ถือว่าเป็นช่วงขาลง (ที่ไม่ใช่ราคาน้ำมัน) ของดีเซลอย่างแท้จริงโดยเฉพาะในภูมิภาคยุโรป ที่บรรดาค่ายรถต่างพากันหยุดพัฒนาและทยอยยกเลิกการทำตลาดเครื่องยนต์ดีเซล เนื่องจากข้อกำหนดทางมลพิษที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วของรถ EV ในภูมิภาคยุโรป

ค่ายรถส่วนใหญ่พุ่งเป้าไปที่การเป็นผู้ผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ภายในปี 2030 พร้อมทั้งลงทุนและพิ่มความร่วมมือในการผลิตแบตเตอรี่ และเสริมทัพด้วยพลังงานสะอาดหลายรูปแบบ เพื่อทำให้ระบบ Ecosystem ของรถ EV เติบโตอย่างยั่งยืนโดยไม่ทิ้งภาระให้กับธรรมชาติ

Vauxhall ทำตลาดเครื่องยนต์ดีเซลในรถยอดนิยมของเมืองผู้ดีอย่าง Corsa มาเป็นระยะเวลาร่วม 35 ปี โดยเปิดตัวพร้อมรุ่นแรก (ในตอนนั้นเรียกว่ารุ่น Nova) ในปี 1987 ซึ่งใช้เครื่องยนต์จาก Isuzu ขนาด 1.5 ลิตร

แต่เพราะกระแสความนิยมเครื่องยนต์ดีเซลในรถยนต์ขนาดเล็กค่อยๆ ลดลงอย่างต่อเนื่อง เมื่อ Vauxhall เคยถอดเครื่องยนต์ดีเซลในโฉมก่อนหน้ามาแล้ว เนื่องจากขายได้เพียง 2.5% ของยอดขายรวม แต่ก็กลับมาขายอีกครั้งในรุ่นปัจจุบันเมื่อปี 2019 ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 1.5 ลิตร 4 สูบ พ่วง Turbo ให้กำลังสูงสุดถึง 102 แรงม้า และให้อัตราความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงระดับรถ Hybrid ยังอาย ที่ 88.3 mpg หรือประมาณ 37.5 กม./ลิตร

ถึงแม้จะทำตัวเลขประหยัดได้ขนาดนี้ แต่กลับขายได้น้อยลงกว่าโฉมก่อนเสียอีก คิดเป็นจำนวนเพียง 1.4% ของยอดขายรวม ในขณะที่รุ่นขุมพลังไฟฟ้า 100% อย่าง Corsa-e ขายได้มากกว่าเป็นสัดส่วนสูงถึง 14% สอดรับกับนโยบายที่เตรียมเข้าสู่ยุคของ รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ภายในปี 2028 และเตรียมพ่วงระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าให้กับทุกรุ่นในปี 2024 นี้

(Vauxhall Corsa-e)

นั่นหมายความว่า ทางเลือกของขุมพลังที่วางใน Corsa รุ่นปัจจุบันเหลือเพียง เบนซิน 1.2 ลิตร 74 และ 99 แรงม้า และข้ามไปที่รุ่น BEV พละกำลัง 134 แรงม้า กับระยะทางสูงสุดที่ 355 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง

ทั้งนี้ Vauxhall ยังคงมีทางเลือกขุมพลังดีเซลให้กับรุ่น Mokka ที่ใช้พื้นฐาน CMP Platform เดียวกัน รวมไปถึง SUV รุ่นอื่นๆ อย่าง Crossland Grandland และรถยนต์นั่ง D-segment ที่มีให้เลือกทั้ง 5 ประตู Fastback และ ตัวถัง Estate อย่าง Insignia รวมไปถึงตระกูล Astra รุ่นใหม่ล่าสุดอีกเช่นกัน

(Vauxhall Corsa-e)

ขณะที่ Audi ในประเทศนอร์เวย์ ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการเติบโตของประชากรรถ BEV ที่รวดเร็วที่สุดในยุโรป จึงทำให้ทางค่ายตัดสินใจถอดขุมพลังดีเซลทั้งกระดานออกให้หมดตั้งแต่เดือนเมษายน ปี 2022 เป็นต้นไป พร้อมทั้งทำจลาดรุ่นเครื่องยนต์เบนซินและเบนซินไฮบริด ถึงแค่ปี 2026 เท่านั้น และเมื่อพิจารณาจากยอดขายเครื่องยนต์ดีเซลของ Audi ในประเทศนอร์เวย์แล้ว ไม่แปลกใจที่จะโดนถอดออกตั้งแต่ตอนนี้ เนื่องจากขายไปได้เพียงแค่ 1% ของยอดขายทั้งหมด

(Audi TDI engine)

————————///————————

ที่มา: Autocar