เห็นจากรูปทรงแล้วต้องบอกว่า Brabus ตั้งใจทำมาเพื่อเป็นตัวลุยแบบไม่สนว่าจะต้องจดทะเบียนเพื่อใช้งานบนถนนได้ตามกฎหมาย เหมาะสำหรับแฟนๆ ที่จะนำไปซิ่งในทางธรรมชาติ เนื่องจากตัวรถได้ถูกถอดชิ้นส่วนประตูทั้ง 4 บานและฝาประโปรงท้าย และไร้กระจกรอบคัน ใช้โครงตัวถังด้านบนที่ออกแบบใหม่ทำจากเหล็กความแข็งแรงสูง และส่วนประกอบตัวถังทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ และตกแต่งชิ้นส่วนซุ้มล้อด้วยคาร์บอนเคฟลาร์ ประดับด้วยตรา Brabus รอบคัน ปิดท้ายด้วยหลังคาทำจากคาร์บอนไฟเบอร์เช่นเดียวกัน ทำให้น้ำหนักรวมเหลือเพียง 2,065 กิโลกรัม จาก 2,485 กิโลกรัมในรุ่นปกติ
ภายในมาพร้อมเบาะนั่งทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ทรงรถแข่งแบบ Full-bucket seat เพื่อเพิ่มความั่นใจยามขับขี่พร้อมเข็มขัดนิรภัย 4 จุด ครบทั้ง 4 ตำแหน่ง ตัวเบาะหุ้มด้วยผ้า Silvertex สีแดง พวงมาลัยหุ้มด้วยหนัง Alcantara พร้อมโลโก้ BRABUS คอนโซลตกแต่งด้วยคาร์บอนเคฟลาร์ และใช้โทนสีแดงเป็นหลัก
นอกจากนี้ยังมาพร้อมจอกลางขนาด 12 นิ้ว ติดตั้งระบบนำทางด้วย GPS ความแม่นยำสูง โดยลูกค้าสามารถสั่งปรับแต่งฟีเจอร์และรูแบบการแสดงผลของจอกลางได้ตามต้องการ พร้อมฟังก์ชั่นดังนี้
- Raster maps
- Topographic maps
- Satellite imagery
- Point to Point Navigation
- Route recording
- Gpx import and export
ทาง Brabus ยังแถมหมวกกันน๊อค 4 ใบครบทุกที่นั่ง ติดตั้งระบบสื่อสาร Intercom แบบ 2-way ด้วยวิทยุระบบ VHF เพื่อรองรับสภาพการขับขี่หฤโหด
ตัวรถถูกยกสูงจนมีระยะต่ำสุดจากพื้น ถึง 530 มิลลิเมตร และด้วยการติดตั้งเพลาลอยทั้งหน้าและหลัง ทำให้ Brabus 900 Crawler สามารถเอาชนะอุปสรรคและปีนป่ายได้อย่างดีเยี่ยม พร้อมทั้งติดตั้งช่วงล่างแบบปรับความสูงได้ ด้านหน้าเป็นแบบอิสระดับเบิ้ลวิชโบน ด้านหลังเป็นแบบเทรลลิ่งอาร์ม พร้อมคอยล์สปริงทั้งหน้าและหลังทำจากเหล็กความแข็งแรงสูง และมีการทำพื้นผิวแบบอโนไดซ์เพื่อความสวยงาม โช้คอัพทั้งหน้าและหลังสามารถปรับความแข็ง-อ่อนและระยะยุบได้เพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลาย
ล้ออัลลอย BRABUS Forged Monoblock HD แบบพิเศษใช้รูน๊อตจำนวน 8 รู พ่นสีดำ gunmetal black พร้อมปัดเงา มาพร้อมกับยาง Heavy-duty off-road จาก Maxxis รุ่น Razr MT ขนาด LT40 x 13.50 R20 128Q POR
ระบบเบรกใช้จานคู่หน้าขนาด 400 มิลลิเมตร และ จานคู่หลังขนาด 370 มิลลิเมตร
เครื่องยนต์เบนซิน BRABUS ROCKET 900 V8 ขยายความจุเป็นขนาด 4.5 ลิตร 4,407 ซีซี. ฉีดจ่ายน้ำมันแบบ Direct-Injection พ่วงระบบอัดอากาศ Bi-Turbo ถูกปรับแต่งจนมีกำลังสูงสุด 900 แรงม้า (PS) ที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุดที่ 1250 นิวตันเมตร ที่ 2,900 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ AMG SPEEDSHIFT 9G-Tronic ขับเคลื่อน 4 ล้อ AMG Performance 4MATIC all-wheel drive พร้อมฟังก์ชั่นกระจายอัตราส่วนแรงขับเคลื่อนไปที่ล้อหลังสูงถึง 60% ทำอัตราเร่ง 0-60 ไมล์/ชม. ภายใน 3.4 วินาที ความเร็วสูงสุดถูกล๊อคไว้ที่ 160 กม./ชม.
Brabus ตั้งราคาขายเริ่มต้นที่ 793,000 เหรียญสหรัฐ หรือ 27,247,480 ล้านบาท และจะผลิตจำนวนจำกัดเพียงแค่ 15 คันเท่านั้น โดยจะเริ่มส่งมอบช่วงปลายปี 2022 นี้
ที่มา: Brabus