โดยปกติผู้ผลิตรถยนต์มักจะสร้างสนามทดสอบรถยนต์สำหรับทดสอบรถโมเดลใหม่ที่เป็นความลับ อาจมาในลักษณะของ
Proving Ground หรือสนามจำลองสถานการณ์ ต่าง ๆ แต่ถ้าเป็นสนามขับทดสอบอีกแบบหนึ่งที่เปิดกว้างให้คนทั่วไป
เข้าไปทดสอบเพื่อปรับปรุงความสามารถในการขับขี่หรือเป็นสถานที่สำหรับฝึกอบรมขับขี่เพื่อความปลอดภัยที่กำเนิดโดย
บริษัทรถนั้น ก็ต้องบอกเลยว่าแทบจะไม่มีกันเลย
แต่ล่าสุด Toyota Motor ประเทศไทยก็เปิดตัวศูนย์ขับทดสอบรถยนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ในชื่อ
“Toyota Driving Experience Park” ถนนบางนา – ตราด กิโลเมตรที่ 3 กรุงเทพมหานคร ซึ่งก็น่าจะตอบโจทย์ของ
ผู้บริโภคที่ต้องการฝึกอบรมพัฒนาทักษะการขับขี่ของตนเองไม่น้อย
มร.เคียวอิจิ ทานาดะ เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น / กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า
มอเตอร์ เอเชีย แปซิฟิค มาร์เก็ตติ้ง แอนด์เซลส์ / กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ เอเชีย แปซิฟิค เอ็นจิ
เนียริ่ง แอนด์ แมนูแฟคเจอริ่ง / กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “Toyota
Driving Experience Park แห่งนี้ เกิดขึ้นภายใต้แนวคิด Driving is Believing เพื่อให้เป็นศูนย์ขับทดสอบรถยนต์โต
โยต้าครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิค โดยเปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปได้สัมผัสประสบการณ์การขับขี่รถยนต์โต
โยต้าทุกรุ่น ทั้งในรูปแบบ On Road และ Off-Road ทั้งนี้เป็นการสะท้อนถึงเจตนารมณ์ของโตโยต้าที่ตั้งใจจะพัฒนา
รถยนต์ที่ดีมีคุณภาพ และสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าด้วยการพิสูจน์ สมรรถนะรถยนต์ของโตโยต้า ในสนามทดสอบที่
ได้รับการออกแบบด้วยเทคโนโลยีมาตรฐานระดับโลก”
Toyota Driving Experience Park
ศูนย์ขับทดสอบรถยนต์ครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดของโตโยต้าในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิค
Toyota Driving Experience Park ได้รับการออกแบบจากบริษัท IngenAIX GMBH ประเทศเยอรมัน ซึ่งเป็นบริษัทที่มี
ความเชี่ยวชาญในการออกแบบสนามแข่งขันรถยนต์และสนามทดสอบรถยนต์ระดับโลก ทำการออกแบบสนามทดสอบ
มาตรฐานสากล บนพื้นที่กว่า 22 ไร่ ณ ถนนบางนา-ตราด กิโลเมตรที่ 3 โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 ส่วน
ส่วนที่ 1 : อาคารต้อนรับ 3 ชั้น เพื่อความสะดวกสบายของลูกค้าตั้งแต่เริ่มเข้าศูนย์ขับทดสอบโตโยต้า
– ชั้นที่ 1 : พื้นที่ต้อนรับและจัดแสดงเทคโนโลยีล้ำสมัยของโตโยต้า
– ชั้นที่ 2 : พื้นที่สัมมนาพร้อมอุปกรณ์ทันสมัยสามารถรองรับผู้เข้าอบรมได้ 400 คน
– ชั้นที่ 3 : พื้นที่พักผ่อนและห้องอาหาร
ส่วนที่ 2 : สนามทดสอบในรูปแบบ On Road แบ่งออกเป็น 6 สถานีย่อย
– สถานีที่ 1 : Multi Purpose Area
พื้นที่อเนกประสงค์สำหรับสร้างความคุ้นเคยระหว่างผู้ทดสอบกับรถยนต์ รวมถึงเพื่อทดสอบการทรงตัวของรถ (Stability)
สถานีนี้สามารถตั้งฐานเพื่อทดสอบสภาพการขับขี่ในรูปแบบต่างๆ เช่น การขับทดสอบทดสอบขับแบบสลาลม (Slalom)
หรือการขับทดสอบแบบเปลี่ยนเลน (Lane Change)
– สถานีที่ 2 : Dynamic Course
พื้นที่สำหรับทดสอบอัตราเร่ง (Acceleration) บนสภาพถนนที่แตกต่าง พร้อมทดสอบระบบเบรก (ABS) ระบบเสริมแรง
เบรก BA (Break Assist) ระบบควบคุมการทรงตัว (VSC) บนสภาพพื้นผิว ธรรมดาและพื้นผิวลื่น โดยสถานีนี้ได้รับการ
ออกแบบให้มีทั้งพื้นผิวเปียกและแห้ง (Wet & Normal Condition) พื้นผิวปกติและพื้นผิวลื่น (Skidding & Normal
Surface) รวมไปถึงม่านน้ำ (Water Obstacle ) ที่ใช้เป็นด่านทดสอบ โดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหายหรืออันตรายแก่
รถยนต์และผู้ขับขี่
– สถานีที่ 3 : Acceleration Area
พื้นที่ทดสอบอัตราเร่งของเครื่องยนต์จาก 0 – 100 (Acceleration) รวมไปถึงระบบเกียร์ (Transmission) และการ
ทำงานของเครื่องยนต์ (Performance) ในรอบเครื่องยนต์ต่างๆ
– สถานีที่ 4 : Circular Track
พื้นที่ถนนวงเวียนใช้สำหรับทดสอบความสามารถของรถยนต์ในการเข้าโค้ง เพื่อทดสอบอาการ ของรถยนต์เวลาเข้าโค้ง
(Over / Under Steering) บนพื้นผิวและสภาวะถนนที่แตกต่างกัน โดยมีทั้งพื้นที่เปียกและแห้ง (Wet & Normal
Condition) พื้นผิวปกติและพื้นผิวลื่น (Skidding & Normal Surface)
– สถานีที่ 5 : Road Condition Area
พื้นที่จำลองสภาพพื้นผิวถนน 8 สภาวะ เช่น หลุม บ่อ ลูกคลื่น รวมถึงสะพาน เพื่อใช้ทดสอบ การเก็บเสียงในห้องโดยสาร
(Noise) ความสั่นสะเทือน (Vibration) การควบคุมรถยนต์ (Control) และความนุ่มนวลในการขับขี่ (Riding Comfort)
– สถานีที่ 6 : Mini Closed Circuit
พื้นที่สนามสามารถปรับใช้เป็นสนามมินิเซอร์กิตแบบพื้นที่ปิด โดยมีความยาว 1.4 กม. เพื่อใช้ใน การทดสอบการทำงาน
ของรถยนต์ในสภาวะการขับขี่อย่างเต็มรูปแบบ (High Performance)
ส่วนที่ 3 : สนามทดสอบในรูปแบบ Off-Road แบ่งออกเป็น 6 สถานีย่อย
– สถานีที่ 1 : Slope Hill
เนินภูเขาลาดชัน ใช้สำหรับการทดสอบการขึ้นลงทางลาดชัน โดยใช้ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC (Hill-Start
Assist Control) และระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน DAC (Downhill Assist Control)
– สถานีที่ 2 : Flooding
พื้นที่จำลองบ่อน้ำสำหรับการทดสอบระบบป้องกันล้อหมุนฟรีแบบแอคทีฟ A-TRC (Active Traction Control) เมื่อรถ
ต้องอยู่ในสภาวะน้ำท่วมขังสูง
– สถานีที่ 3 : Dry River Bed
เส้นทางจำลองสถานการณ์พื้นผิวที่มีทั้งหิน กรวด ทราย และเนินลาดชัน ทำให้การขับขี่
ไม่สามารถอยู่ในสภาวะปกติ สำหรับการทดสอบระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และระบบกันสะเทือนหน้า หลัง
– สถานีที่ 4 : 4×4 Tunnel
อุโมงค์แคบเอียงสำหรับการทดสอบเครื่องยนต์ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และมุมเอียงของรถ
– สถานีที่ 5 : Twist Track
พื้นที่การจำลองสภาวะการขับขี่ ในกรณีที่รถยนต์ไม่สามารถใช้กำลังจากล้อทั้ง 4 ได้ เพื่อทดสอบ การขับเคลื่อนสี่ล้อ
ความเร็วต่ำ 4L ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีแบบแอคทีฟ A-TRC (Active Traction Control) ระบบล็อคเฟืองท้ายอัตโนมัติ
(Diff-Lock) และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ
– สถานีที่ 6 : Tree Track
เส้นทางพื้นผิวขรุขระมาก สำหรับการทดสอบการทรงตัว ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ระบบช่วงล่าง (Suspension) และความ
นุ่มนวลในการขับขี่ (Riding Comfort)
มร.ทานาดะ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ผู้ที่เข้ามาทดสอบรถยนต์โตโยต้าในสนามขับทดสอบแห่งนี้จะได้รับความรู้จากผู้เชี่ยวชาญ
ที่ผ่านการอบรมจากศูนย์ฝึก Mobilitas ประเทศญี่ปุ่น ที่จะทำให้ทุกท่านได้รับประสบการณ์การขับขี่ที่สนุกสนานควบคู่ไป
กับคำแนะนำด้านความปลอดภัยในการขับขี่ที่ถูกต้อง”
Toyota Driving Experience Park
เปิดทำการทุกวัน เวลา 08:00 – 18:00 น.
เริ่มตั้งแต่ 9 กันยายนนี้เป็นต้นไป