ห่างหายจากวงการรถอเนกประสงค์ไปหลายปี มาครานี้ทางค่าย Renault ได้กลับมาประกาศศักดาด้วยรุ่นเปลี่ยนโฉมของรถมินิแวน 7 ที่นั่ง อันเลื่องชื่อที่เปิดตัวเจเนอเรชั่นตั้งแต่ปี 1984 ก่อนจะเดินทางมาถึงรุ่นที่ 5 ในปี 2015 ซึ่งก็ได้ตกรุ่นอย่างเป็นทางการและหลีกทางให้กับรุ่นน้องที่ใช้เวลากว่า 7 ปี ถึงจะได้เปิดตัวต่อสาธารณชน โดยทั้ง 2 รุ่นมีความเปลี่ยนแปลงจาก 4 รุ่นก่อนหน้าไปมาก โดยเฉพาะการปรับเส้นสายมาเป็นรถครอสโอเวอร์แทนที่จะเป็นรถมินิแวนทรงกล่องแบบดั้งเดิม
หากใครมองว่าหน้าตาของ Espace นั้นมีความละม้ายคล้ายคลึงกับรถ SUV ที่มาแทน Kadjar อย่างรุ่น Austral ก็คงจะไม่ผิดแต่อย่างใด เนื่องจากทั้ง 2 รุ่น ได้ใช้พื้นฐานโครงสร้างวิศวกรรมร่วมกัน จึงทำให้มันขนาดที่กะทัดรัดกว่าที่เคย ไม่ว่าจะเป็นความยาวที่สั้นลงกว่า 140 มิลลิเมตร เตี้ยลง 32 มิลลิเมตร แต่ได้ขยายพื้นที่ห้องโดยสารโดยเฉพาะในแถว 3 ให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น ถึงแม้มิติตัวรถจะเล็กลง แต่ก็ทำให้ตัวรถเบาลงกว่า 215 กิโลกรัม
งานออกแบบภายนอกให้อารมณ์ความเป็นรถ SUV 3 แถวอย่างเห็นได้ชัด ที่รวมไปถึงไฟหน้าและไฟท้ายที่หยิบยกมาจาก Austral อย่างไม่ผิดเพี้ยน นั่นเป็นไปตามแนวทางของ Renault ที่ต้องการเปลี่ยนให้ Espace กลายเป็นเวอร์ชั่น 3 ที่นั่งของ Austral โดยที่เน้นจับกลุ่มตลาดที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยในการโดยสารและเก็บสัมภาระมากกว่าที่เคย โดยเมื่อใช้งานเบาะทั้ง 3 แถว จะมีความจุห้องเก็บสัมภาระอยู่ที่ 159 ลิตร และหากพับเก็บเบาะแถวที่ 3 จะเพิ่มขึ้นเป็น 777 ลิตร โดยจะเพิ่มขึ้นเป็น 1,818 ลิตร เมื่อพับทั้งแถวที่ 2 และ 3 ลงไปแบบแบนราบ พร้อมช่องเก็บของซ่อนอยู่ใต้พื้นห้องเก็บของเพิ่มเติมอีก 39 ลิตร
Espace แบ่งออกเป็น 3 รุ่นย่อย ได้แก่ Techno Iconic และ Esprit Alpine ที่เพิ่มเติมเข้ามาใหม่สำหรับผู้ที่ชื่นชอบเส้นสายความเป็นลุคสปอร์ตครอสโอเวอร์ โดยจะได้ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว และชุดแต่งรอบคันให้ครบองค์ พร้อมหลังคากระจก panoramic ขนาดใหญ่ขนาด 1.33 x 0.84 เมตร เพิ่มความโปร่งโล่งให้กับห้องโดยสาร
ขณะที่อุปกรณ์ภายในและคอนโซลหน้าก็ใช้ร่วมกับ Austral แบบไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าจะเป็นจอมาตรวัดขนาด 12.3 นิ้ว ที่ติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน พร้อมจอระบบ Infotainment ขนาด 12 นิ้ว และจอ Head-up display ขนาด 9.3 นิ้ว เป็นออฟชั่นเพิ่ม และพร้อมสรรพด้วยช่องชาร์จไฟ USB-C แถวละ 2 ตำแหน่ง พร้อมแท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย
ระบบมัลติมีเดีย OpenR Link ใหม่ล่าสุด เป็นการผนวกรวมการทำงานของจอแสดงผลทุกอันเข้ากับฐานข้อมูลของตัวรถ ซึ่งระบบยังสามารถได้รับการอัพเดท Firmware แบบ Over-The-Air (FOTA) โดยอัตโนมัติผ่านระบบเครือข่ายมือถือ นอกจากนี้ยังติดตั้งแอพพลิเคชั่นจาก Google อาทิ ระบบแผนที่ Google Maps ผู้ช่วยส่วนตัวและระบบสั่งงานด้วยเสียง Google Assistant และคลังแอพพลิเคชั่น Google Play นอกจากนี้ยังสามารถเลือกติดตั้งระบบเครื่องเสียงจาก Harman Kardon เป็นออฟชั่นเสริม
สำหรับขุมพลังก็ยกชุดมาจาก Austral มาทั้งหมด และแน่นอนว่าไม่มีเครื่องยนต์ดีเซลให้เลือกอีกต่อไป โดยจะเน้นไปที่รุ่น E-Tech Hybrid หรือ Full hybrid เครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ ขนาด 1.2 ลิตร ฉีดจ่ายน้ำมันแบบ Direct-Injection พ่วงระบบอัดอากาศ Turbocharger กำลังสูงสุด 131 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 205 นิวตัน-เมตรทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าซึ่งจะทำหน้าที่ขับเคลื่อนตัวรถทุกครั้งที่ออกตัว ที่ให้กำลังสูงสุด 68 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 151 นิวตัน-เมตร ให้กำลังสูงสุดรวม 199 แรงม้า (PS) ใช้แบตเตอรี่แบบลิเธี่ยมไอออน ขนาด 1.7 kWh 400V เชื่อมกับเกียร์อัตโนมัติ multi modal gearbox ประกอบไปด้วย 4 จังหวะสำหรับ เครื่องยนต์ และ 2 จังหวะสำหรับ มอเตอร์ โดยทั้งหมดจะถูกตัดต่อกำลังผ่าน dog clutch ซึ่งเป็นเทคโนโลยีจากรถแข่ง F1 ของ Renault สามารถทำอัตราสิ้นเปลืองได้ที่ 4.7 ลิตร/100 กิโลเมตร และปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 105 กรัม/กิโลเมตร โดยจะเพิ่มปุ่มควบคุมการขับขี่ MULTI-SENSE ได้ถึง 4 แบบ ซึ่งติดตั้งบนพวงมาลัย
นอกจากจะติดตั้งช่วงล่างด้านหลังแบบ multi-link แล้วยังมาพร้อมออฟชั่นระบบเลี้ยวล้อคู่หลังที่จะลดระยะวงเลี้ยวแคบสุดจาก 5.8 เมตร เหลือเพียง 5.2 เมตร โดยระบบจะทำให้ล้อคู่หลังเลี้ยวได้เป็นมุม 5 องศา ในทิศทางตรงกันข้ามกับล้อคู่หน้า และหากขับขี่เข้าโค้งด้วยความเร็วสูง จะเปลี่ยนให้ล้อคู่หลังเลี้ยวทิศทางเดียวกับล้อคู่หน้าด้วยมุม 1 องศาเพื่อรักษาเสถียรภาพ
Renault พร้อมเปิดให้จอง Espace ในช่วงฤดูใบไม้ผลิสำหรับตลาดยุโรป ก่อนที่จะเปิดตัวรถมินิแวนขุมพลังไฟฟ้าล้วนเพื่อต่อกรกับ Volkswagen ID. Buzz ภายใต้ชื่อรุ่น Scenic ภายในปี 2024 นี้
ที่มา: Motor1