หลังจากที่ Ford ได้เปิดตัว Ranger ในอเมริกาเหนือพร้อมกับเวอร์ชั่นดุดันไม่เกรงใจใคร อย่าง Ranger Raptor แต่ทว่า แฟนกระบะพันธุ์แกร่งชาวมะกันจะรู้กันดีว่ายังมีเวอร์ชั่นดุดันกว่าที่ผ่านการปรับแต่งอย่างมืออาชีพจากสำนักแต่ง Hennessey และมาพร้อมกับชื่อสุดเจ๋งอย่าง VelociRaptor ที่เคยมีในรุ่นก่อนหน้านี้เมื่อปี 2019 และได้สร้างภาพลักษณ์ใหม่แห่งวงการกระบะเล็กด้วยพละกำลังที่สะใจกว่ารถที่ออกจากโรงงาน
โดยรถยนต์รุ่นใหม่นี้ถูกพัฒนาบนพื้นฐานของ Raptor ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร EcoBoost V6 ซึ่งแตกต่างจากรุ่นก่อนหน้า ที่นำรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 2.3 ลิตร EcoBoost มาปรับแต่ง ซึ่งการปรับแต่งของ VelociRaptor 500 ตัวล่าสุด ถูกทำให้มีพละกำลังเพิ่มขึ้นจาก 397 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 583 นิวตัน-เมตร จนแรงขึ้นเป็น 500 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 746 นิวตัน-เมตร โดยยังคงส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ ขับเคลื่อนสี่ล้อตลอดเวลา พร้อมระบบทรานสเฟอร์ควบคุมด้วยไฟฟ้าปรับได้ 2 ระดับ และระบบดิฟล็อก 4 ล้อ (Locking Differentials) เช่นเดิม
นั่นหมายความว่าในเวอร์ชั่นล่าสุดนี้ทางสำนักแต่ง ได้วางแผนที่จะให้ มีความพิเศษมากกว่าเดิม โดยได้อ้างอิงจากรถ SUV แฝดร่วมค่ายอย่าง VelociRaptor 500 Bronco ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ ซึ่งรายละเอียดการปรับแต่ง เริ่มต้นที่ท่อไอดีประสิทธิภาพสูง อินเตอร์คูลเลอร์ขนาดใหญ่ขึ้น รวมไปถึง Blow-off valve พร้อมปรับจูนซอฟท์แวร์การควบคุมสั่งการเครื่องยนต์หรือ ECU
ภายนอกได้รับการตกแต่งเพิ่มเติมด้วยชุดกันชนเหล็กด้านหน้าเพิ่มความสว่างด้วยไฟ LED พร้อมเกราะป้องกันด้านใต้เครื่องยนต์ พร้อมกันชนหลังที่ติดตั้งตะขอลากจูงสีดำ นอกจากนี้ยังเพิ่มโลโก้ Hennesseyที่บริเวณฝากระโปรงหน้าเหนือกระจังและที่กระบะท้าย ในส่วนของประตูคู่หน้าก็มาพร้อมกับชื่อรุ่น VelociRaptor 500 เช่นเดียวกับที่ชุดแต่งกันชนหน้า
ในส่วนของช่วงล่างได้เพิ่มเติมด้วยโช้คอัพจาก Fox กระบอกเส้นผ่านศูนย์กลาง 2.5 นิ้ว พร้อมระบบ Live Valve internal bypass ควบคู่กับ ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว รัดด้วยยางออฟโรดขนาด 35 นิ้ว ซึ่งใหญ่กว่าของเดิมติดรถที่ 33 นิ้ว
ภายในมีการตกแต่งเพิ่มเติมด้วยสีแดงตัดกับสีดำ พร้อมพรมพื้นแบบทำความสะอาดได้โดยง่าย โดยที่ยังคงไว้ซึ่งชื่อรุ่น Raptor เช่นเดิม และทั้งหมดนี้จะมีให้จับจองเป็นจำนวนจำกัดเพียง 200 คัน พร้อมกับราคาที่ต้องจ่ายเพิ่มจาก Raptor รุ่นมาตรฐานอีก 24,950 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 866,513 บาท ไม่รวมค่าตัวของรถที่ อีก 56,960 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 1,978,220 บาท
ที่มา: Autoblog