สรุปแล้วว่า Project Titan โปรเจคท์ความหวังครั้งยิ่งใหญ่จาก Apple น่าจะกำลังเดินเข้าสู่จุดที่ผู้คนในวงการต่างกรีด
ร้องด้วยความตกใจกันบ้างละ เพราะเราดันได้ยินข่าวล่าสุดมาว่า Apple กำลังหาสถานที่สำหรับทดสอบรถขับขี่อัตโนมัติ
ของตนกันอยู่ นั่นแสดงว่ารถไฟฟ้าจาก Apple น่าจะใกล้ความจริงเข้าทุกที

Theguardian.com ได้กุมเอกสารรายละเอียดโครงการพัฒนารถไฟฟ้าขับขี่อัตโนมัติ Project Titan เบื้องต้นได้มีการ
พัฒนาที่ซิลิคอน วัลเลย์ และอาจหาสถานที่ขับทดสอบที่กุมความลับมากที่สุดบริเวณอ่าวซานฟรานซิสโก และ
Theguardian.com ยังย้ำอีกว่ารายละเอียดในเอกสารทั้งหมดได้แสดงให้เห็นแล้วว่าโครงการพัฒนารถยนต์ Apple มัน
เดินหน้ารวดเร็วเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด

เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา วิศวกรจาก Apple ได้เข้าร่วมประชุมกลุ่มลับกันที่ GoMentum Station บนเนื้อที่อดีต
ฐานทัพเรือใกล้กับซานฟรานซิสโกซึ่งที่แห่งนี้กำลังจะกลายเป็นพื้นที่กุมความลับในการทดสอบรถยนต์ขับขี่อัตโนมัตินั่นเอง

Theguardian.com ก็ได้เห็นจดหมายขออนุมัติใช้สถานที่ทดสอบนี้ที่ลงนามโดย Frank Fearon วิศวกรประจำ Apple
ด้วยเช่นกัน แต่ฝ่าย Apple ก็ปฏิเสธเรื่องราวดังกล่าวไป

GoMentum Station คืออะไร มันคือสถานที่ที่ประยุกต์จากสถานีอาวุธนาวิกโยธินเก่าที่ผ่านศึกสงครามโลกครั้งที่ 2
มาแล้ว ตั้งอยู่ห่างจากเมืองและไฮเวย์ราว 20 ไมล์ อดีตฐานทัพแห่งนี้ถูกดูแลความปลอดภัยด้วยทหารก็นับเป็นสถานที่
ทดสอบที่มีระบบอำนวยความปลอดภัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกเหมาะสำหรับการทดสอบระบบเชื่อมต่อการขับขี่ระหว่าง
รถยนต์ด้วยกันและการทดสอบระบบขับขี่อัตโนมัติ จน Mercedes-Benz และ Honda ก็สนใจสถานที่ทดสอบนี้เช่นกัน

ระบบรักษาความปลอดภัยอันเข้มงวดของ GoMentum Station ก็ดึงดูดใจ Apple เป็นอย่างมากเนื่องจากวิศวกรนับ
ร้อยชีวิตกำลังง่วงพัฒนารถยนต์ระบบขับขี่อัตโนมัติที่ซันนี่เวลล์ห่างจากออฟฟิซหลักของ Apple เพียงแค่ 4 ไมล์เท่านั้น
จนขณะนี้ก็มีวี่แววว่ารถ Apple ก็ใกล้พัฒนาเสร็จจนพร้อมที่จะวิ่งบนถนนก็ขาดเพียงแค่สถานที่ทดสอบซึ่งกำลังทำ
จดหมายอย่างเป็นเรื่องเป็นราวอยู่

คำพูดของ Jeff Williams รองประธานอาวุโสแห่ง Apple ก็ดันไปปรากฏบนเอกสารที่เผยแพร่เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่าน
มาว่า “นี่เป็นอุปกรณ์เคลื่อนที่ที่ดีที่สุด พวกเขากำลังค้นหาความแตกต่างหลายตลาดจนพวกเขาสามารถสร้างความ
แตกต่างอย่างมากมายได้”

จากกระแสบริษัทสื่อสารสนเทศและพัฒนาเทคโนโลยีอย่าง Google, Uber และอื่น ๆ ต่างทุ่มเงินเพื่อพัฒนารถขับขี่
อัตโนมัติอย่างหนักหน่วงก็ทำให้ Tim Cook ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Apple ต้องหารือกับประธานบริษัทรถในเดือนที่
ผ่านมา

ความเอาจริงเอาจังกับการพัฒนารถไฟฟ้า Apple ก็เริ่มส่งสัญญาณเมื่อ Tim Cook ยังพูดคุยกับผู้บริหาร Fiat-Chrysler
Automobiles และเยี่ยมชมสายการผลิต BMW i3 ที่ประเทศเยอรมนีเมื่อปีที่แล้ว แถมยังควานหาวิศวกรหัวกะทิใน
ซิลิคอนวัลเลย์และยังดึงตัววิศวกรจาก Tesla, Mercedes-Benz รวมถึงว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านแบตเตอรี่จาก A123
Systems, ดึงผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนารถจักรยานยนต์ไฟฟ้าให้มาจอยกับโปรเจคท์สุดยิ่งใหญ่อีกด้วย

Frank Fearon วิศวกรหัวกะทิจาก Apple เขียนจดหมายขอใช้สถานที่ GoMentum Station ด้วยใจความว่า “เรามี
ความหวังที่จะนำเสนอ….บนสนามทดสอบที่มีเลย์เอาท์, รูปภาพและคำอธิบายพื้นที่การใช้งานหลายบริเวณที่ต้องการ
ทดสอบ” ซึ่ง GoMentum Station ก็มีสิ่งก่อสร้างที่เป็นปัจจัยจำลองสถานการณ์การขับขี่จริงได้ ไม่ว่าจะเป็นรางรถไฟ
ข้ามอุโมงค์, ทางไฮเวย์หรือแม้แต่ถนนร่องซี่ถี่เพื่อมิให้วัวเดินข้ามถนน เป็นต้น

Apple ยังเลือกที่จะกุมความลับทางการค้าอย่างถึงที่สุด Apple ขอเลือกที่จะไม่วิ่งบนท้องถนนในแคลิฟอร์เนียเพราะการ
ขอใบอนุญาตวิ่งทดสอบรถยนต์บนถนนสาธารณะ Apple จะต้องเผยรายละเอียดทางเทคนิคและทางการค้าให้แก่เจ้าที่
ด้วย

Randy Iwasaki ผู้อำนวยการบริหารการขนส่ง Contra Costa และเป็นผู้ดูแล GoMentum Station เปิดเผยว่าเขาต้อง
ลงนามสัญญาการไม่เปิดเผยความลับต่อ Apple ดังนั้นเขาไม่สามารถจะบอกอะไรให้กับพวกเราได้นอกจาก Apple กำลัง
สนใจสถานที่แห่งนี้เท่านั้น

GoMentum Station มีความน่าสนใจสำหรับการทดสอบรถขับขี่อัตโนมัติเป็นอย่างมากจน Honda ได้จ่ายเงินทำ
สัญญา 250,000 ดอลลาร์สำหรับเช่าสถานที่ทดสอบแห่งนี้สำหรับการทดสอบ Honda Acura RLX ที่ติดตั้งระบบขับขี่
อัตโนมัติและระบบเชื่อมต่อสื่อสารกับรถยนต์คันอื่นบนสถานที่แห่งนี้

อย่างไรก็ตามสถานที่ที่เต็มไปด้วยระบบรักษาความปลอดภัยเต็มขั้นเช่นนี้ก็ทำให้ผู้จัดการ Tesla หงุดหงิดใจที่จะต้องเผย
หมายเลขบัตรประกันสังคมซึ่งมีการเผยข้อความในอีเมล์ที่ส่งไปหา Jack Hall ผู้อำนวยการ GoMentum Station ว่า
Tesla จะสนใจสถานที่ทดสอบแห่งนี้หากยกเลิกกระบวนการรักษาความปลอดภัยอันจุกจิกเช่นนี้ไป

GoMentum Station อาจจะไม่เหมาะสำหรับบางคน แต่มันเหมาะมากสำหรับ Apple เพราะการกุมความลับให้อยู่หมัด
ก็เหมือนกุมชะตาชีวิตในอนาคตของ Apple นั่นเอง

ที่มา : TheGuardian