Volkswagen ได้ตัดสินใจยกเลิกตัวถังซีดานใน Passat เจเนอเรชั่นที่ 9 หรือรหัสตัวถัง B9 หลังจากเริ่มจำหน่ายตั้งแต่ปี 1973 ด้วยยอดขายสะสมกว่า 30 ล้านคันทั่วโลก ที่มีทั้งตัวถังซีดานและแวกอนให้เลือกมาโดยตลอด โดยใช้งานวิศวกรรมพื้นฐาน MQB Evo Platform ที่ใช้ร่วมกันกับ 2024 Tiguan และ Golf Mk8

ขณะที่งานออกแบบภายนอกยังคงไว้ซึ่งความเรียบง่ายเหมือนกับ Passat ทุกรุ่นที่ผ่านมา แต่มีการปรับใช้ธีมการดีไซน์จากรถรุ่นอื่นๆ ในค่ายมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะจากรถตระกูลขุมพลังไฟฟ้าล้วนหรือ ID. Series ที่เพิ่งเปิดตัวไปก่อนหน้านี้อย่าง ID.7 โดยมีการแบ่งทริมการตกแต่งออกเป็น 4 เกรด ได้แก่ Passat Business Elegance และ R-Line ให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม

 

ภายนอกโดดเด่นด้วยการติดตั้งไฟหน้าแบบ matrix LED ใหม่ ที่เข้าชุดกันกับไฟท้ายแบบ dynamic LED ที่ติดตั้งไฟ LED แบบเส้นตามแนวความกว้างของตัวรถ ที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน พร้อมด้วยล้ออัลลอยตามแต่ละรุ่นย่อยที่มีขนาดใหญ่สุดถึง 19 นิ้ว เส้นสายด้านข้างที่เรียบง่ายเน้นความโปร่งของห้องโดยสาร กันชนท้ายแบบเรียบง่ายที่ติดตั้งแผ่นตกแต่งชายด้านล่างตามแต่ละรุ่นย่อย โดยในรุ่น R-Line จะใช้ลวดลายตะแกรงตาข่ายสีดำเงาเช่นเดียวกับกันชนหน้าที่แตกต่างจากรุ่นปกติอย่างเห็นได้ชัด

 

มิติตัวถังรถ

  • ความยาว 4,917 มิลลิเมตร
  • ความกว้าง 1,852 มิลลิเมตร
  • ความสูง 1506 มิลลิเมตร
  • ระยะฐานล้อ 2,841 มิลลิเมตร

 

ภายในมาพร้อมกับการพัฒนาจากรุ่น B8 อย่างเห็นได้ชัด โดยการยกเลิกปุ่มกดต่างๆ และแทนที่ด้วยการบังคับผ่านจอสัมผัส ซึ่งจอกลางขนาด 12.9 นิ้ว ทำงานผ่านระบบปฏิบัติการ MIB4 ถูกติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน และสามารถเลือกอัพเกรดเป็นขนาด 15 นิ้วได้ ขณะที่จอมาตรวัดแสดงผลสำหรับผู้ขับขี่ขนาด 10.25 นิ้ว ก็ถูกติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานเช่นเดียวกัน เป็นที่น่าจับตามองว่า Volkswagen ได้ยึดแนวทางการยกเลิกปุ่มควบคุมระบบปรับอากาศอย่างถาวรแล้วหรือไม่ ซึ่งตรงกันข้ามกับ Skoda เพื่อร่วมชายคา Volkswagen group ที่ยืนหยัดในการติดตั้งปุ่มควบคุมแบบหมุนที่ทำหน้าที่ได้หลากหลายฟังก์ชั่นแบบ smart knob อย่างไรก็ตาม Volkswagen ได้ยกเลิกปุ่มควบคุมแบบสัมผัสบนพวงมาลัย ตามที่เคยได้แจ้งไว้ก่อนหน้า หลังพบปัญหาการใช้งานจาก Golf Mk8

 

นอกจากนี้ยังมีการย้ายคันเกียร์จากตรงคอนโซลกลางไปที่คอพวงมาลัย เพื่อเพิ่มพื้นที่การใช้งานภายในห้องโดยสาร นอกจากนี้ยังแทนที่ด้านบังคับฟังก์ชั่นไฟเลี้ยวและใบปัดน้ำฝนด้วยการติดตั้งสวิตช์ควบคุมบริเวณด้านซ้ายของผู้ขับขี่  พร้อมด้วยเบาะนั่งติดตั้งระบบระบายความร้อนและระบบอุ่นเบาะ พิเศษด้วยระบบนวดและสามารถปรับระดับเบาะนั่งได้สูงสุดถึง 14 ทิศทาง อีกทั้งยังมาพร้อมห้องเก็บสัมภาระความจุ 690 ลิตร และขยายเป็น 1,920 ลิตร เมื่อพับเบาะแถวที่ 2

 

ขุมพลังที่หลากหลายและครบทุกความต้องการ โดยเฉพาะขุมพลัง Plug-in hybrid และ Mild hybrid ที่ถูกพัฒนาขึ้นใหม่ เปลี่ยนจากเครื่องยนต์ 1.4 TSI มาเป็น 1.5 TSI evo 2  อันประกอบไปด้วย

เบนซิน Plug-in hybrid

  • รุ่น eHybrid (Low Power) เบนซิน 4 สูบ ความจุ 1.5 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์แบบ variable-geometry turbocharger (VTG) ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุด 204 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร
  • รุ่น eHybrid (High Power) เบนซิน 4 สูบ ความจุ 1.5 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์แบบ variable-geometry turbocharger (VTG) ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุด 272 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร

ทั้ง 2 รุ่น ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ DSG 6 จังหวะ ผ่านล้อคู่หน้า และทำงานร่วมกับแบตเตอรี่ความจุ 19.7 kWh ที่สามารถชาร์จได้ด้วยไฟฟ้ากระแสตรงกำลังไฟฟ้าสูงสุดถึง 50 kW เพื่อที่จะชาร์จจาก 10% – 80% ได้ภายในเวลา 25 นาที สามารถให้ระยะทางเดินทางได้สูงสุดกว่า 1,000 กิโลเมตร

 

เบนซิน Mild hybrid

รุ่น 1.5 eTSI เบนซิน 4 สูบ ความจุ 1.5 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์แบบ variable-geometry turbocharger (VTG) ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ DSG 7 จังหวะ ผ่านล้อคู่หน้า

 

เบนซิน TSI (รหัส EA888 evo4)

  • รุ่น 2.0 TSI เบนซิน 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ ให้กำลังสูงสุด 204 แรงม้า (PS) ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ DSG 7 จังหวะ ผ่านล้อคู่หน้า
  • รุ่น 2.0 TSI 4MOTION เบนซิน 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ ให้กำลังสูงสุด 265 แรงม้า (PS) ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ DSG 7 จังหวะ ผ่านล้อทั้ง 4

ดีเซล TDI (รหัส EA288 evo)

  • รุ่น 2.0 TDI ดีเซล 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ ให้กำลังสูงสุด 122 แรงม้า (PS) ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ DSG 7 จังหวะ ผ่านล้อคู่หน้า
  • รุ่น 2.0 TDI ดีเซล 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า (PS) ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ DSG 7 จังหวะ ผ่านล้อคู่หน้า
  • รุ่น 2.0 TDI 4MOTION ดีเซล 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ ให้กำลังสูงสุด 193 แรงม้า (PS) ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ DSG 7 จังหวะ ผ่านล้อทั้ง 4

Volkswagen เตรียมเปิดตัว Passat ในงานมหกรรมยานยนต์ IAA Munich ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-8 กันยายน 2023 นี้ ก่อนที่จะพร้อมส่งมอบในช่วงไตรมาสแรกของปี 2024 โดยผลิตขึ้นที่โรงงานในเมือง Bratislava ประเทศ Slovakia ร่วมกับ Skoda Superb

ที่มา: Motor1