นอกเหนือไปจากการตั้งบริษัทร่วมทุนกับแบรนด์รถยนต์ต่างชาติ Dongfeng ยังปั้นแบรนด์ของตัวเองจำหน่ายในประเทศจีนและส่งออกไปยังตลาดยุโรป โดยยังเน้นตลาดรถพรีเมียม ภายใต้แบรนด์ชื่อ Voyah ซึ่งมีรถรุ่น Voyah Free วางจำหน่ายตั้งแต่ปี 2021 เป็นรุ่นแรก หลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อปลายปี 2020 โดยเพิ่งจะได้รับการปรับโฉมในปี 2023 นี้
งานออกแบบภายนอกได้รับการปรับปรุงให้มีความทันสมัยยิ่งขึ้น โดยเฉพาะด้านหน้าที่ติดตั้งกันชนหน้าซึ่งเปลี่ยนเส้นสายแนวนอนบริเวณช่องดักลม ให้เป็นเส้นสายในแนวตั้งที่มุมด้านหน้าทั้ง 2 ข้าง รวมไปถึงกระจังหน้าแบบใหม่ที่มีซี่ตะแกรงขนาดเล็กลง โดยที่ยังใช้ไฟหน้าชุดเดิมกับรุ่นปัจจุบัน และยังติดตั้งเส้นขอบโครเมียมด้านบนกระจังหน้าตามแบบฉบับของแบรนด์เหมือนเคย ด้านข้างมีการติดตั้งกล้องเพื่อทำงานร่วมกับระบบช่วยเหลือการขับขี่ที่ได้รับการอัพเดทใหม่จาก Baidu ขณะที่เส้นสายด้านข้างตัวรถยังใช้แบบเดียวกับรุ่นโฉมแรก พร้อมด้วยมือเปิดประตูแบบเรียบเนียนไปกับตัวรถ
ด้านหลังมาพร้อมกันชนท้ายติดตั้งแผ่นดิฟฟิวเซอร์ลวดลายใหม่ เพิ่มเติมความสปอร์ตมากยิ่งขึ้น รวมถึงสปอยเลอร์ที่ออกแบบให้เข้าชุดกันกับแผ่นดิฟฟิวเซอร์ โดยที่ไฟท้ายยังคงใช้ชุดเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ Voyah ได้เพิ่มสีตัวถังใหม่ สีทองแดง glazed gold และสีเขียว dark green พร้อมล้ออัลลอยลายใหม่ขนาด 20 นิ้ว
ในส่วนของระบบความปลอดภัยที่ได้รับการอัพเกรดเพิ่มเติมด้วยการติดตั้งระบบ Apollo Highway Driving Pro autonomous driving system จาก Baidu ซึ่งได้เคลมว่าผ่านการทดสอบบนถนนหลวงมาเป็นระยะทางมากกว่า 60 ล้านกิโลเมตร พร้อมรองรับการทำงานของระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันแบบ full-speed ระบบช่วยจอดอัตโนมัติ พร้อมฟังก์ชั่นการสั่งการจอดรถด้วยแอปพลิเคชั่น หรือรีโมท พร้อมด้วยฟังก์ชั่นการนำรถเข้าสู่จุดบริการเช็คระยะเองโดยอัตโนมัติแบบไร้คนขับเป็นครั้งแรกในโลก ทั้งหมดนี้นับว่าเป็นส่วนหนึ่งของระบบช่วยขับขี่อัตโนมัติระดับ 4 ที่มีความล้ำหน้าและทันสมัยกว่าคู่แข่งในกลุ่มเดียวกัน
มิติตัวถังรถ
- ความยาว 4,905 มิลลิเมตร
- ความกว้าง 1,950 มิลลิเมตร
- ความสูง 1,660 มิลลิเมตร
- ระยะฐานล้อ 2,960 มิลลิเมตร
ภายในมาพร้อมการตกแต่งด้วยโทนสีส้มเข้มเพิ่มเติมความหรูหรา ระบบความบันเทิงและการเชื่อมต่อทำงานภายใต้ชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 8155 จอแสดงผลแบบ 3 ตอน ยาวต่อเนื่องขนาด 42 นิ้ว พร้อมแท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สายแบบชาร์จเร็ว 50W จำนวน 2 ตำแหน่ง
เพิ่มเติมความสะดวกสบายของผู้โดยสารตอนหลังด้วย หน้าจอสัมผัสที่ควบคุมระบบปรับอากาศรอบคัน รวมไปถึงการควบคุมการเล่นเพลง เปิด-ปิดหลังคาซันรูฟ และสามารถสั่งงานฟังก์ชั่นอื่นๆ ของตัวรถได้อย่างครบถ้วน
ขุมพลังยังคงใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ความจุ 1.5 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าทั้งหน้าและหลัง ให้พละกำลังรวม 490 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 720 นิวตัน-เมตร พร้อมด้วยแบตเตอรี่ความจุ 37.55 kWh สามารถวิ่งด้วยโหมด EV ได้ระยะทางสูงสุด 160 กิโลเมตร ที่ให้พิสัยการเดินทางสูงสุดรวม 1,201 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน CLTC ที่มากกว่ารุ่นปัจจุบันที่วิ่งได้สูงสุด 960 กิโลเมตร
ที่มา: Carnewschina