ค่ายรถสปอร์ตทำมือจากแดนผู้ดีอย่าง Ariel อาจไม่คุ้นหูเท่าไรนัก เนื่องจากรถของค่ายนี้มักจะเป็น รถแข่งล้อเปิดน้ำหนักเบา เช่นรุ่น Atom และ Nomad แต่สามารถใช้งานบนถนนได้ตามปกติอย่างถูกกฎหมาย จนกระทั่งล่าสุดได้เปิดตัว Hipercar เวอร์ชั่นออกจำหน่ายจริงอย่างเป็นทางการ หลังจากเปิดตัวภาพสเก็ตช์รถต้นแบบตั้งแต่ปี 2017 โดย Ariel จะผลิต Hipercar ในจำนวนจำกัด
ชิ้นส่วนตัวถังภายนอกทำจากวัสดุคาร์บอนน้ำหนักเบา โครงสร้างตัวถังทำจากวัสดุอะลูมิเนียมน้ำหนักเบาถูกเชื่อมติดกันเป็นชิ้นเดียวกับตัวห้องโดยสาร ซึ่งเป็นครั้งแรกที่รถของค่ายนี้ที่มีการออกแบบเปลือกหุ้มตัวถังอย่างมิดชิด แตกต่างจากหลายรุ่นก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิงที่มีเพียงโครงสร้างตัวถังแบบเปลือย อย่างไรก็ตาม Hipercar จะยังคงแนวคิดรถแข่งน้ำหนักเบา เมื่อเทียบกับรถสปอร์ตขุมพลังไฟฟ้า 100% รุ่นอื่น
Hipercar เป็นรถ EV ที่มีให้เลือกตั้งแบบขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง และ 4 ล้อ โดยใช้มอเตอร์จากบริษัท start-up อย่างEquipmake ซึ่งผลิตรถโดยสารพลังงานไฟฟ้า 100% ตั้งอยู่ที่เมือง Norfolk ประเทศอังกฤษ มอเตอร์ แต่ละตัวจะถูกติดตั้งอยู่ที่ล้อ โดยพ่วงกับระบบส่งกำลัง Step down เพื่อทำการส่งกำลังไปยังล้อแต่ละข้างอย่างอิสระ แต่ละตัวให้กำลังสูงสุด 299 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร
ดังนั้นในรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อหลังจะมีพละกำลังรวมสูงสุด 598 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 900 นิวตัน-เมตร ในขณะที่รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ มีพละกำลังรวมสูงสุด 1196 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 1,800 นิวตัน-เมตร ภายใต้สถาปัตยกรรมแรงดันไฟฟ้าสูงถึง 800V พ่วงกับแบตเตอรี่ lithium-ion ความจุ 62 kWh โดยเคลมระยะทางสูงสุดต่อ 1 รอบการชาร์จไว้ที่ 240 กิโลเมตร Ariel เคลมอัตราเร่งจาก 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมง ได้ภายใน 2.09 วินาที และ อัตราเร่งจาก 0-100 ไมล์ต่อชั่วโมง ได้ภายใน 4.4 วินาที
ไฮไลท์สำคัญของเจ้า Hipercar อยู่ที่การเลือกติดตั้งเครื่องยนต์ CatGen (Catalytic Generator) turbine range extender กำลังสูงสุด 47.6 แรงม้า (PS) เพื่อสามารถปั่นกระแสไฟฟ้าชาร์จแบตเตอรี่ได้แล้วขณะที่รถเคลื่อนที่ ทำให้มีระยะการเดินทางที่เพิ่มขึ้นต่อ 1 รอบการชาร์จ
ระบบช่วงล่างของ Hipercar ใช้แบบ double wishbone ที่มีการคำนวณระยะจุดยึดต่างๆ อย่างอสมมาตร เพื่อให้รองรับการขับขี่ทั้งในสนามและนอกสนามอย่างสมบูรณ์แบบ โดยใช้โช้คอัพจาก Bilstein ในขณะที่ระบบเบรก ด้านหน้าใช้คาลิปเปอร์แบบ 6 ลูกสูบ ด้านหลังใช้คาลิปเปอร์แบบ 4 ลูกสูบ จาก AP Racing และยังสามารถปรับแต่งระดับของระบบ regenerative braking traction control และ torque vectoring ได้อย่างอิสระ
อย่างไรก็ตามทาง Ariel ยังไม่ได้ระบุราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ รวมไปถึงการทดสอบตัวรถเวอร์ชั่นจำหน่ายจริงยังไม่สิ้นสุดอย่างเป็นทางการ แต่มีการคาดการณ์ราคาจำหน่ายว่าจะต่ำกว่า 1 ล้านปอนด์อย่างแน่นอน
ที่มา: Arial