ในช่วงเวลานี้ กิจกรรมประเภทหนึ่งที่ดูจะได้รับความนิยมมากจากที่สังเกตตามหน้า Feed ใน Social Media ต่างๆก็คือสเก็ตบอร์ด

เปล่า ผมไม่ได้กำลังจะบอกว่าผมจะชวนคุณเล่น อันที่จริง ครั้งสุดท้ายที่ผมเอาเท้าเหยียบไอ้กระดานมีล้อนี้คือปี 1998 ตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนอยู่ Kansas ซึ่งเพื่อนชาวแอฟริกัน-อเมริกันพยายามสอนให้ผมเล่น แล้วผมเหยียบไม่เป็นเลยลื่นหงายหลังเอาแขนไปฟาดโดนถาดอาหารของสาวมะกัน แล้วก็ดีดส่งเอา Taco และเครื่องดื่มในถาดนั้นบินข้ามไปลงอาหารของเด็กรุ่นน้องอีกโต๊ะ..ซจก ย่อมาจากซวยจังกู ผมต้องซื้ออาหารให้คนเหล่านั้นใหม่หมดน่าจะ 15 ดอลลาร์ ซึ่งในสมัยนั้น 1 ดอลลาร์เท่ากับ 58 บาท แล้วยังโดนเด็กเอาสเก็ตบอร์ดมาฟลิปล้อเลียนต่ออีกเกือบเดือน

ผมกำลังจะพูดถึงเทรนด์ล่าสุดที่สเก็ตบอร์ดกลายเป็นเทรนด์สำหรับคนที่รักสุขภาพ ไม่ใช่ลีลาผาดโผนชวนหยุดหายใจแบบ Tony Hawk แต่เป็นการเล่นท่าต่างๆเพื่อการฝึกกล้ามเนื้อกระชับส่วนต่างๆของร่างกาย จากเดิมเราจะเห็นแต่วัยรุ่นแต่งตัวฮิพๆฟลิปบอร์ดปะล่งปะลั่ง ตอนนี้กลายเป็นว่าสาวๆวัยทำงาน ไม่ว่าจะอายุขึ้นต้นด้วยเลข 2 หรือ 3 ให้เพื่อนถ่ายตัวเองเล่นบอร์ดลงสตอรี่ให้ผมแอบดูแล้วยิ้ม..มันมีเสน่ห์อย่างประหลาด

ผมมองเห็นบางอย่างใน Swift ที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของมัน และพาให้ผมนึกถึงเทรนด์สเก็ตบอร์ดเพื่อสุขภาพ เมื่อสาวใดก้าวขึ้นสเก็ตบอร์ดและไถไป กับเมื่อสาวใดก้าวขึ้น Swift แล้วขับผ่านไป ความเหมือนของเจ้าสิ่งมีล้อสองสิ่งนี้ก็คือ มันทำให้สาวในรถดูอ่อนวัยลงโดยอัตโนมัติ มันคือสิ่งที่แสดงออกซึ่งความคล่องแคล่ว ทะมัดทะแมง และให้ความรู้สึกเหมือนกลับไปอายุ 18 อีกครั้ง ทั้งสเก็ตบอร์ดและ Swift สามารถซิกแซกซ้ายขวาในถิ่นแล่นของมันได้อย่างว่องไว แต่ผมคงไม่ขอแนะนำให้คุณ Flip เจ้า Swift เล่นเพราะถ้าคว่ำแล้วมันพลิกคืนยากนะครับ

ในวงการอีโคคาร์ยุคแรกๆ Swift คือตัวเลือกยืนหนึ่งสำหรับคนที่ต้องการรถเล็ก ประหยัดน้ำมัน ที่มีดีไซน์ไม่น่าเบื่อ รถเจนเนอเรชั่นที่แล้วคือสิ่งที่ทำให้รถเก๋งขนาดเล็กจาก Suzuki กลับมาวิ่งเต็มถนนอีกครั้ง ด้วยสมรรถนะที่สมราคา ช่วงล่างและพวงมาลัยที่เป็นเลิศในสมัยมันเปิดตัวใหม่ๆ และดีไซน์ ซึ่งทีมออกแบบของ Suzuki ส่งพวกเขาไปอาศัยอยู่ในอิตาลี เพื่อซึมซับวิธีคิด วัฒนธรรมในรูปลักษณ์ มาประยุกต์เป็นรถขนาดเล็กที่สามารถรวมความเป็นญี่ปุ่นกับอิตาเลียนได้อย่างลงตัว เป็นสิ่งที่ทำให้หลายคนใช้แล้วก็ยังไม่เปลี่ยนคัน แม้ว่าแผ่นรองคาลิเปอร์จะดังกราวขนาดไหน เกียร์อาจจะพังเคลมไปแล้ว หรือหอนหนักเท่าไหร่ก็ตามที

แต่เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งต่างๆก็เปลี่ยนแปลงตาม และบางครั้งคู่แข่งทางด้านยอดขายก็อาจมาจากคนละเวที ในกรณีนี้คือรถที่เคยเป็นระดับ B-Segment เครื่อง 1.5 ลิตร พอเปลี่ยนตัวถังใหม่ก็ปรับเครื่องยนต์และตัวรถให้เป็นไปตามเงื่อนไข Eco Car Phase 2 อาทิ Mazda 2 1.3 เบนซินและ 1.5 ดีเซลเทอร์โบ และล่าสุดก็คือ Honda City Hatchback ซึ่งมาทีหลังแล้วปังสุดในด้านยอดขาย ณ ปัจจุบันเมื่อเทียบในกลุ่มรถแฮทช์แบ็คท้ายตัดขนาดเล็ก

Swift เจนเนอเรชั่นปัจจุบันเปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2018 และสามารถสร้างยอดขายในระดับที่ผมมองว่าน่าพอใจแล้วสำหรับรถที่ไม่ใช่แบรนด์หลัก ตัวเลขยอดขายของปี 2020 นั้นถ้าเราเอา Honda Jazz (ซึ่งไม่ใช่อีโคคาร์ แต่คนทั่วไปที่ไม่สนเรื่องเซกเมนต์รถจะมองตามราคาและรูปแบบรถเป็นหลัก) เข้ามาวัดยอดด้วย ก็พบว่า Swift ทำยอดขายรวมทั้งปีได้เป็นอันดับสาม คือ 10,320 คัน ในขณะที่ Jazz ทำได้ประมาณ 15,000 คัน ส่วน Yaris Hatchback นั้นกวาดไปประมาณ 26,000 คัน ในขณะที่ Mazda 2 ทำได้ประมาณ 7,300 คัน ..เรียกได้ว่าถ้านับเฉพาะอีโคคาร์แล้วก็เท่ากับว่า Swift คืออันดับสองเลยทีเดียว

แต่การมาของผู้เล่นรายใหม่ในเซกเมนต์ตูดตัดอย่าง Honda City Hatchback นี่ล่ะที่ค่อนข้างกระทบพอสมควร เพราะแม้รุ่นท้อปจะมีราคาทะลุ 7 แสนไปไกล ทาง Honda ก็ยังวางหมากราคารุ่น S+ และ SV เอาไว้ยั่วคนที่กำลังจะซื้ออีโคคาร์ 1.2 ลิตร และด้วยขนาดตัวรถที่โตกว่ากันชัดเจน เครื่องยนต์ที่มีพลังสูงจนแทบจะฆ่ารถ 1.8 ลิตร ทำให้กลายเป็น No.1 ด้านยอดขายไปโดยปริยาย

ดังนั้น เมื่อถึงคราว Suzuki ทำการ Minorchange ให้กับ Swift หลายคนจึงคาดหวังว่าจะมีการนำขุมพลัง BoosterJet เทอร์โบ 1.0 ลิตร 110 แรงม้ามาจำหน่าย แล้วก็ผิดหวังไปตามๆกัน แต่เรื่องนี้ผมพอคาดได้อยู่แล้วว่า Suzuki คงไม่ทำ ถึงทำก็ไม่สามารถทำให้ทันในเจนเนอเรชั่นนี้สำหรับตลาดประเทศไทยได้ และในความจริงเมื่อผู้สื่อข่าวรุ่นน้าลองถามผู้บริหารว่า “ไม่เอาเทอร์โบเข้ามาหน่อยเหรอ” ก็ได้รับคำตอบว่า “ไม่..ไม่ใช่เพราะเรามองข้ามความแรง อันที่จริงความแรงก็เป็นสิ่งที่ดี ไม่งั้นเราคงไม่พยายามทำ Swift ใหม่ให้เร่งได้เร็วขึ้นจริงมั้ย? แต่ความแรงมันก็มากับความแพงด้วยเช่นกัน ถ้าเราใส่เครื่องเทอร์โบ ราคารถก็ต้องเพิ่ม แล้วไม่ได้เพิ่มแค่สองสามหมื่นแน่ๆ ในเมื่อลูกค้าที่เราโฟกัส คือวัยเริ่มทำงานที่เพิ่งจะมีรถคันแรก เราก็น่าจะเน้นเรื่องทำให้ราคามันเอื้อมถึงง่าย ทำให้รถมันง่ายต่อการบำรุงรักษามากกว่า”

ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงโห่อ่ะครับ อะไรก็ตามที่ไม่สนับสนุนความแรงผมหันหน้าหนีหมด แต่ตอนนี้พอแก่ตัวลงแล้วต้องคิดมากขึ้นว่า ไม่ใช่ทุกคนในโลกจะใส่ใจกับอัตราเร่ง ตราบใดที่มันไม่ได้อืดเกินไป และ การเปลี่ยนแปลงทางจักรกลที่ใช้งบลงทุนมหาศาลนั้น ในชีวิตจริงมันเสกไม่ได้ครับ ในชีวิตจริง บริษัทแม่จะถามคุณก่อนเลยว่า ถ้าเปลี่ยนแล้ว ยอดขายจะเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ การโม้ตัวเลขเป็นเรื่องง่ายตอนทำ แต่ยากโคตรตอนที่ต้องทำยอดขายจริงให้ได้ตามพูด พวกเราที่ไม่ใช่คนแบกรับภาระนั้นเอง ยุได้ เชียร์ได้ แต่บางทีการเชียร์ให้ใครโดดบันจี้จัมพ์ กับการกระโดดเอง มันใช้ความกล้าคนละแบบกัน

ดังนั้น ผมไม่บ่นเรื่องการไม่มีเทอร์โบก็ได้ แต่เมื่อมาเห็นรถคันจริงเวอร์ชั่น Minorchange เปิดตัวในเมืองไทย เดือนกุมภาพันธ์ 2021 ก็รู้สึกว่า Suzuki น่าจะให้การตอบแทนคนที่อุตส่าห์รอซื้อให้มันมากกว่านี้สักหน่อย ทำไมน่ะหรือ ผมลองสรุปให้ฟังสั้นๆนะครับ

  • กระจังหน้าลายใหม่ ส่วนที่เป็นลายตาข่ายกินบริเวณลงมาถึงรอบๆป้ายทะเบียน เอาแถบสีแดงออกเปลี่ยนเป็นโครเมียม
  • ล้ออัลลอยลายเดิม เพิ่มปัดเงา
  • ตัดรุ่นย่อยเหลือแค่ GL กับ GLX และจัดสรรอุปกรณ์ใหม่ให้รุ่น GL มีของเล่นมากขึ้น
  • รุ่น GLX ได้จอกลางโตขึ้น รองรับ Apple CarPlay/Android Auto
  • เพิ่มกล้องมองหลังในรุ่น GLX
  • เปลี่ยนวัสดุตกแต่งห้องโดยสารจากสีขาวเป็นสีเงิน ในรุ่น GLX

หมดแล้วครับ ความเปลี่ยนแปลงรอบคันที่ถ้าไม่เพ่งจริงๆก็ไม่รู้ว่าเปลี่ยนตรงไหน ซึ่งในความเห็นผม อย่างน้อยเปลี่ยนทรงกันชนใหม่ให้ดึงความเซ็กซี่แบบอิตาเลียนของ Swift เจนเนอเรชั่นก่อนกลับมา แล้วก็มีล้อลายที่ดูทันสมัยกว่านี้หน่อยก็น่าจะดี ส่วนองค์ประกอบอื่นๆเดี๋ยวจะทยอยพูดถึงในแต่ละหัวข้อ

รถทดสอบของผมในคราวนี้ เป็นรุ่น 1.2 GLX ราคา 629,000 บาท เท่ารุ่นก่อน Minorchange เป๊ะ ..นั่นอาจจะเป็นจุดหนึ่งที่พอให้อภัยได้ในความเปลี่ยนแปลงอันน้อยนิด ทาง Suzuki จัดรถทดสอบของผมมาให้เป็นสีเงิน แต่ในบทความนี้ผมขอใช้รูปของรถสีน้ำเงินแทนด้วยเหตุผลส่วนตัวว่าสีน้ำเงินมันดูวัยรุ่นกว่าครับ

Swift Minorchange รุ่น 1.2 GLX มีขนาดมิติตัวถังเกือบจะเท่าเดิมทุกมิติ โดยมีความยาว 3,845 มิลลิเมตร กว้าง 1,735 มิลลิเมตรเท่าเดิม สำหรับความสูง 1,495 มิลลิเมตรและระยะฐานล้อ 2,450 มิลลิเมตรนั้นก็เท่าเดิมเช่นกัน ระยะความกว้างช่วงล้อ (Track) หน้า/หลัง อยู่ที่ 1,530 และ 1,525 มิลลิเมตร ความสูงใต้ท้องรถ 120 มิลลิเมตร ถังน้ำมันขนาด 37 ลิตร และน้ำหนักตัวรถเบาหวิวแค่ 910 กิโลกรัม   นี่ถ้าไม่นับ Mitsubishi Mirage กับ Suzuki Celerio แล้ว Swift น่าจะเป็นอีโคคาร์สายเบาตัวจริง เพราะรถรุ่นอื่นๆขณะนี้ทะลุ 1 ตันกันไปหมดแล้ว ส่วนอีโครุ่นเดอะอย่าง City Hatchback ก็ปาเข้าไป 1.16 ตัน ตามขนาดตัวรถ

รุ่น GLX ได้ไฟหน้า LED Projector สามารถปรับองศาการฉายแสงได้ด้วยสวิตช์บนแดชบอร์ด มีปัดน้ำฝน/ไล่ฝ้าด้านหลังมาให้ จุดเด่นอีกอย่างคือ ถ้านับเฉพาะรถที่ค่าตัวไม่ข้าม 7 แสนในเซกเมนต์นี้ Swift GLX เป็นรุ่นเดียวที่ได้ล้ออัลลอยขอบ 16 นิ้วเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

กุญแจแบบ Smart Key และปุ่ม Push Start บัดนี้มีให้ทั้งในรุ่น GL และ GLX แล้ว

เบาะนั่งทั้งหน้าและหลังยังเหมือนเดิม เวลานั่งจะรู้สึกว่าเบาะยู่ตัวเยอะตามสไตล์ Suzuki ที่เป็นมาในเกือบทุกรุ่น ฝั่งคนขับสามารถปรับสูงต่ำแบบยกทั้งตัวได้ พนักพิงหลังดูสปอร์ต แต่ความนุ่มของปีกเบาะทำให้เวลานั่งจริงๆมันก็คือเบาะรถเก๋ง ไม่ได้ฟีลแบบรถสปอร์ตอย่างที่ภาพจะทำให้คุณรู้สึก พนักพิงศีรษะจัดทรงมาในแนวที่ไม่ดันหัวมากนักและมีรูปทรงรับศีรษะได้ค่อนข้างดี นับว่าสบายดีทีเดียว เข็มขัดนิรภัยคู่หน้า ปรับระดับสูง/ต่ำได้ ส่วนพวงมาลัยนั้นสามารถปรับได้ 4 ทิศในรุ่น GLX สิ่งเหล่านี้ รวมกับการออกแบบกระจกหน้าไม่ลาดมากนัก บวกกับประตูขนาดใหญ่ ทำให้ Swift เป็นรถเล็กที่คนตัวใหญ่สามารถลุกเข้าออกได้ไม่เจ็บเข่า อีกทั้งยังสามารถปรับส่วนต่างๆรองรับตำแหน่งการขับขี่ได้ถนัด เวลานั่งแล้วมองเห็นทัศนะวิสัยข้างหน้าชัดเจน ยกเว้นเสา A-Pillar ที่บังแนวการมองเวลาเลี้ยวอยู่

เบาะหลัง..จะเรียกว่าสบายก็คงไม่ใช่ ถึงแม้ว่าตำแหน่งเบาะ และเนื้อที่เหนือศีรษะจะมีมากกว่า Swift รุ่นเดิม และแน่นอนว่าสามารถรองรับคนตัวใหญ่ได้ดีกว่า Mazda 2 Hatchback ทว่า ถ้าเทียบกับ Yaris และ City ที่มีขนาดตัวรถยาวและโตกว่า ก็สู้เขาไม่ได้ Swift จึงเป็นรถที่เหมาะกับชีวิตสาวโสด หรือคนที่ไม่โสดแล้ว แต่มักนั่งสองคน เพราที่นั่งด้านหลังนั้นเหมาะสำหรับคนตัวเล็กหุ่นดีที่ยังไม่รู้จักการปวดหลังยามตื่นนอนจะดีกว่า หรือถ้าให้คนตัวสูงใหญ่นั่ง ก็ควรเป็นการโดยสารระยะใกล้ๆ เพราะพนักพิงหลังนั้นเตี้ย ไม่ค่อยรับรูปหลังกับคนตัวสูงเท่าไหร่ ถ้าเป็นเด็กประถมค่อยว่าไปอย่าง

พื้นที่เก็บของด้านท้าย มีขนาดแค่ 265 ลิตร ถือว่าเล็กตาม Concept การพัฒนารถ ที่ไม่ได้โฟกัสการเป็น “People Mover” คนใหญ่ ของเยอะ เพราะถ้าใครต้องการรถแบบนั้น Ciaz น่าจะเหมาะกว่า สำหรับการเดินทางแบบเพื่อนสาวพาเที่ยวสองคน หรือคู่รักเพิ่งจีบกันใหม่ๆ แบบนั้นจะโอเคเพราะมีที่ใส่สัมภาระได้พอสำหรับจำนวนคน และถ้าต้องซื้อของยาวๆฝากใคร ก็สามารถแยกพับเบาะหลัง 60/40 ได้ และยังให้ที่ปิดสัมภาระมาอย่างเรียบร้อย

พูดถึงยางอะไหล่.. Swift Minorchange นี้ ไม่มียางอะไหล่มาให้ มีแต่ชุดซ่อมปะยางฉุกเฉิน ซึ่งทาง Suzuki มองว่าลูกค้าผู้หญิงเวลาเดินทางคนเดียวแล้วยางรั่ว คงไม่อยากมาขึ้นแม่แรงถอดใส่ยางกลางถนนกันหรอก ให้ชุดปะยางไปน่ะพอ แต่ส่วนตัวผมมองว่าชุดซ่อมปะยางมันใช้ได้ในกรณีที่ยางรั่วเป็นรูขนาดเล็กเท่านั้น ถ้าหากแก้มยางฉีก หรือรั่วแล้วเผลอขับบดยางจนแก้มยางเสียหาย ชุดซ่อมปะยางมันช่วยไม่ได้น่ะสิครับ

บรรยากาศภายใน ถ้าไม่เอารูปรุ่นก่อน Minorchange มาแปะ บางคนอาจจะมองอยู่นานกว่าจะแยกออก ก็จะเฉลยให้ว่าจุดที่เปลี่ยนคือชุดจอกลางทัชสกรีน และวัสดุตกแต่งบนแดชบอร์ดกับแผงประตู ที่เปลี่ยนจากสีขาวลายลูกกอล์ฟ เป็นสีเงิน ซึ่งดูแล้วธรรมดา แต่ไม่เลอะรอยนิ้วมือง่ายแบบพวกพื้นผิวสีดำขัดเงา

ดีไซน์ของแดชบอร์ดมีความทันสมัยแบบวัยรุ่น มีลูกเล่นพอสมควร ถึงแม้ว่าผมจะไม่ใช่แฟนของช่องแอร์กลมๆเท่าไหร่นัก วัสดุที่ใช้ในห้องโดยสาร ไม่ได้มีอะไรเกินมาตรฐาน ซึ่งในเซกเมนต์นี้ เจ้าที่ทำห้องโดยสารมาดูดีคือ Mazda แต่โลกก็ถ่วงสมดุลย์ด้วยความคับแคบของพื้นที่ซึ่ง Swift ได้เปรียบกว่า ในแผงบังแดด มีกระจกแต่งหน้ามาให้ทั้ง 2 ฝั่ง (City Hatchback S+ กับ SV จะมีกระจกเฉพาะฝั่งคนขับ) เครื่องปรับอากาศเป็นแบบอัตโนมัติ มีฮีทเตอร์มาให้ (ถ้าผมไม่ความจำเสื่อม Yaris และ City Hatchback มีแอร์ออโต้ แต่ไม่มีฮีทเตอร์) ใช้งานง่ายและออกแบบสวิตช์มาได้ดูดี และในรุ่น GLX มี Cruise Control มาให้

สำหรับการวางตำแหน่งสวิตช์ควบคุมต่างๆ ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิม ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ ปุ่มระบบรักษาการทรงตัว ปุ่ม Auto Start/Stop และลูกบิดปรับองศาการส่องไฟหน้า จะอยู่ฝั่งขวามือ วงพวงมาลัยแบบท้ายตัด D-Shape ซึ่งมีขนาดกำลังเหมาะ ช่วยให้ลุกออกจากรถได้ง่าย และยังสาวพวงมาลัยเร็วๆแล้วถนัดมือ น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของรถที่มีความคล้ายรถสปอร์ต ส่วนฝั่งซ้าย สวิตช์ไฟฉุกเฉินขนาดค่อนข้างเล็ก แต่ยังดีว่าอยู่ในตำแหน่งที่หาได้ง่าย ส่วนด้านล่าง ก็มีช่องเสียบ USB และช่องต่อ Power Outlet มาให้อย่างละหนึ่ง

ส่วนที่เป็นข้อเสีย และยังไม่ได้รับการแก้ไขก็คือกระจกไฟฟ้า ซึ่งด้านคนขับยังเป็นแบบ One-touch เฉพาะขาลงเช่นเดิม ซึ่งขอให้เจนเนอเรชั่นนี้ เป็นเจนเนอเรชั่นสุดท้ายที่ต้องมาบ่นเรื่องนี้กันเถอะครับ โลกเขาหมุนไปไกลแล้ว ใส่ One-touch แบบครบๆมาให้ เวลาเปิดกระจกรับบัตรจอดเข้าห้างจะได้กดทีเดียวแล้วเอามือไปกุมพวงมาลัยต่อ

มาถึงจุดที่เป็นของใหม่กันบ้าง จอกลางชุดใหม่ ขยายขนาดจาก 7 เป็น 8 นิ้ว ทัชสกรีน พร้อมรองรับ Apple CarPlay และ Android Auto ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ไม่จำเป็นต้องใส่จอประเภทฝังระบบนำทาง คุณสามารถต่อสมาร์ทโฟนแล้วใช้ระบบนำทางที่อัปเดตเป็นปัจจุบันมากกว่า และมีลูกเล่นมากกว่าระบบนำทางติดรถมาก พอมีเจ้านี่ปุ๊บ ทาง Suzuki ก็เลยไม่ต้องทำรุ่นย่อย GLX Navi ขายอีก คุณภาพเสียงเวลาเล่นไฟล์เพลงจาก USB ไม่ต่างจากเดิมมากนัก อาจเป็นเพราะลำโพงที่ใช้ยังเป็น 4 ลำโพงหลัก+ 2 ทวีตเตอร์ชุดเดิมอยู่ ผมไม่มีปัญหากับเครื่องเสียงชุดนี้ครับ สำหรับรถราคาขนาดนี้ ให้แบบนี้ ถือว่าสมเหตุผล คุณภาพเสียงที่ได้ ก็สามารถใช้ฟังเพลงประเภท Pop หรือ Jazz ที่ผมชอบได้ชนิดที่ผมคงไม่เดือดร้อนไปเสริมอะไรเพิ่ม

สิ่งที่เพิ่มมาให้อีกอย่างคือกล้องมองหลัง ถึงแม้เส้นกะระยะบนจอจะไม่ได้บิดตามการเลี้ยวของพวงมาลัย และความละเอียดของภาพก็ตามราคารถ แต่ก็ยังดีที่ Suzuki รับทราบในสิ่งที่ผู้บริโภคอยากได้แล้วก็นำมาใส่เพิ่มให้ โดยที่ไม่ได้ตัดอะไรออกจากรถรุ่นเดิม แล้วก็ไม่ได้เพิ่มราคาขายของรถด้วย

ส่วนชุดแผงมาตรวัด เหมือนของเดิมเด๊ะ ซึ่งแม้จอ MID ตรงกลางยังไม่ใช่จอสีแบบ Yaris รุ่นท้อป แต่ถ้าคุณลองเทียบกับรถท้ายตัดรุ่นอื่นๆ หน้าปัดของ Swift ถือว่าดีได้ด้วยการออกแบบตามพื้นฐานที่ควรเป็น คือมีสีหลักเป็น Background ดำ ไฟสีขาว และแดง ซึ่งก็เหมือนกับหน้าปัดของ City แต่ลองมองแบบผ่านๆชำเลืองดู Font ตัวเลขของ Suzuki จะอ่านค่าได้ง่ายกว่า แล้วยังมีเข็มแสดงน้ำมันในถัง และเข็มวัดอุณหภูมิเครื่องมาให้ ซึ่งของที่สำคัญแบบนี้ ถ้าทำเป็นเข็ม เวลามองผ่านๆจะสังเกตได้ง่ายกว่าไฟเป็นเม็ดๆแบบของ Honda มันอาจไม่ใช่หน้าปัดที่ว้าวในด้านลูกเล่น แต่ถ้าคุณเป็นสายขับตัวจริง มันคือแบบที่จะเข้ากับคุณได้ดีที่สุด

ข้อมูลในจอ MID ก็ดึงมาจากการคำนวณของกล่อง ECU ไม่ว่าจะเป็นอัตราสิ้นเปลือง, ระยะทางที่วิ่งได้ด้วยน้ำมันที่เหลือในถัง, ความเร็วเฉลี่ย, ระยะเวลาในการขับขี่ หรือระยะเวลาที่ใช้ Idle Stop ไม่มีอะไรแปลกใหม่ในกอไผ่แต่ก็สมกับตัวรถและราคา เรือนหน้าปัดขนาบข้างด้วยก้านยาวๆ ทั้งสองฝั่ง ฝั่งซ้ายเอาไว้จัดการกับ Trip/Odometer ส่วนฝั่งขวา เล่นกับการแสดงข้อมูลเมื่อกด หรือหมุนเพื่อปรับความสว่างของหน้าปัด

ทุกอย่างที่พูดไป ส่วนมากก็เหมือนเดิม..รวมถึงไฟส่องสว่างในห้องโดยสาร ซึ่งมีแค่ตอนหน้า ไม่มีไฟกลางเก๋งมาให้ ดังนั้นถ้าตอนกลางคืนอยากจะส่องหาอะไรที่เบาะหลัง ก็เพิ่งไฟฉายมือถือเอานะครับ

****รายละเอียดทางวิศวกรรม****

พลังขับเคลื่อนของ Swift Minorchange ยังคงเป็นรหัส K12M เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,197 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 73.0 x 71.5 มิลลิเมตร กำลังอัด 11.5 : 1 ให้กำลังสูงสุด 83แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด  108 นิวตัน-เมตร (11.00 กก.-ม.) ที่ 4,400 รอบ/นาที รองรับน้ำมันเชื้อเพลิง E20 และปล่อย CO2 แค่เพียง 100 กรัม/กิโลเมตร ผ่านเกณฑ์ ECO Car Phase 2 ได้พอดิบพอดี

เครื่องยนต์ DualJet นี้ นอกจากจะมีระบบแปรผันองศาแท่งเพลาลูกเบี้ยว VVT แล้ว ยังใช้หัวฉีดแบบ 2 หัวต่อ 1 สูบ ซึ่งการใช้หัวฉีดรูเล็ก 2 ตัว แทนหัวฉีดใหญ่นั้น มีข้อดีคือ สามารถฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นสเปรย์ได้ฝอยละเอียดกว่า เผาไหม้หมดจด แล้วพอรอบสูงที่ต้องการน้ำมันจำนวนมากขึ้น ก็ไม่ต้องห่วง เพราะสองหัวเล็กก็จ่ายได้พอเท่า 1 หัวใหญ่

ในทางเทคนิค อาจดูแล้วไม่เห็นพัฒนาการอะไรมาก แต่ในฐานะคนที่มีพี่สาวใช้ Swift ECO 2012 อยู่ ผมบอกได้เลยว่า เครื่องยนต์ K12B ในรุ่นนั้น จะทำงานเหมือนเครื่องที่เซ็ตมาในสเป็คปกติ แล้วถูกนำมาพยายามรีดลดมลภาวะในภายหลังเพื่อให้ได้มาตรฐานอีโคคาร์ของไทย ทำให้การทำงานโดยเฉพาะช่วงรอบเดินเบามีอาการสั่น รอบตก จนต้องอัพเฟิร์มแวร์กันไปยกใหญ่ แต่ K12M นี้ เป็นเครื่องที่รู้เป้าหมายในชีวิตมันอยู่แล้ว และถูกพัฒนาจากเมืองแม่ให้พ่น CO2 น้อยแบบนี้โดยที่การทำงานของเครื่องราบเรียบกว่า

ระบบส่งกำลัง มาจากบ้านเพื่อนเก่าอย่าง JATCO  เป็นเกียร์ CVT ลูกหลักเกือบเหมือนเดิมตั้งแต่สมัย Swift ECO 2012 แล้ว แต่ได้รับการปรับปรุงเปลี่ยนชิ้นส่วนหลายส่วน ที่เคยสร้างปัญหาน่าปวดหัวใน Swift รุ่นที่แล้วออกไปและปรับจูนการทำงานใหม่ให้เข้ากับเครื่องยนต์ และน้ำหนักตัวรถ เซ็ตอัตราทดพูลเลย์เอาไว้เป็นหนังสติ๊กยืดๆหดๆ ตั้งแต่ 4.006-0.550 : 1 เกียร์ถอยหลัง 3.771 และอัตราทดเฟืองท้าย 3.757

ไม่มีลูกเล่นเสริมอย่าง Paddle Shift มาให้กดเล่น แต่มีปุ่ม SPORT MODE ที่หัวเกียร์ และในกรณีที่ต้องขับลงเขา ยังสามารถดึงลงมาเกียร์ L ได้ มีปุ่มปลด Shift Lock ทางซ้ายของคันเกียร์ เอาไว้ปลดมาเกียร์ว่างเพื่อให้จอดปิดตูดชาวบ้านแล้วคนอื่นเขาสามารถเข็นได้ ไม่ต้องเขียนเบอร์ไปแปะหน้ารถให้คนเห็นแล้วโทรมาจีบเสียเปล่าๆ (แต่ถ้ารถมันเข้า N จอดไม่ได้ ก็เขียนหน่อยเถอะ อย่าให้ความเป็นส่วนตัวของเราไปเบียดเบียนชีวิตคนอื่น)

โครงสร้างตัวถัง TECT กับแพลทฟอร์ม HEARTECT คือหัวใจที่สร้างคุณภาพการขับขี่ของ Swift เจนเนอเรชั่นนี้ ไม่เพียงแต่การพยายามลดน้ำหนักส่วนที่ไม่จำเป็น แต่ยังคำนึงถึงความแข็งแรงของโครงสร้างด้วยการเพิ่มอัตราส่วนของเหล็กกล้าทนแรงสูง และปรับเปลี่ยนดีไซน์ของคานที่เป็นส่วนสำคัญ คานต่างๆที่อยู่ถูกจุด และออกแบบจุดเชื่อมให้แข็งแรงขึ้น ทำให้ความทนทานต่อแรงบิดตัวถังเพิ่มขึ้นจากรุ่นเก่า 10% ได้ ในขณะที่น้ำหนักของตัวโครงสร้้างกลับลดลง 15%

ช่วงล่างด้านหน้า เป็นแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัท ออกแบบจุดยึดช่วงล่างให้ลดแรงสะเทือนที่ไม่จำเป็นลงโดยไม่เสียความมั่นใจในการบังคับควบคุม ส่วนด้านหลังเป็นแบบทอร์ชั่นบีม แยกคอยล์สปริงออกจากโช้คอัพ ใช้สปริงขนาดเล็กเพื่อให้ไม่เบียดบังเนื้อที่ในห้องโดยสาร ได้รับการปรับปรุงโช้คอัพและความแข็งของสปริงใหม่เพื่อแก้ปัญหาช่วงล่างยันตึงตังเวลาบรรทุกคนนั่งหลัง ซึ่งพบในรถเจนเนอเรชั่นก่อน

ที่สำคัญ..เหมือนรู้ว่าคนไทยไม่ชอบดรัมเบรกหลัง ในรุ่น GLX นั้นจะได้ดิสก์เบรก 4 ล้อ ส่วน ABS, ESP, Traction Control และระบบช่วยกันรถไหลลงเนิน Hill Hold Control มีมาให้ทั้ง GL และ GLX ..ไอ้ดิสก์ 4 ล้อนี้ เถียงกันให้ตายคงไม่จบ เพราะจริงๆคือรถขับเคลื่อนล้อหน้าน้ำหนักเบาๆนี่ คุณไม่จำเป็นต้องใช้เบรกหลังเป็นดิสก์ก็ได้ถ้าหากเบรกหน้าและผ้าเบรกคุณภาพดีพอ Suzuki สามารถลดต้นทุนตรงนี้ก็กดราคารถลงได้อีก แต่ในเมื่อเขาให้มา ก็ถือว่าเด็ด เพราะมันก็ทำให้ Swift GLX เป็นรถแฮทช์แบ็คราคาไม่ข้าม 700,000 รุ่นเดียวที่มีมาให้

 

*****การทดลองขับ*****

การจัดกิจกรรมทดสอบนี้ เกิดขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงก่อนการระบาดใหญ่ครั้งล่าสุดของ COVID-19 ซึ่งสื่อมวลชนจะคุยกันเองก่อนว่าใครจะขับคู่ใคร ผมก็เลยขอจับคู่กับพี่คิง Kingsley แห่ง thaiautonews.net เพราะรู้ดีว่านอกจากทำงานกับเล่นกับหมาแมวที่บ้านแล้วพี่คิงก็ไม่ค่อยยอมไปไหน ไม่ชอบการไปที่ที่คนจอแจ และทุกครั้งเวลาขับพี่คิงเป็นนักขับตัวจริงที่อ่านอาการรถได้สุดติ่งกระดิ่งกอริลล่าที่สุดคนนึง ใครดูคลิปในช่อง Youtube แล้วเห็นแกขับเรื่อยๆบนถนน ก็ลอง Scroll หาดูที่แกขับในสนามด้วยจะเข้าใจว่า นี่ล่ะระดับปรมาจารย์ ทดสอบรถตั้งแต่สมัยผมยังอยู่มัธยมเลย

ตัวเลขอัตราเร่ง ถ้าอ้างอิงจาก Full Review ที่เราทำไว้ในปี 2018 ก็จะได้ตัวเลข 0-100kmh จบที่ 12.96 วินาที และอัตราเร่งแซงช่วง 80-120kmh  ได้ 10.41 วินาที และถ้ากดปุ่ม S ที่หัวเกียร์ คุณจะสามารถตัดเวลาช่วงเร่งแซงลงได้อีกเหลือประมาณ 9.9 วินาที แต่ไหนๆก็ได้ขับตัว Minorchange แล้ว ผมลองกระทืบดูอีกครั้ง ตัวเลขที่ได้คือประมาณ 14.5 วินาที บางคนอาจจะสงสัยว่าทำไมไม่ได้เท่ารุ่น 2018 ..ก็คาดว่าอุณหภูมิขณะทดสอบต่างกันระหว่างกลางวัน/กลางคืน และน้ำหนักบรรทุกที่ต่างกันประมาณ 60-70 กิโลกรัมอาจจะเป็นเหตุ แต่คอนเฟิร์มว่า ไวกว่ารุ่นเก่าแน่นอน เพราะคันที่บ้านของพี่สาวผม ขนาดผมลองขับคนเดียว ยังปาเข้าไป 15 วิเลยครับ

ถึงแม้เกียร์ CVT ของ JATCO ไม่ได้ขึ้นชื่อเรื่องการตอบสนองเท่าไหร่ แต่วิศวกรก็พยายามปรับจูนการทำงานใหม่จนรู้สึกว่า การส่งกำลังตอนออกตัว ดีขึ้นกว่ารุ่นเดิม และไหลต่อเนื่องขึ้น Swift ขุมพลัง K12M นี้เคยเป็นแชมป์กระโจนออกตัวประจำพิกัดอีโคคาร์เบนซินมาก่อน และทุกวันนี้ ความกระตือรือร้นของมันก็ยังคงน่าประทับใจกว่า Yaris และ Mazda 2 1.3 เบนซิน แรงม้าดูน้อยก็จริง แต่น้ำหนักตัวที่เบากว่าเพื่อนสองรุ่นนี้อยู่ 140 กิโลกรัม มีส่วนช่วยอยู่มาก ทว่าความต่างนี้จะน้อยลงเมื่อเป็นการเร่งแซงในช่วงความเร็วสูงขึ้น ซึ่งตรงนั้นน้ำหนักส่งผลกระทบน้อยลงและแรงม้ามีความจำเป็นมากขึ้น

แต่ถ้านับในยุคปัจจุบันที่มีทางเลือกเทอร์โบใน Honda โผล่เข้ามา ก็ต้องยอมรับว่ามันไม่มีทางที่จะได้เรี่ยวแรงขนาดนั้น เมื่อกระทืบจมและยัดโหมด S วัดฝีเท้ากัน Swift คือรถ 1.2 ลิตรที่ออกตัวไล่รถ 1.5 ไม่มีโบได้ แต่มีอัตราเร่งแซงดีกว่า 1.2 ลิตรทั่วไปนิดหน่อยที่ความเร็วสูง ส่วน City Hatchback เป็นรถที่พร้อมฆ่ารถ 1.8 ลิตร NA ได้ไม่ว่าจะเป็นช่วงออกตัวหรือทำความเร็ว เพียงแต่พฤติกรรมของมันที่รอบต่ำๆคันเร่งกดบางๆมันจะดูเหมือนไม่ค่อยมีแรง

สำหรับการขับขี่ทั่วไป Swift ใหม่ดูจะคล่องตัวด้วยซ้ำ เพราะน้ำหนักตัวช่วยเอาไว้ ถ้ากดคันเร่งไม่เกิน 50% และรอบไม่เกิน 3,000 คุณอาจไม่รู้สึกว่ามันต่างกับ City Turbo มากอย่างที่คิด อย่างตอนที่ผมขับแล้วเข้าเขตตัวเมือง ซึ่งไม่มีที่ให้กดคันเร่งเต็ม ต้องล่องบ้าง เร่ง 40-50% บ้างเพื่อแซงรถที่ขับเหมือนทั้งชีวิตกูไม่เคยวางแผนว่ากูจะเลี้ยวหรือจอดตรงไหน แบบนั้น Swift ใหม่ทำได้ดี และในขณะที่รถรุ่นเก่านั้น ถ้าใส่เกียร์ D แล้วขับแบบนี้ จะรู้สึกเหมือนเกียร์พยายามยัดอัตราทดต่ำตลอด รำคาญจนต้องกดปุ่ม S แต่รุ่นใหม่นั้น..ไม่ต้อง S ก็ได้ แต่ก็ยังเหลือนิสัยรถจอมประหยัดอยู่พอให้รู้สึก

อาการเย่อของเกียร์ที่ความเร็วต่ำ ยังมีปรากฏอยู่บ้าง และจะมากกว่าคู่แข่งที่ใช้เกียร์ JATCO เหมือนกัน แต่ถ้าเทียบกับรุ่นเก่า ก็ถือว่าอาการลดน้อยลง ส่วนเสียงเกียร์หอน ตอนเครื่องเย็นจะไม่ค่อยชัด แต่หลังจากซัดทางยาวมาหนักๆแล้วขับเข้าเมือง เสียงก็จะเริ่มมา เหมือนกับว่าตราบใดที่ JATCO ยังขายเกียร์รุ่นนี้กินอยู่ เราก็ต้องอยู่กับมันไปอย่างนั้น แต่ถ้าให้พูดแบบแฟร์ๆ เกียร์ CVT ของ Subaru XV ก็มีนิสัยคล้ายกันและอาการเย่อบางช่วงก็รู้สึกได้มากกว่า Swift ด้วยซ้ำ

ส่วนตัวแล้ว ผมรับได้ เพราะผ่าน Swift เจนเนอเรชั่นก่อนมาแล้ว พอมาเจอรุ่นนี้เลยรู้สึกไม่แย่ แต่สำหรับคนที่เคยขับรถญี่ปุ่นยุค 90s เกียร์อัตโนมัติ 4 สปีดมาก่อนและไม่เคยแตะรถ CVT เลย ผมแนะนำนะครับ ว่าไปที่ผู้แทนจำหน่ายเขา แล้วขอลองขับก่อนว่าคุณโอเคกับอาการนี้ เพราะเท่าที่เจอมา พอผมพูดว่าปกติ ก็มีคนบอกว่าไม่จริงอ่ะ เย่อแรงออก พอผมบอกว่าเย่อแรง ก็มีคนบอกว่าเย่อแค่นี้ไม่ตายหรอก ผมจนปัญญาครับ

ช่วงล่างของ Swift Minorchange ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆจากรุ่น 2018 นิสัยของรถยังมีลักษณะตกทอดจากรุ่น 2012 อยู่บ้าง มันไม่ใช่รถที่ที่โช้คอัพแข็งโดยนิสัย เรียกได้ว่าถ้าถนนไม่แย่จริง ออกจะนุ่มเสียด้วยซ้ำถ้าบนรถไม่มีน้ำหนักบรรทุกเยอะ แต่พอเริ่มใส่ของไปข้างหลัง อาการเวลาผ่านเนินลูกระนาดใหญ่ๆจะเปลี่ยน มีความตึงตังขึ้น ถ้าสมมติว่ามีน้ำหนักลงคานหลังสัก 150 กิโลกรัม เวลาจัมพ์สะพานมอเตอร์เวย์เร็วๆนี่จะได้ยินเสียงโช้คยันตึงได้เลย ซึ่งอาการนี้ รุ่นเก่าก็มีครับ รุ่นใหม่ดีขึ้น แต่ยังไม่หายขาด

แต่สิ่งที่ทำให้เห็นว่าวิศวกรใช้เวลากับการพัฒนาแพลทฟอร์มขนาดไหน มันจะมาให้เห็นตอนโยนโค้งแบบตามภูเขานี่ล่ะครับ คุณลองคิดดูนะ ช่วงล่างก็ไม่ได้แข็งกว่า Mazda หรือ Yaris กดดูก็ยวบกว่า หน้ายางก็ 185 มิลเท่าคนอื่น แต่อาการของตัวรถในโค้ง คล่องแคล่วว่องไว แล้วก็ไม่ใช่เพราะระบบ ESP ช่วยนะครับ ระบบแทบไม่ต้องทำงานเลย เวลาพุ่งเข้าโค้ง หักพวงมาลัย ตัวรถจะยวบถึงระยะหนึ่งแล้วยันเอาไว้ ให้ความรู้สึกยางจิก ดึงหน้ารถไปตามโค้ง เป็นความสนุกแบบโกคาร์ทโดยแท้ ซึ่งช่วยโดยพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า ที่ลดความเป็น Robot จากรถรุ่นเดิม เพิ่มน้ำหนักหน่วงกลางในยามใช้ความเร็ว ในขณะที่เวลาขับย่องในเมือง ก็เบาพอให้คุณยายยืมขับพาหมาไปอาบน้ำได้

เสน่ห์อย่างหนึ่งของ Suzuki ก็คือ เมื่อเราขับจะรู้สึกได้ว่าคนเซ็ตพวงมาลัย คนเซ็ตช่วงล่าง และคนทำบอดี้ หลับนอนตื่นนอนกินข้าวหม้อเดียวกัน นอกจากข้อติเรื่อง Stroke length ของช่วงล่างหลังแล้ว เรื่องอื่นทำได้ดี ทุกอย่างทำงานประสานกัน เป็นสิ่งที่พวกเขาทุ่มเทให้..และฝ่ายบัญชีก็ใจดีพอจะเทงบให้กับเรื่องนี้ โดยที่รู้ว่า 80% ของลูกค้าอาจไม่ได้มานั่งศึกษาเรื่องช่วงล่างแบบนี้ด้วยซ้ำ ในสภาพรถเดิมๆ City Turbo อาจได้เปรียบที่แรงทางตรง แต่ยิ่งโค้งโผล่มามากเท่าไหร่ Swift ยิ่งเอาคืนได้มากเท่านั้น

สำหรับเรื่องอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงนั้น ถ้าอ้างอิงตามผลทดสอบของเว็บเราอย่างเป็นทางการ จะพบว่า ถ้าใส่เกียร์ D แล้วขับ 110 นิ่งๆยาวๆ เทคโนโลยี 1.0 TURBO ของ Honda ก็ทำอัตราสิ้นเปลืองได้ดีกว่า Swift คือ 19.78 กิโลเมตร/ลิตร ในขณะที่ Swift ได้ 19 เป๊ะๆ แต่ก็ตามประสาเครื่องเทอร์โบ ถ้ามีการขับติดบูสท์บ่อยขึ้น ตัวเลขมันจะตกลงไวตามม้าที่เรียกใช้ ในการขับแบบมอเตอร์เวย์ แซงบ่อยหน่อย ตัวเลขของ City จะเหลือ 15 ได้ไม่ยาก ในขณะที่ Swift ถ้าขับทางไกลแล้วมีเลข 15 ให้เห็นแปลว่าผมต้องหงุดหงิดระดับนึงล่ะ

*****สรุปการลองขับ*****

Likes: ความคล่องตัวทั้งโหมดเมือง และโหมดเล่นโค้ง ผู้โดยสารตอนหน้าตัวใหญ่ก็นั่งสบาย พื้นที่เยอะ เข้าออกง่าย ได้กล้องหลังกับเครื่องเสียงใหม่ในราคาเดิม ตอบสิ่งที่คนคาดหวังจากรถขนาดเล็กได้ค่อนข้างครบ

Dislikes: เบาะหลัง/เนื้อที่บรรทุกสัมภาระเล็กตามตัว ช่วงล่างหลังยันตึงง่ายเมื่อมีน้ำหนักบรรทุกหลังแล้วจัมพ์เนิน กระจกฝั่งคนขับ One Touch แค่ขาลง

ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมคงใส่เรื่องอัตราเร่งเข้าไปในจุดเด่นของ Swift ด้วย แต่ก็ต้องพูดตามตรงว่าในวันนี้ อีโคคาร์เทอร์โบชนะแล้วในเรื่องนี้ แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องไร้สาระ บางคนอาจถามว่าม้าเยอะๆเอาไว้ใช้ตอนไหน มันไม่ได้แปลว่ามี 120 ม้าแล้วคุณต้องขับ 200 ครับ..การเร่งแซงรถช้า การไต่ดอย (ที่เป็นดอยจริงไม่ใช่ดอยหุ้นหรือ Crypto) โดยเฉพาะเมื่อต้องวิ่งถนน 1 เลนไป 1 เลนกลับ ซึ่งยังมีอยู่หลายแห่งในประเทศไทย ใครเคยขับจริงจะรู้ ว่าจังหวะแซงก็ไม่ได้ง่าย บางที่เป็นทางโค้งดันตีเส้นประ บางที่มองเห็นข้างหน้าได้ยาว ดันตีเส้นทึบห้ามแซง ในสภาวะแบบนี้ คุณอยากจะอยู่เลนที่ไม่ใช่ของคุณนานๆเหรอครับ

เรื่องนี้..บวกกับขนาดของรถ ซึ่งเราก็ต้องยอมรับว่าคนไทยน่ะ ถ้าจ่ายเงินเท่าๆกัน พวกเราชอบรถที่ดูคันใหญ่กว่า ความใหญ่ ความแรง กับพลังแบรนด์ที่ Honda มีก็ไม่น่าแปลกใจหรอกครับที่ City Turbo จะขายดียืนหนึ่งต่อให้มีเคสสนิมผุดอีกกี่เคสก็ตาม ดังนั้น มันก็ไม่ผิด ถ้าจะพูดว่า คนตีนหนัก ก็ไปคบ Honda 1.0 Turbo เถอะ

แต่ในอีกแง่นึง สำหรับคนที่ไม่ได้ซีเรียสเรื่องความแรงขนาดนั้น ก็พูดง่ายๆว่า ถ้ารถคันที่แล้วของคุณ เป็นรถญี่ปุ่น 1.5 ลิตรจากยุค 90s เกียร์ 4 จังหวะ แล้วคุณเคยเอารถคันนั้นไปมาแล้วรอบประเทศไม่มีปัญหา ไอ้เจ้า Swift นี่มันก็ไปได้เหมือนกันแหละและอาจจะเร็วกว่าด้วยซ้ำ และที่แน่ๆ ประหยัดเชื้อเพลิงกว่า ตามเทคโนโลยีสมัยใหม่

Swift นั้น มีแนวทางที่แตกต่างกับคู่แข่งมาก ในขณะที่ Honda และ Toyota พยายามสร้างรถให้โตขึ้นเพื่อเอาใจลูกค้ากระแสหลัก แล้วค่อยๆพยายามตัดบางส่วน ใส่บางส่วน ให้ได้ราคาขายที่สะเทือนรถเล็ก Swift จะบอกว่ามันเองคือรถเล็ก แล้วก็ยังเล็กอยู่จนทุกวันนี้ แต่ด้วยต้นทุนที่มาในแบบรถเล็กซึ่งประหยัดค่าสร้างอยู่แล้ว ทำให้สามารถยังขายราคาถูกต่อไปได้โดยที่ไม่ต้องแอบตัดอะไรออกในจุดที่ลูกค้าไม่ค่อยสังเกตเห็น

ลูกเล่นเขาอาจจะไม่ได้ดูอลังการ มากสีสัน หรือล้ำสมัยสุดๆ แต่พอเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการขับขี่ การใช้งาน คุณภาพงานประกอบ ถ้าว่ากันด้วยขอบเขตของต้นทุนระดับรถเล็ก ผมว่า Suzuki เป็นค่ายที่แอบให้อะไรมาเยอะแล้วคนไม่ค่อยสังเกตกัน

ถ้าคุณลองพิจารณาดูนะครับ เรื่องอุปกรณ์ ถ้าไม่นับไฟกลางเก๋ง และกระจก One Touch ขาขึ้น ที่ Swift ยังไม่มี ส่วนอื่นๆของรถนี่มีของที่คนไม่ได้สังเกตแต่ Suzuki ให้มาไม่น้อยเลย เข็มขัดนิรภัยคนนั่งหน้า ยังปรับระดับได้ ไฟหน้าก็มีตัวปรับองศาการส่องมาให้ แอร์ออโต้ก็ไม่ใช่ออโต้แบบลดต้นทุน แต่ให้มาเป็นแบบที่มีฮีทเตอร์ เพราะลูกค้าจำนวนไม่น้อยของเขาอยู่ภาคเหนือกับอีสานที่เวลาหน้าหนาวมันมีสิทธิ์หนาวจริง แบบนี้เป็นต้น คุณลองเอา City Hatchback SV ที่ราคา 675,000 บาทมาเทียบอุปกรณ์ชิ้นต่อชิ้นดูก็ได้ครับ แล้วจะเห็นว่าโลกนี้ไม่มีคำว่าฟรี อยากได้เครื่องแรง คันใหญ่ ต้องเอาอะไรแลกบ้าง ลองดูด้วยตาตัวเองบนจอได้

เสน่ห์แบบรถเล็ก ที่ไม่ได้ต้องทุ่มงบมหาศาลไปกับเครื่องยนต์ ทำให้เราได้รถที่แม้จะเล็ก แต่ก็ตอบสนองการใช้งานได้ดี ช่วงล่างหลังอาจจะตึงตังบ้างเวลาบรรทุกเต็ม แต่เวลานั่งสองคนข้างหน้าก็โอเค มันคือรถเล็กที่คนเมืองขับก็คล่อง ประหยัด หาที่จอดง่าย เสริมด้วยลูกเล่นอย่างกล้องหลังและจอกลางที่ขนาดโตขึ้น มันคือรถที่เหมาะกับลูกสาววัยรุ่น (ลูกชายก็ได้..ถ้าเขาชอบ) และเมื่อต้องเดินทางต่างจังหวัด ก็สามารถเดินทางต่างจังหวัดแอบเร่งไป 140 บ้างก็ไม่ได้รู้สึกว่าส่ายร่อนจนต้องถอนคันเร่ง ..จะขึ้นอ่างขางก็ไหวนะ มีคนเอาขึ้นไปแล้วทำคลิป Youtube ด้วยครับไปลองค้นดูได้

ส่วนเรื่องความทนทานในการใช้งาน ผมอาจจะไม่ได้มีข้อมูลที่มากมายนัก แต่อาศัยสังเกตจากรถที่เข้ามาศูนย์บริการเพื่อเซอร์วิส กับรถของเพื่อนๆใน Facebook สอบถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง คุยกับผู้จัดการศูนย์บ้าง ก็พอเชื่อได้ว่า หลังจากที่รถโฉมนี้ขายมา 3 ปี Swift ใหม่ มีปัญหาน้อยกว่าโฉมที่แล้ว โดยเฉพาะเรื่องการเคลมเกียร์ที่น้อยลงมากเมื่อเราวัดตอนที่รถมันวิ่งไปในกิโลเท่ากัน รุ่นที่แล้วนี่บางคัน 50,000 กิโลเกียร์ก็ลาโลกแล้ว ผมคุยกับศูนย์ที่เคลมเกียร์รุ่นเก่าเป็นว่าเล่น พบว่ารุ่นใหม่นี้ยังไม่มีใครมาเคลมเกียร์เลยในศูนย์นั้น

ถ้าไม่มีอะไรมาเซอร์ไพรส์อีก ก็เป็นเรื่องดี เพราะรถเล็กที่ตอบโจทย์คนส่วนใหญ่นั้น ต่อให้ใส่เทคโนโลยีอะไรเข้าไปมากแค่ไหน ความไว้เนื้อเชื่อใจเป็นเรื่องที่สำคัญ คนหาเช้ากินค่ำที่ซื้อรถระดับหกแสน ไม่ได้มีคนขับรถคอยเอารถไปเซอร์วิสให้ ไม่ได้มีเบอร์รถลาก VIP ที่เรียกได้ 24 ชั่วโมง อาจจะไม่ใช่ทุกคนหรอกที่ต้องการแรงม้า แต่ทุกคนย่อมอยากได้รถที่ขับทุกวัน สบายกระเป๋า สบายใจ ไม่พัง ถึงพังซ่อมแล้วเห็นบิลก็ยังยิ้มออก

มันไม่ใช่รถที่เพอร์เฟ็คท์ แต่ถ้าชีวิตคุณต้องการรถเล็ก ประหยัด สมรรถนะพอพึ่งพาได้ ไม่เน้นบรรทุกด้านหลัง ไม่มีเคส Defect รุนแรงในวงกว้างในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา และที่สำคัญคือ คุณชอบรถที่ขับแล้วดูอายุน้อยลง Swift อาจเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่คุณควรไปลองขับ แต่กรุณาเอาชื่อผู้แทนจำหน่ายไป Google ดูย้อนหลังสักหน่อยแล้วเลือกที่ที่มีลูกค้าตัวจริงแนะนำ ให้ความเชื่อถือ ไกลหน่อยก็คุ้มถ้าแลกกับความไว้ใจที่เพิ่มขึ้้น

ส่วนตัวผมนี่ ไม่ต้องพูดเรื่องซื้อ/ไม่ซื้อ Swift หรอกครับ เงินจะซ่อมบรรดารถแก่ๆที่บ้านยังไม่ค่อยจะมี ถึงมีแล้วขับ Swift ได้..หน้าตาของผมมันไม่มีอะไรจะช่วยให้ดูเป็นวัยรุ่นได้อีกแล้ว และอีกอย่าง เอามือไถจอดูสาวรุ่นลูก รุ่นน้อง เล่นสเก็ตบอร์ดลง Story ก็ยิ้มได้เหมือนกัน แล้วก็ไม่เสียเงินสักบาทเนอะ เสร็จงานละ ขอตัวไปไถจอต่อนะครับ

——–/////——–

 


 

ขอขอบคุณ / Special Thanks to :

Suzuki Motor (Thailand) Co.,ltd สำหรับการเชิญทางเราร่วมทดสอบในทริปครั้งนี้

Pan Paitoonpong

สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน / ลิขสิทธิ์ภาพถ่ายในเมืองไทย ทั้งหมด เป็นผลงานของ Suzuki Motor (Thailand) และผู้เขียนห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com 1 มิ.ย. 2021

Copyright (c) 2021 Text and Pictures. Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited. First publish in www.Headlightmag.com 1 June 2021