หลังจาก Audi R8 เปิดตัวมาได้เป็นระยะเวลา 12 ปี ทาง Audi จึงได้ตัดสินใจยุติบทบาทเครื่องยนต์สันดาปภายใน ที่รุ่นพิเศษ Audi R8 Coupe V10 GT RWD จำนวนจำกัดเพียง 333 คัน โดยจะ เริ่มส่งมอบได้ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2023 สำหรับตลาดสหรัฐอเมริกา
ภายนอกตกแต่งเพิ่มเติมให้สมกับเป็นรุ่นพิเศษ เริ่มที่ตัวอักษรบ่งบอกชื่อรุ่น R8 GT สีดำ ที่ด้านท้าย รวมไปถึงบรรดาตัวอักษรก็เปลี่ยนเป็นสีดำรอบคัน ชุดแต่งใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์แบบเงา ซึ่งถูกพัฒนา ภายใต้การทดสอบในอุโมงค์ลม เพิ่มเสถียรภาพ ขณะขับขี่ที่ความเร็วสูง พร้อมทำให้การเข้าโค้งเป็นไปอย่างสมดุล สำหรับบรรดาชุดแต่งวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์รอบคันประกอบไปด้วย สเกิร์ตด้านหน้า ช่องหลักล้มที่กันชนหน้า สเกิร์ตข้าง และชิ้นส่วนตกแต่งที่กันชนหลังพร้อมดิฟฟิวเซอร์ ปิดท้ายด้วยหางหลังทรงคอห่าน เป็นที่นิยมในรถแข่งยุคปัจจุบัน
ภายในยังคงความสปอร์ต ตามสไตล์ R8 มาตั้งแต่ปี 2010 โดยใช้โทนสีตกแต่ง สีดำและสีแดงที่โดดเด่นตั้งแต่เข็มขัดนิรภัยสีแดง ซึ่งเคยนำมาใช้ใน R8 GT รุ่นเมื่อ 12 ปีก่อน รวมไปถึงพรมพื้น เบาะนั่งทรงบัคเก็ตซีทฉลุตัวอักษรเฉพาะรุ่น ตกแต่งด้วยสีดำและสีแดงเช่นเดียวกัน
เมื่อเทียบกับ R8 V10 performance RWD ที่มีพละกำลัง 570 แรงม้า (PS) Audi R8 Coupe V10 GT RWD ใช้ขุมพลัง เบนซิน V10 DOHC 40 วาล์วขนาด 5.2 ลิตร (5,204 ซีซี) จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ตรงสู่ห้องเผาไหม้ TSI แบบผสมผสาน Direct Injection และ Indirect Injection พร้อมระบบ Cylinder on demand และระบบแปรผันวาล์ว ให้กำลังสูงสุด 620 แรงม้า (PS) ที่ 8,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 565 นิวตันเมตร ที่ 7,000 รอบ/นาที มาพร้อมท่อไอดีพ่นสีดำเฉพาะรุ่น
จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Dual-Clutch 7 จังหวะ ลูกใหม่ ที่ลดเวลาในการเปลี่ยนเกียร์ พร้อมจัดเรียงอัตราทดใหม่เพื่อรองรับความเร็วสูงสุดที่เพิ่มขึ้น ส่งกำลังผ่านล้อคู่หลัง ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายในเวลา 3.4 วินาที ทำอัตราเร่ง 0-200 กม./ชม. ภายในเวลา 10.1 วินาที ความเร็วสูงสุด 320 กม./ชม.
โหมดการขับขี่ใหม่ Torque Rear Drive Mode เป็นครั้งแรกที่พัฒนาโดย Audi Sport GmbH ซึ่งทำงานร่วมกับระบบ traction control system (ASR) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบ ESC โดยผู้ขับขี่สามารถปรับรูปแบบของการส่งแรงบิดได้สูงสุดถึง 7 รูปแบบผ่านปุ่มควบคุมแบบหมุนที่พวงมาลัย เนี่ยทำให้ผู้ขับขี่สามารถปล่อยพละกำลังจากเครื่องยนต์ให้เหมาะสมกับ สไตล์การขับขี่และรูปแบบของสนามแข่งที่แตกต่างกัน หลักการทำงานจะใช้การอ่านข้อมูลจากเซนเซอร์วัดความเร็วที่ล้อทั้งสี่ เซนเซอร์วัดมุมเลี้ยว ระดับของคันเร่ง และตำแหน่งเกียร์ที่ใช้อยู่ในขณะนั้น เพื่อให้กล่อง ECU ควบคุมแรงบิดที่ล้อคู่หลังได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
จุดเด่นสำคัญอยู่ที่การลดน้ำหนักตัวถังไปได้มากถึง 20 กิโลกรัม ทำให้มีน้ำหนักรวมสุทธิที่ 1,570 กิโลกรัม เนื่องด้วยการนำล้ออัลลอยแบบ Forged น้ำหนักเบา รัดด้วยยาง Michelin Sport Cup 2 พร้อมเบรกแบบคาร์บอนเซรามิก ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน นอกจากนี้เบาะนั่งที่อยู่ภายในยังทำด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ ช่วงล่าง High performance พร้อมกันโคลงทำจากวัสดุ Carbon Fiber Reinforced Plastic (CFRP) ปิดท้ายด้วยลูกหมากกันโครงทำจากวัสดุอลูมิเนียมอโนไดซ์สีแดง
ที่มา: Audi