Lotus Elite โฉมใหม่ถูกยกระดับไปยังกลุ่มตลาดรถสปอร์ตระดับบนระนาบเดียวกับแบรนด์ Ferrari ส่วนตำแหน่งการตลาด Lotus Elite ดั้งเดิมก็ถูกแทนที่ด้วย Lotus Evora นั่นเอง

Lotus มุ่งมั่นปั้น Elite โฉมใหม่ให้เป็นดาวจรัสแสงดวงใหม่แห่งทศวรรษอันเป็นสัญลักษณ์การนำพาแบรนด์ Lotus สู่ความรุ่งอรุณมากกว่าอดีต ด้วยการบรรจุความพิเศษใส่ Elite โฉมใหม่ถึง 3 ประการเสียจนนึกไม่ถึงว่า Lotus จะทำได้
ประการแรก Lotus Elite โฉมใหม่มีความสง่างาม, ความเคลื่อนไหว ประการที่สอง ดีไซน์ที่มีรสนิยมสุดยอดและประการที่สาม ความประณีตถึงที่สุด

Mr. Dany Bahar ดำรงตำแหน่งซีอีโอแห่ง Lotus Group ถึงขั้นเอ่ยสรรพคุณ Lotus Elite โฉมใหม่ว่าเป็นรถที่มีความสวยงามโลดแล่นเสียจนเตะตามากกว่าที่เคยเป็น ตัวรถมอบสิ่งพิเศษมากกว่าสิ่งอื่นใด มอบทั้งความสมบูรณ์แบบที่มีความขัดแย้งอย่างนัยยะสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นขนาดรถที่กะทัดรัดแต่ห้องโดยสารกว้างขวาง, สมรรถนะสูงแต่มลพิษต่ำ, น้ำหนักเบาแต่ยังคงความแข็งแรง
Lotus Elite โฉมใหม่เป็นรถสปอร์ตที่มอบทั้งความสบายและความกว้างขวางภายในห้องโดยสารขัดแย้งกับความเชื่อว่า Lotus มักทำรถสปอร์ตห้องโดยสารแคบเสมอมา อีกทั้ง Lotus สามารถพัฒนารถสปอร์ตคันนี้ให้มีน้ำหนักเบามากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะพวกเขาใช้เวลาวิจัยและพัฒนานานเสียจนทำให้ Lotus สามารถพัฒนา Elite โฉมใหม่ให้มีมาตรฐานสูงกว่าที่ Lotus เคยทำไว้เสียด้วย

มิติตัวถังของ Lotus Elite โฉมใหม่มีความยาว 4.60 เมตร ความกว้าง 1.90 เมตร ความสูง 1.32 เมตร เครื่องยนต์วางกลางลำ ขับเคลื่อนล้อหลัง มีที่นั่งแบบ 2+2 น้ำหนัก 1,650 กิโลกรัม
ความพิเศษของ Lotus Elite ก็คือใช้ขุมพลัง Full  Hybrid ผสมผสานระหว่างมอเตอร์ไฟฟ้า พ่วงเทคโนโลยี KERS และเครื่องยนต์เบนซิน V8 5.0 ลิตร ปั่นกำลังรวมกันได้ 620 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 72.72 กิโลกรัมเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 3.5 – 3.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 315 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ปล่อยค่าไอเสีย CO2 215 กรัมต่อกิโลเมตร 

น่าแปลกใจหากอยากจะรอซื้อ Lotus Elite โฉมใหม่กลับต้องรอถึงปี 2014 เพราะ Lotus จะขึ้นสายการผลิตภายในต้นปี 2014 และเตรียมพร้อมเปิดตัวราวปีฤดูใบไม้ร่วงปี 2014 ราคาโดยประมาณ 115,000 ปอนด์
แต่หากใครใจร้อนเห็นทีต้องรอในงาน Paris Motorshow 2010 ล่ะครับ
ส่วนอีกคันที่น่าสนใจก็คือ Aston Martin One-77 รถพิเศษสำหรับคุณคนพิเศษที่รักความเร็วด้วยขุมพลัง Aston Martion One-77 ติดตั้งเครื่องยนต์บล๊อก V12 ความจุ 7.3 ลิตร ให้กำลังมากถึง 750 แรงม้า (BHP) แรงบิดสูงสุด 75.75 กิโลกรัมเมตร Aston Martin เคลมว่าจัดเป็นเครื่องยนต์ไร้ระบบอัดอากาศที่มีพละกำลังแรงที่สุดเท่าที่เคยพบเห็นบนโลกใบนี้ จนสามารถวิ่งความเร็วสูงสุดถึง 355 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ระบบกันสะเทือนแม้ใน Press Release ไม่ระบุว่าปรับปรุงอะไรบ้างแต่อาจจะมีการปรับปรุงโครงตัวถังใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์บางจุด, ปรับชุดกันสะเทือนปีกนกสองชั้นให้ดีขึ้น, จานเบรคเซรามิค, รวมไปถึงยางติดรถชนิดพิเศษ Pirelli P Zero Corsa
Aston Martin One-77 ถูกผลิตจำนวนจำกัดเพียงแค่ 77 คันเท่านั้น กำหนดวางจำหน่ายต้นปีหน้าเป็นต้นไป