ในเมื่อกระแสรักษ์โลกเริ่มมาแรงขึ้น บรรดาผู้ผลิตรถยนต์ต้องพากันลดขนาดความจุเครื่องยนต์ลงและหันไปใช้
ระบบอากาศหรือมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อชดเชยแรงม้าที่สูญเสียไปให้ได้ระดับเท่าเดิม ทำให้เครื่องยนต์ big block
พากันหายล้มหายตายจากไปไม่เว้นแม้แต่ผู้ผลิต supercar หลายรายอย่าง Porsche และ Ferrari ที่หันมาพึ่ง
turbo แล้วแต่ Lamborghini ยังคงยืนหยัดกับวิถีเครื่องหายใจเองต่อไป
Stephan Winkelmann CEO ของค่ายให้สัมภาษณ์ว่าแม้ว่า Lamborghini กำลังพิจารณานำ turbo และระบบ
hybrid มาใช้ใน Urus SUV ของค่ายที่กำลังจะเปิดตัวแต่นั่นไม่ได้หมายความว่าทางเราจะนำเทคโนโลยีนี้มาใช้
ในรถ “super sport car” อย่าง Huracan และ Aventador ในอนาคตอันใกล้นี้จนกว่าโดนบังคับด้วยเหตุจำเป็นจริงๆ
ความจำเป็นที่ว่านั้นคือกฎหมายมลพิษที่เข้มงวดขึ้นรวมไปถึงอัตราการบริโภคน้ำมันซึ่งจะนำไปสู่การยกเครื่อง NA
ออกและแทนที่ด้วยเทคโนโลยีอื่นๆแทน ซึ่ง Winkelmann กล่าวต่อว่า ถ้าจำเป็นจริงๆต้องเริ่มที่ turbo ก่อนที่จะตาม
มาด้วยพลังงานไฟฟ้าแต่มันต้องมาพร้อมทั้งในเรื่องสมรรถนะ, น้ำหนัก, และอารมณ์การขับขี่ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนต้อง
ทำให้ลูกค้าเชื่อว่ารถคันนั้นคือ Lamborghini ที่แท้จริง นอกจากนี้ต้องมีเสียงที่น่าตื่นเต้นด้วยซึ่งนั่นคือนโยบายของเรา
Maurizio Reggiani หัวหน้าฝ่าย R&D ของค่ายกระทิงดุกล่าวเสริมว่าบริษัทไม่ได้ก้าวไปสู่ทิศทางที่ผิดแต่อย่างใด
เนื่องจากในขณะนี้สถิติเวลาต่อรอบที่เร็วที่สุดที่ Aventador SV เคยสร้างไว้เมื่อต้นปีที่สนาม Nurburgring ด้วยเวลา
6.59 นาทีนั้นช้ากว่าเจ้าของสถิติอันดับอย่าง 1 Porsche 918 Spyder เพียง 2 วินาทีเท่านั้นทั้งที่ 918 มาพร้อมกับทั้ง
turbo และมอเตอร์ไฟฟ้า
.
ที่มา: caranddriver