Mercedes-Benz GLC Coupe เปิดตัวครั้งแรกในโลก เมื่อปี 2017 ในฐานะรถยนต์ Premium Compact Coupe SUV ท้ายลาด สร้างขึ้นบนพื้นฐาน MRA Platform เช่นเดียวกับ GLC ตัวถังปกติ เป็นการเพิ่มทางเลือกในตลาดรถยนต์ใต้ท้องสูงที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นทั่วโลก มีคู่แข่งตรงรุ่นอย่าง BMW X4 และ Audi Q5 Sportback

วันที่ 14 มีนาคม 2023 Mercedes-Benz ได้ทำการเปิดผ้าคลุม GLC Coupe รุ่นใหม่ เจเนอเรชั่นที่ 2 (รหัสตัวถัง C254) เพื่อเป็นการสานต่อความสำเร็จของรุ่นแรก โดยในครั้งนี้ มีแนวคิดการออกแบบ คือ “Elegant Design with Sporty Driving Performance” หรือ การผสมผสานระหว่างดีไซน์ที่สง่างาม และสมรรถนะการขับขี่ที่สปอร์ตเร้าใจ

 

ตัวถังของ All NEW Mercedes-Benz GLC Coupe ถูกออกแบบให้มีความลู่ลมมากขึ้น ค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ (Coefficient Drag) ลดลงจาก 0.30 ในรุ่นที่แล้ว เหลือเพียง 0.27 ด้านหน้ายกเอางานออกแบบของ GLC รุ่นปกติมาแทบทั้งหมด กระจังหน้าเป็นแบบ Radiator Grille พร้อมลวดลายดาว 3 แฉกขนาดเล็ก ขนาบข้างด้วยชุดไฟหน้า Digital Light ซึ่งเป็นเทคโนโลยีไฟหน้าที่ดีที่สุดของ Mercedes-Benz ในขณะนี้

ด้านข้างยังคงมาพร้อมกับดีไซน์กรอบกระจกหน้าตาคล้ายกันกับรุ่นที่แล้ว ช่องชาร์จไฟฟ้าของรุ่น Plug-in Hybrid ถูกย้ายจากด้านหลังมาอยู่เหนือซุ้มล้อหลังฝั่งซ้าย มีทั้งแบบ Type 2 และแบบ CCS2 สำหรับการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC บั้นท้ายมาพร้อมชุดไฟท้ายทรงเรียวยาวคล้ายกับรุ่นพี่อย่าง GLE Coupe ฝาท้ายถูกออกแบบให้มีสปอยเลอร์ตูดเป็นในตัว แต่ยังไม่มี Active Spoiler แบบไฟฟ้ามาให้ ซึ่งคาดว่าถูกสงวนไว้ในรหัสตัวแรงที่อาจเปิดตัวตามมาในภายหลัง

 

ภายในห้องโดยสาร มาพร้อมเบาะนั่งที่ถูกปรับปรุงใหม่ ขยายขนาดให้ใหญ่โตขึ้นเพื่อให้รองรับสรีระคนขับและผู้โดยสารด้านหน้าได้ดียิ่งขึ้น และเปลี่ยนทรงหมอนรองศีรษะให้รองรับการกระแทกเมื่อเกิดการชนจากด้านหลัง อีกทั้งติดตั้งระบบอุ่นเบาะคู่หน้าเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน วัสดุหุ้มเบาะนั่งมีให้เลือกทั้ง หนังสังเคราะห์ และหนัง Nappa ตามแต่ละรุ่นย่อย

แผงแดชบอร์ดยกมาจาก GLC รุ่นปกติ ติดตั้งหน้าจอชุดมาตรวัดความละเอียดสูง High-resolution LCD ขนาด 12.3 นิ้ว หน้าจอกลางเป็นแบบลอยตัวทรง 4 เหลี่ยมผืนผ้า ขนาด 11.9 นิ้ว รวบรวมเอาฟังก์ชั่นต่างๆ เข้าไปไว้ในหน้าจอ ยกเว้นแผงสวิตช์ปรับโหมดการขับขี่ สวิตช์ปรับระดับเสียง ขณะที่ชุดเครื่องเสียง ให้มาเป็นแบรนด์ Burmester® Surround Sound System 15 ลำโพง

 

Mercedes-Ben GLC Coupe’ ใหม่ เวอร์ชั่นตลาดโลก มีขุมพลังให้เลือก 7 รหัส ดังนี้

MHEV Models

GLC 200 4MATIC

เครื่องยนต์เบนซิน รหัส M254 ขนาด 2.0 ลิตร DOHC 16 วาล์ว 1,999 ซีซี กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 83.0 x 92.0 มิลลิเมตร จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ตรงสู่ห้องเผาไหม้ อัตราส่วนกำลังอัด 10.5 : 1  พ่วงระบบอัดอากาศ Turbocharged กำลังสูงสุด 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร เสริมด้วยระบบ Mild-hybrid 48V (Belt-driven starter-generator) ให้กำลังสูงสุดชั่วขณะ 23 แรงม้า 200 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-TRONIC

GLC 300 4MATIC

เครื่องยนต์เบนซิน รหัส M254 ขนาด 2.0 ลิตร DOHC 16 วาล์ว 1,999 ซีซี กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 83.0 x 92.0 มิลลิเมตร จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ตรงสู่ห้องเผาไหม้ อัตราส่วนกำลังอัด 10.5 : 1 พ่วงระบบอัดอากาศ Turbocharged กำลังสูงสุด 258 แรงม้า 400 นิวตันเมตร เสริมด้วยระบบ Mild-hybrid 48V (Belt-driven starter-generator) ให้กำลังสูงสุดชั่วขณะ 23 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 200 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-TRONIC

GLC 220 d 4MATIC

เครื่องยนต์ดีเซล รหัส OM 654 M ขนาด 2.0 ลิตร DOHC 16 วาล์ว 1,993 ซีซี กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 82.0 x 92.3 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 15.5 : 1  พ่วงระบบอัดอากาศ Turbocharged กำลังสูงสุด 197 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร เสริมด้วยระบบ Mild-hybrid 48V (Belt-driven starter-generator) ให้กำลังสูงสุดชั่วขณะ 23 แรงม้า 200 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-TRONIC

GLC 300 d 4MATIC

เครื่องยนต์ดีเซล รหัส OM 654 M ขนาด 2.0 ลิตร DOHC 16 วาล์ว 1,993 ซีซี กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 82.0 x 92.3 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 15.5 : 1  พ่วงระบบอัดอากาศ Turbocharged กำลังสูงสุด 269 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตร เสริมด้วยระบบ Mild-hybrid 48V (Belt-driven starter-generator) ให้กำลังสูงสุดชั่วขณะ 23 แรงม้า 200 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-TRONIC

 

PHEV Models

GLC 300 e 4MATIC

เครื่องยนต์เบนซิน รหัส M254 ขนาด 2.0 ลิตร DOHC 16 วาล์ว 1,999 ซีซี กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 83.0 x 92.0 มิลลิเมตร จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ตรงสู่ห้องเผาไหม้ อัตราส่วนกำลังอัด 10.5 : 1 พ่วงระบบอัดอากาศ Turbocharged กำลังสูงสุด 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 134 แรงม้า 440 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-TRONIC

พละกำลังสูงสุดรวมทั้งระบบ 313 แรงม้า 550 นิวตันเมตร พ่วงด้วยแบตเตอรี่ Lithium-ion ความจุ 31.2 kWh วิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนไกล 131 km. (WLTP)

GLC 400 e 4MATIC

เครื่องยนต์เบนซิน รหัส M254 ขนาด 2.0 ลิตร DOHC 16 วาล์ว 1,999 ซีซี กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 83.0 x 92.0 มิลลิเมตร จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ตรงสู่ห้องเผาไหม้ อัตราส่วนกำลังอัด 10.5 : 1 พ่วงระบบอัดอากาศ Turbocharged กำลังสูงสุด 252 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 134 แรงม้า 440 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-TRONIC

พละกำลังสูงสุดรวมทั้งระบบ 381 แรงม้า 650 นิวตันเมตร พ่วงด้วยแบตเตอรี่ Lithium-ion ความจุ 31.2 kWh วิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนไกล 131 km. (WLTP)

GLC 400 de 4MATIC

เครื่องยนต์ดีเซล รหัส OM 654 M ขนาด 2.0 ลิตร DOHC 16 วาล์ว 1,993 ซีซีกระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 82.0 x 92.3 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 15.5 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ตรงสู่ห้องเผาไหม้ อัตราส่วนกำลังอัด 10.5 : 1 พ่วงระบบอัดอากาศ Turbocharged กำลังสูงสุด 197 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 134 แรงม้า 440 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-TRONIC

พละกำลังสูงสุดรวมทั้งระบบ 335 แรงม้า 750 นิวตันเมตร พ่วงด้วยแบตเตอรี่ Lithium-ion ความจุ 31.2 kWh วิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนไกล 130 km. (WLTP)

ขุมพลัง Plug-in Hybrid ทุกรุ่น รองรับการชาร์จด้วย AC สูงสุด 11 kW และรองรับการชาร์จ DC สูงสุด 60 kW สามารถอัดประจุด้วย DC Fast Charge สูงสุด 60 kW จาก 0 – 80% ภายในเวลา 30 นาที

 

 

ระบบบังคับเลี้ยวเป็นแบบ Rack & Pinion พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้าผสมไฮดรอลิค (Electromechanical Direct Power Steering) ติดตั้งระบบเลี้ยว 4 ล้อ (Rear axle steering) ซึ่งล้อหลังจะสามารถเลี้ยวได้ถึง 4.5 องศา ช่วยเพิ่มความคล่องตัวในช่วงความเร็วต่ำ ตลอดจนเพิ่มเสถียรภาพการทรงตัวในย่านความเร็วสูง เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

ระบบกันสะเทือน ด้านหน้าเป็นแบบอิสระ Four-link ด้านหลังเป็นแบบอิสระ Multi-link พร้อมระบบรองรับแบบ AIRMATIC Adaptive Damping System

ระบบห้ามล้อ เป็นดิสก์เบรกแบบมีครีบระบายความร้อน (Ventilated Disc) ทั้ง 4 ล้อ เสริมการทำงานด้วยระบบป้องกันล้อล็อก Anti-Lock Braking System ระบบเสริมแรงเบรก Brake Assist ระบบช่วยการทรงตัว ESP (Electronic Stability Program) และเบรกมือไฟฟ้า EPB พร้อม Auto Hold

 

ระบบความปลอดภัย และระบบช่วยเหลือการขับขี่ ติดตั้งมาให้ดังนี้

  • ถุงลมนิรภัยด้านหน้า 2 ตําแหน่ง สําหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
  • ถุงลมนิรภัยด้านข้าง 2 ตําแหน่ง สําหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า
  • ม่านถุงลมนิรภัยด้านข้าง ป้องกันศีรษะ 4 ตําแหน่ง สําหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
  • ถุงลมนิรภัยบริเวณหัวเข่า สําหรับผู้ขับขี่
  • โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ ESP® (Electronic Stability Program)
  • ไฟเบรกกะพริบฉุกเฉิน (Adaptive Brake Light)
  • ระบบช่วยเบรกแบบแอคทีฟ (Active Brake Assist)
  • ระบบรักษาระดับความเร็ว (Cruise control) และระบบจํากัดความเร็ว (Speedtronic)
  • ระบบเตือนเพื่อนํารถเข้าศูนย์บริการ (Assyst service interval indicator)
  • ระบบเตือนแรงดันลมยาง (Tyre pressure loss warning system)
  • ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (Attension Assyst)
  • ระบบช่วยการนํารถเข้าจอดอัตโนมัติ (Active Parking Assist with Parktronic)
  • ระบบรักษาระยะห่างจากรถด้านหน้าและควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Active Distance Assist Distronic)
  • ระบบช่วยรักษารถให้อยู่ในช่องจราจร (Active Lance Keeping Assist)
  • กล้องแสดงภาพด้านหลัง ขณะถอยรถ (Reversing camera)
  • ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา (Blind Spot Assist)
  • ระบบแจ้งเตือนยานพาหนะขณะเปิดประตูรถ (Exit Warning Function)
  • ระบบแจ้งเตือนสถานะเข็มขัดนิรภัยสําหรับผู้โดยสารตอนหลัง
ที่มา : Mercedes-Benz