ตลาดรถยนต์สหรัฐอเมริกานับว่าเป็นตลาดรถยนต์ที่มีขนาดใหญ่เป็นลำดับต้นๆ
ของโลกเลยทีเดียว แต่ในระยะ 2-3 ปีให้หลังมานี้ หลังจากเกิด Hamburger Crisis
ที่ทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกผันผวน จนธุรกิจหลายธุรกิจระส่ำระส่าย หายใจรดต้นคอ
รวมไปถึงการทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น สร้างความตื่นตระหนกแก่ผู้บริโภค
และนั่นทำให้บรรดารถยนต์ SUV คันโต พร้อมขุมพลังขนาด 6-8 สูบเริ่มหายไปจาก
สารบบรถยนต์ในสหรัฐอเมริกา ในขณะเดียวกัน รถยนต์ไฮบริดกลับมีการผลิตป้อนสู่
ตลาดมากขึ้น ไม่ว่าจะจากผู้เล่นหน้าเดิมอย่าง Toyota, Honda แต่รวมไปถึงผู้เล่นหน้า
ใหม่ในตลาดรถยนต์ไฮบริดอย่าง GM, Ford ฯลฯ เพื่อสอดรับกับแนวโน้มผู้บริโภคที่สูงขึ้น
แต่ล่าสุด ตัวเลขยอดขายรถยนต์ไฮบริดในสหรัฐอเมริกาประจำเดือนสิงหาคม กลับ
แสดงตัวเลขอันน่าตกใจ นั่นก็คือ ตัวเลขยอดขายรถไฮบริดที่ยังคงลดลงต่อเนื่องจาก
เดือนก่อนๆ อันเป็นผลมาจากการที่ราคาน้ำมันไม่มีการขึ้นราคาในระยะหลายเดือนหลัง
มานี้
โดยในภาพรวมแล้ว ยอดขายรถยนต์ไฮบริดทั้งหมดในสหรัฐอเมริกาลดลง 40.4%
เมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ขนาดแชมป์ยอดขายอันดับ 1 อย่าง Toyota Prius
ยังมียอดขายลดลง 37.5% เมื่อเทียบกับปีที่แล้วเช่นกัน และยังลดลง 16.3% เมื่อเทียบ
กับยอดขายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และเมื่อรวมยอดขายรถยนต์ไฮบริดจาก Toyota
และ Lexus ในสหรัฐอเมริกา ก็ยังมีตัวเลขลดลง 36.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว
ในขณะที่ Ford ก็มียอดขายรถไฮบริดลดลงเช่นกัน แต่มีเปอร์เซนต์ต่ำกว่าด้วยตัวเลข 17.1%
เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องอย่างลืมว่า ในเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศโปรแกรม Cash
for Clunkers อันเป็นแคมเปญซึ่งช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจดีขึ้น ยอดขายรถยนต์รวมถึง
รถยนต์ไฮบริดจึงพุ่งสูงขึ้นอย่างชัดเจนในปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ยอดขายรถยนต์ไฮบริด
จะลดลงในเดือนที่ผ่านมา แต่ Toyota ยังคงเป็นผู้นำด้วยยอดขาย 15,444 คัน และตาม
มาด้วย Ford กับตัวเลข 3,894 คัน และปิดท้ายด้วย Honda ที่มียอดขายสูสีกับฟอร์ด
3,485 คัน
แนวโน้มยอดขายรถยนต์ไฮบริดอาจตกต่ำลง แต่เรามารอดูสถานการณ์รถยนต์พลังงานไฟฟ้า
ล้วนในปี-2ปีข้างหน้านี้ดีกว่าครับ ว่าจะได้รับความนิยมมากน้อยขนาดไหน และจะยิ่งทำให้
ยอดขายรถยนต์ไฮบริดซบเซาลงกว่าเดิมหรือเปล่า