หลังจากที่ Aston Martin ประกาศยืนยันว่าจะมีการผลิต V12 Vantage ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ทำให้เกิดกระแสตอบรับที่ดีเกินคาด ด้วยความเป็นรุ่นสุดท้ายของ V12 Vantage และอัตราส่วนแรงม้าต่อน้ำหนักสูงถึง 390 แรงม้า (PS) ต่อ 1 ตัน มากกว่ารุ่นปกติกว่า 20% จึงเกิดปรากฏการณ์ยอดจองเกินโควต้า 333 คัน กระทั่งต้องมี waiting lists การเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 16 มีนาคมนี้ เป็นได้เพียงการเผยรายละเอียดให้เหล่าแฟนๆ ได้เชยชม ถึงแม้จะหมดโอกาสในการจับจองเป็นเจ้าของแล้วก็ตาม

Tobias Moers CEO ของ Aston Martin กล่าวว่า ”ย้อนกลับไปเมื่อปี 2007 Aston Martin ได้เปิดตัว V12 Vantage RS Concept ซึ่งได้รับผลตอบรับดีมาก ในการวางขุมพลัง V12 ลงในบอดี้รถสปอร์ตรุ่นเล็กของค่าย จนกระทั่งในวันนี้ ด้วยขุมพลัง V12 ที่ถูกพัฒนาจนถึงขีดสุด ทำให้ V12 Vantage เป็นรุ่นที่ทรงพลังที่สุดของตระกูล Vantage พร้อมมอบการควบคุมที่เฉียบคมให้กับผู้ขับขี่”

มิติตัวถัง

  • ความยาว: 4,514 มม.
  • ความกว้าง: 1,982 มม.
  • ความสูง: 1,274 มม.
  • ฐานล้อ: 2,705 มม.
  • ความจุถังน้ำมัน: 73 ลิตร
  • น้ำหนักตัวรถ: 1,795 กก.

ด้วยแนวคิดการออกแบบที่เน้นการไล่เบาเป็นพิเศษ รวมไปถึงการนำเส้นสายจากรุ่นพี่ Vantage GT12 มาปรับใช้ จึงเป็นที่มาของชิ้นส่วนที่ได้รับการคัดสรรมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ กันชนหน้าคาร์บอนไฟเบอร์ ที่มีช่องดักลมขนาดใหญ่กว่ารุ่นปกติถึง 25% เพื่อให้สามารถระบายความร้อนให้กับหม้อน้ำได้ดี ฝากระโปรงหน้าคาร์บอนไฟเบอร์ที่เจาะรูทรงเกือกม้า เพื่อลดการสะสมความร้อน พร้อมลิ้นหน้าขนาดใหญ่ล้นกันชน สร้างแรงกดและช่วยให้อากาศไหลเวียนอย่างสมบูรณ์แบบ พร้อมทั้งเสริมภาพลักษณ์ให้รถดูเตี้ยติดดินมากขึ้น นอกจากนี้ซุ้มล้อคู่หน้าและสเกิร์ตข้างขนาดใหญ่ก็ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์เช่นเดียวกัน

กันชนหลังติดตั้งดิฟฟิวเซอร์ทรงแปลกตา เพื่อจัดการกับกระแสลมที่ลอดผ่านใต้ท้องรถจากด้านหน้า รวมไปถึงการติดตั้งชุดท่อไอเสียน้ำหนักเบา ซึ่งทำจากสแตนเลสสตีลมีความหนาเพียงแค่ 1 มิลลิเมตร พร้อมปลายท่อไอเสียคู่ ทำให้ลดน้ำหนักเฉพาะจุดนี้ไปได้มากถึง 7.2 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับรุ่นปกติ สปอยเลอร์หลังทรงเฉี่ยวที่สร้างแรงกดด้านท้ายสูงถึง 204 กิโลกรัม และสามารถเลือกถอดออกจากโรงงานได้เช่นกัน พร้อมความสามารถในการรีดลมจากการเก็บงานด้านใต้ตัวถังอย่างมิดชิด

สำหรับสีภายนอกสามารถเลือกได้ตามความต้องการด้วย Q by Aston Martin ทั้งสีพื้นและสีของแลคเกอร์ เพื่อผสมผสานให้ออกมาโดดเด่นไม่เหมือนใคร โดยสามารถสร้างบุคลิกที่แตกต่าง ตามการตกกระทบของแสง รวมไปถึงการเลือกพ่นสีล้ออัลลอยและคาลิปเปอร์เบรก พร้อมออฟชั่นการตกแต่งภายนอกทั้งไฟท้ายรมดำ ชิ้นส่วนคาร์บอนไฟเบอร์เพิ่มเติม ล้ออัลลอยลาย Diamond Turned หรือล้ออัลลอยน้ำหนักเบาที่ลดน้ำหนักเพิ่มอีก 8 กิโลกรัม

ภายในที่นอกจากจะเน้นความสปอร์ตแล้ว ยังใช้วัสดุที่มีคุณภาพสูง เบาะนั่งคู่หน้าพร้อมระบบอุ่น Sports Plus หุ้มด้วยหนังทรงบัคเก็ตซีทที่มาพร้อมปีกเบาะขนาดใหญ่ และโครงเบาะที่เจาะรูระบายอากาศเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน อีกทั้งยังมีเบาะนั่งที่โครงสร้างทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ปรับด้วยมือ 6 ทิศทาง ที่ช่วยลดน้ำหนักลงไปได้อีก 7.3 กิโลกรัม เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของ Aston Martin ให้เลือกติดตั้งอีกด้วย คอนโซลหน้าตกแต่งด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ สามารถเลือกสีของวงแหวนควบคุมต่างๆ ได้ตามใจชอบ พวงมาลัยทรงรถแข่งตกแต่งด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ พร้อมแป้นแพดเดิ้ลชิพทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ ปิดท้ายด้วยหน้าจอกลางขนาด 8 นิ้ว

เครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง

เครื่องยนต์เบนซิน V12 ทำมุม 60 องศา DOHC 48 วาล์ว ขนาด 5.2 ลิตร 5,204 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 89.0 x 69.7 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 9.3 : 1 ฉีดจ่ายน้ำมันแบบ port-Injection พ่วงระบบอัดอากาศ Twin-Turbocharger ให้กำลังสูงสุด 700 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 753 นิวตันเมตร ที่ 1,800-6,000 รอบ/นาที อัตราเร่ง 0-60 ไมล์/ชม. ภายในเวลา 3.4 วินาที และความเร็วสูงสุด 320 กม./ชม. จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ จาก ZF พร้อม Limited-Slip Differential (LSD) แบบกลไล ติดตั้งที่เพลาคู่หลังของตัวรถ ขับเคลื่อนล้อหลัง

ระบบบังคับเลี้ยว

  • แร็คแอนด์พิเนียนพร้อมมอเตอร์ผ่อนแรง เมื่อหมุนจากซ้ายสุดไปขวาสุด 2.27 รอบ อัตราทด 13:1

ระบบกันสะเทือน

  • ด้านหน้าแบบดับเบิ้ลวิชโบนพร้อมเหล็กกันโคลง
  • ด้านหลังแบบมัลติลิงค์พร้อมเหล็กกันโคลง
  • ระบบช่วงล่างถุงลมแบบแปรผัน Adaptive Damping System (ADS) with Skyhook technology พร้อมโหมดการขับขี่ Sport Sport + และ Track
  • ล้ออัลลอยมาตรฐานขนาด 21 นิ้ว คู่หน้ารัดด้วยยาง – Michelin Pilot 4S 275/35 R21 และ คู่หลังรัดด้วยยาง Michelin Pilot 4S 315/30 R21

ระบบห้ามล้อ

  • จานเบรกคู่หน้าแบบคาร์บอนเซรามิค ขนาด 410 มม. คาลิปเปอร์อลูมิเนียมแบบ 6 ลูกสูบ
  • จานเบรกคู่หลังแบบคาร์บอนเซรามิค ขนาด 360 มม. คาลิปเปอร์อลูมิเนียมแบบ 4 ลูกสูบ
  • พร้อมผ้าเบรกสมรรถนะสูงเพื่อรองรับอุณหภูมิที่สูงขึ้น

ระบบความปลอดภัย

  • ระบบจอดอัตโนมัติ ทั้งแบบขนานและเข้าซอง
  • กล้องมองภาพรอบคัน 360 องศา
  • ระบบตรวจจับรถที่อยู่ในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน Blind Spot Detection

Aston Martin V12 Vantage เริ่มขึ้นสายพานการผลิตในช่วงไตรมาสแรกของปี 2022 และจะพร้อมส่งมอบตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 เป็นต้นไป

————————///————————

ที่มา: Aston Martin