเจนกว่าบรรดาผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติยุโรปจะรับมือสถานการณ์นี้อย่างไร ท่ามกลางการเข้าบุกตลาดของบรรดาแบรนด์รถแดนมังกรในขณะนี้
ที่มา: Autoblog