ด้วยการผสาน 2 ตำนานเข้าด้วยกัน ทั้งชื่อ Bronco ที่เป็นที่รู้จักกันดีในนามรถตรวจการอมตะของ Ford และ Raptor ซี่รี่ย์ลุยแบบดิบโหด ที่เห็นกันมาก่อนหน้าในรุ่น F-150 และ Ranger โดย Branco Raptor ถูกสร้างขึ้นเพื่อการเป็นสิงห์ทะเลทราย ที่ยังมาพร้อมกับความสามารถในการปีนป่ายโขดหิน โดยทั้งหมดนี้ถือเป็นคุณสมบัติของรถ Off-Road ประเภท Ultra4 racing ซึ่งทีมงาน Ford Performance ที่มีประสบการณ์จาก 2 โมเดลก่อนหน้า ได้บรรจงสร้างเพื่อให้เป็นที่สุดของซี่รี่ย์ Raptor เรียกได้ว่าจุใจสายลุยแบบฮาร์ดคอร์
งานออกแบบภายนอกก็ยังช่วยเสริมความสามารถในเชิง Off-road สูงสุด สังเกตได้จากงานดีไซน์ที่ทำให้ Bronco Raptor มีความแตกต่างจากรุ่นปกติ ด้านหน้ามีกระจังที่เป็นตัวอักษร FORD พร้อมไฟหน้าที่ดีไซน์มาเฉพาะรุ่นที่มีไฟ DRL สีส้ม กันชนหน้าวัสดุเหล็กแข็งแรงทนทานจาก Ford Performance พร้อมขอเกี่ยว 2 อันด้านล่าง ที่ยังสามารถถอดชิ้นส่วนบางอันออกได้ เพื่อรองรับการปีนไต่ในมุมสูง ฝากระโปรงหน้าพร้อมช่องดูดลมสีดำลายคาร์บอนตรงกลาง พร้อมแปะโลโก้ Raptor ที่มุมด้านบนทั้ง 2 ด้าน บันไดข้างสีดำที่สามารถถอดได้เวลาปีนป่าย ชุดโป่งซุ้มล้อรอบคันที่ขยายขนาดใหญ่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และยังติดตั้งครีบระบายอากาศสีเดียวกับตัวรถมาให้อีกด้วย ทั้งหมดนี้ทำให้ Bronco Raptor มีความกว้างมากกว่ารุ่นปกติถึง 9.8 นิ้ว
ภายในจะมาพร้อมเบาะนั่งสีดำ ตกแต่งวัสดุต่างๆ ด้วยสีส้ม ไม่เว้นแม้กระทั่งไฟปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ และยังแซมด้วยทริมคาร์บอนไฟเบอร์เพิ่มความดุดัน สามารถเลือกอ็อพชั่นการตกแต่งภายในเพิ่มเติม ได้หลากหลายตามความต้องการของลูกค้า ทั้งวัสดุหุ้มเบาะ คอนโซลหน้า และพรมพื้น รวมไปถึงพวงมาลัยแบบสปอร์ตที่มีความกระชับมือมากขึ้น พร้อมอัพเกรด Paddle Shift เป็นวัสดุแม็กนีเซียม สำหรับเบาะคู่หน้าที่เป็นอ็อพชั่นดีไซน์พิเศษจาก Ford Performance จะมาพร้อมปีกเบาะที่ใหญ่ขึ้น และยังมีออฟชั่นสายเข็มขัดนิรภัยสีส้มเพิ่มความโดดเด่นให้เลือกอีกด้วย
ด้านความบันเทิงจะมาพร้อมกับจอกลางทัชสกรีน SYNC®4 ขนาด 12 นิ้วเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน พร้อมกล้องมองภาพรอบคัน 360 องศา นอกจากนี้ยังมีแพ็คเกจ Lux ซึ่งประกอบไปด้วยระบบเครื่องเสียง 10 ลำโพงจาก B&O และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน Adaptive Cruise Control
ด้านขุมพลังและระบบขับเคลื่อน Ford ได้วางเครื่องยนต์ EcoBoost เบนซิน V6 DOHC 24 วาล์ว ขนาด 3.0 ลิตร 3,000 ซีซี จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ตรงสู่ห้องเผาไหม้ แบบ Direct Injection พร้อมระบบอัดอากาศ แบบ Twin-Turbocharger พ่วง Intercooler ให้กำลังสูงสุด 405 แรงม้า (PS) จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ SelectShift 10 จังหวะ และใช้เพลาส่งกำลังที่ได้รับการอัพเกรดของ Dana ที่ใช้ในรถแข่ง Bronco DR
ตัวเลขสเป็คอื่นๆ ของเครื่องยนต์ยังไม่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการ แต่ทาง Ford ได้ทำการอัพเกรดระบบระบายความร้อนเทอร์โบและระบบดูดอากาศไอดีที่ได้รับการปรับแต่งมาโดยเฉพาะ ในส่วนของเครื่องยนต์ยังใช้วัสดุเหล็กหล่อผสมกราไฟท์เพื่อลดน้ำหนักและยังเพิ่มความแข็งแกร่งอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีระบบท่อไอเสียคู่แบบปรับแต่งโทนเสียงได้ 4 แบบ Normal Sport Quiet และ Baja (โหมดลุยโหด)
โหมดการขับขี่ Terrain Management System ที่มีชื่อเรียกว่า G.O.A.T. (Goes Over Any Type of Terrain) ที่ทำให้ผู้ขับขี่สามารถปรับแต่งผ่านปุ่มหมุนข้างๆคันเกียร์ ที่มีจำนวนมากถึง 7 โหมด สำหรับไฮไลท์จะอยู่ที่โหมด Baja ซึ่งจะทำการเปิดระบบ turbo anti-lag เพื่อรีดสมรรถนะสูงสุดจากเครื่องยนต์ และยังมีโหมด Tow/Haul เพื่อเอาไว้ลากจูงน้ำหนักสูงสุด 4,500 ปอนด์ ซึ่งมากกว่ารุ่นปกติถึง 1,000 ปอนด์ นอกจากนี้ยังมีระบบ Trail Control Trail Turn Assist และ Trail One-Pedal Driving
ระบบช๊อคอัพสุดเทพ RAPTOR High-Performance Off-Road Stability Suspension (HOSS) 4.0 ซึ่งพัฒนาร่วมกับ FOX โดยมาพร้อมกับระบบวาล์วช๊อคอัพปรับได้ FOX 3.1 live valve ที่ทำงานร่วมกับเซนเซอร์ทั้ง 4 ล้อ ในการตรวจวัดสภาพพื้นผิวทาง ทำให้สามารถปรับจูนระบบช่วงล่างได้อย่างแม่นยำ และยังเป็นการเพิ่มระยะการเคลื่อนที่ของล้อหน้าเท่ากับ 13 นิ้ว และ 14 นิ้ว สำหรับล้อหลัง โดยคิดเป็น 60% และ 40% ตามลำดับเมื่อเทียบกับ Bronco รุ่นปกติ มีระยะห่างระหว่างล้อทั้ง 2 ข้างเพิ่มขึ้น 8.6 นิ้ว และระยะต่ำสุดจากพื้นเพิ่มขึ้นถึง 13.1 นิ้ว
รายละเอียดการปรับแต่งเพื่อให้มีประสิทธิภาพการลุยสูงสุด มาพร้อมกับสมรรถนะความเร็วที่ไม่เป็นสองรองใคร เริ่มต้นด้วยแฟรมแชสซีที่มีความแข็งแกร่ง ที่ต้องรองรับการติดตั้งช๊อคอัพชุดใหม่และการขยายมิติความกว้างล้อ ด้านหน้าจะติดตั้งแผ่นป้องกันการกระแทกขนาดใหญ่ เพื่อปกป้องชิ้นส่วนใต้เครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง สำหรับตัวถังห้องโดยสาร มีการเสริมความแข็งแรงด้วย Cross bar ที่เสา B และ เสา C เพื่อเพิ่มความทนทานต่อแรงบิดเฉือนได้มากถึง 50% เมื่อเทียบกับ Bronco รุ่น 4 ประตู ปกติ
Ford Performance เลือกใช้ล้อขนาด 17 นิ้ว ที่มีให้เลือก 2 ดีไซน์ รัดด้วยยาง all-terrain BFGoodrich KO2 ขนาด 37 นิ้ว หรือ 37×12.50R17LT ที่ทาง Ford เคลมว่าเป็นขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดา SUV ตัวลุยที่ขายในทวีปอเมริกา นอกจากนี้ยังได้แร็คพวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฟฟ้า ที่พัฒนาต่อยอดจาก F-150 Raptor
สีภายนอกมีให้เลือกทั้งหมด 10 สี ได้แก่ สีแดง Hot Pepper Red Metallic สีน้ำเงิน Velocity Blue Metallic สีเขียว Eruption Green สีดำ Metallic Shadow Black สีเงิน Iconic Silver Metallic สีเทานม Area 51 สีเทา Cactus Gray สีส้ม Cyber Orange Metallic Tri-Coat สีขาว Oxford White และสีพิเศษจาก Ford Performance สีส้ม Code Orange paint สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสั่งจองได้ตั้งแต่เดือนมีนาคมนี้ โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 69,995 เหรียญสหรัฐ (ไม่รวมค่าขนส่งและภาษีนำเข้าประเทศไทย) และจะพร้อมส่งมอบในช่วงฤดูร้อนของอเมริกาที่จะถึงนี้
ที่มา: Ford