นับว่าเป็นการมาของรถไฮเปอร์คาร์ที่ใช้ขุมพลังไฟฟ้าล้วน และกำลังมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะจากผู้ผลิตที่ไม่ใช่แบรนด์ใหญ่ แต่มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะวิจัยและพัฒนา ซึ่งไม่เน้นจำนวนการผลิตเป็นตัวแปรหลัก แต่มุ่งเน้นไปที่การแสดงความสามารถและการสร้างรถสปอร์ตที่มีประสิทธิภาพสูง ภายใต้เทคโนโลยีล้ำหน้า
โดยล่าสุดกับค่ายรถสปอร์ตอินดี้อย่าง Pininfarina ได้เปิดตัว Battista Edizione Nino Farina โดยจะนำไปจัดแสดงคันจริงที่งาน Goodwood Festival of Speed ซึ่งจะจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 13 กรกฎาคม – 16 กรกฎาคม 2023 นี้ โดยเป็นการนำเทคโนโลยีจาก Rimac ในส่วนของขุมพลัง ประกอบเข้ากับองค์ความรู้ในการผลิตรถสปอร์ตจาก Pininfarina เอง ผสมผสานจนกลายเป็นรถไฮเปอร์คาร์เวอร์ชั่นพิเศษหลังจากมีการเปิดตัวรถต้นแบบ Pininfarina Battista อย่างเป็นทางการครั้งแรกตั้งแต่ปี 2019 และวางจำหน่ายตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นมา ที่โรงงานประกอบรถสปอร์ตทำมือ ในเมือง Cambiano ประเทศอิตาลี
สำหรับรุ่นพิเศษนี้ ชื่อ Nino Farina นั้นมาจาก ผู้ที่คว้าชัยชนะรายการ Formula One เป็นครั้งแรกในปี 1950 ด้วยการควบรถแข่งจาก Alfa Romeo และยังเป็นหลานของ Battista Farina หรือผู้ก่อตั้ง Pininfarina
งานออกแบบภายนอกมีการเพิ่มเติมการตกแต่งด้วยสีขาว Bianco Sestriere สไตล์รถแข่ง พร้อมแซมด้วยสีน้ำเงิน Iconia Blu บนพื้นตัวถังสีแดง Rosso Nino และบรรดาวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ที่มีน้ำหนักเบารอบคัน ไม่ว่าจะเป็นกระจกมองข้าง สเกิร์ตรอบคัน หางหลังแบบอัตโนมัติ ปิดท้ายด้วยล้ออัลลอยน้ำหนักเบาสีทอง
ภายในมาพร้อมกับเบาะนั่งแบบ Full bucket seat หุ้มด้วยหนังพรีเมียมสีดำสำหรับเบาะคนขับ แต่สำหรับเบาะคนนั่งกลับหุ้มด้วยหนังสีเบจ นอกจากนี้ยังประโคมไปด้วยตราสัญลักษณ์ Nino Farina รอบคัน และทริมตกแต่งวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์และอะลูมิเนียม พร้อมเพลทบอกเลขตัวถัง บ่งบอกความพิเศษจำนวนเพียง 5 คัน
อย่างไรก็ตาม ขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้า 4 ตัว ยังคงยกชุดมาจากรุ่นปกติ ซึ่งให้พละกำลังสูงสุด 1,904 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 2,340 นิวตัน-เมตร ทำงานร่วมกับแบตเตอรี่ความจุ 120 kWh
- อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ภายในเวลา 1.86 วินาที
- อัตราเร่งจาก 0-200 กม./ชม. ภายในเวลา 4.75 วินาที
- ความเร็วสูงสุด 350 กม./ชม.
- สามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุด 476 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP
Automobili Pininfarina ยังไม่เผยราคาจำหน่ายของ Battista Edizione Nino Farina ในตอนนี้ แต่หากคาดการณ์จากรุ่นปกติที่มีราคาค่าตัวกว่า 2.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 76 ล้านบาท doesn’t ก็เป็นไปได้ที่รุ่นพิเศษนี้จะมีราคาค่าตัวแพงระยับอย่างแน่นอน
ที่มา: Motor1