Mercedes-Benz E 220 d SPORT – 3,399,000 บาท
LIKES: แรงเหมือนไม่ใช่ 400 นิวตันเมตร ประหยัดเหมือนไม่ใช่รถใหญ่ ขับนิ่งๆสบาย พวงมาลัยไวกำลังดี ความสะเทือนน้อยกว่ารุ่นล้อ 19 นิ้ว ภายในตอนกลางคืนสวยมาก
DISLIKES: ไม่มี Keyless GO, Apple CarPlay ช่วงล่างด้านหลังยังมีอาการส่ายเวลาจัมพ์เนินแรงเหลืออยู่ การขับในเมืองเกียร์ต่ำยังมีอาการยึกของเกียร์อยู่
ครบทุกอย่างแห่งความเป็น Uber Luxury สัญชาติเยอรมัน ขนาดตัวที่ใหญ่แบบพ่อตาเห็นแล้วยิ้ม เบาะหลังที่ใหญ่พอให้แม่ยายนั่งสบาย พละกำลังเครื่องยนต์ OM654 ดีเซล มี 194 แรงม้า 400Nm แต่วิ่งจริงเหมือนมีมากกว่านั้น ที่สำคัญคือขับแบบให้เมียให้ลูกนั่ง ได้ 20 กิโลเมตรแน่ๆ ถังน้ำมัน 66 ลิตรก็คูณกันเอานะว่าวิ่งรวดเดียวได้กี่กิโล รับรองว่าคนขับปวดขี้ก่อนรถน้ำมันหมดแน่นอนครับ
อัตราเร่ง 0-100 Comfort Mode กดโลด D ยังได้ 8.5-8.7 วิสบายๆ เหมือนจะไวกว่า E 220 d AMG Dynamic ปี 2017 อาจจะเพราะไม่ต้องแบกของหรูท่วมคันมันเลยเบา ช่วงเร่งแซง 80-120 ได้ 6.1 วินาที กด Sport + ได้ 5.75 สบายๆ เสียงเครื่องยนต์จะดังบ้างแต่พอขับลอยตัวก็เงียบดีอยู่ เกียร์ 9 จังหวะ ยึกยักบ้างช่วงเกียร์ต่ำในเมือง และมีอาการลังเลเวลาตอก 100% เร็วๆ แต่นอกนั้นแล้วถือว่าทำงานได้โอเค ดีกว่าเบนซ์ยุค 2000 เยอะมาก
อัตราสิ้นเปลือง 20 กิโลเมตรต่อลิตร นี่ไม่ใช่ว่าต้องขับแบบใช้เทคนิคออสการ์อะไร ก็แค่เปิดแอร์ ขับ 110 บ้าง 120 บ้าง มันก็ได้แล้ว แต่ถ้าเริ่มกดคันเร่งหนัก มีวิ่ง 140 บ้าง ก็ยังมี 16.3-16.6 กิโลเมตรต่อลิตรให้เห็น ถือว่าประหยัดแล้วสำหรับรถไซส์นี้ น้ำมันเชื้อเพลิง รุ่นนี้เติมน้ำมันพรีเมียมจะวิ่งดีและตัวเลขสวย แต่ถ้าหากหาพรีเมียมไม่ได้ ก็เติมดีเซล B7 ได้ครับ ส่วน ดีเซลเฉยๆ (ที่เป็น B10) นั้น ยังไม่รองรับ
การได้ขับไปในทริป 2,400 กม. บนเส้นทาง กรุงเทพ-หางดง-อินทนนท์-ดอยช้างมูบ/ผาหมี-ดอยภูคา-น่าน-กรุงเทพ ทำให้ผมรู้สึกว่า ถ้าคุณยอมอยู่ได้โดยไม่มีหลังคากระจก ล้อ 19 นิ้ว หน้าปัด Full Digital รถคันนี้ก็ตอบสนองการใช้งานได้ดีพอ
ช่วงล่างน่าจะมีการปรับปรุงมาบ้าง ด้านท้ายมีอาการหยึยซ้ายขวาน้อยลงกว่ารถปี 2017..แต่มันก็ยังเหลืออาการนั้นอยู่ การบู๊ที่ความเร็วสูงๆนั้น ยังไม่มั่นใจเท่า 520 d M Sport แต่ถ้าเป็นทางตามภูเขา ความเร็วไม่เกิน 140 ก็ยังให้ความมั่นใจได้ ซับแรงกระแทกจากถนนแย่ๆพอได้ และยังเล่นโค้งได้สนุกอยู่ อันที่จริง บนถนนทุรกันดารแบบนี้ ผมกลับรู้สึกว่า E 220 d เนี่ยแหละ เหมาะสมกับงาน ถ้าเป็น CLS 53 หรือ C43 อาจจะแรง แต่วิ่งได้ไม่ไกลแบบนี้ และไม่สามารถดีลกับหลุมบักควาย ถนนทรุดตัว ได้แบบนี้แน่นอน ความนุ่มนวลมีให้สัมผัส แต่เป็นคำว่านุ่มในแบบเยอรมันที่ติดตั้งยาง Runflat ซึ่งมีความสะเทือนเล็กๆแข็งๆจากยางมาด้วยเสมอ ไม่ได้นุ่มเหมือนเบนซ์ W124 หรือ W210 สมัยก่อน
สิ่งที่รู้สึกว่าแปลกคือ E 220 d มีระบบช่วยจอดอัตโนมัติให้ แต่กลับขาดอุปกรณ์พื้นฐานอย่าง Keyless GO รวมถึงเป็น E-Class รุ่นเดียวที่ยังไม่ Support Apple CarPlay ถ้าใส่สองอย่างนี้ได้ จะโอเคมากขึ้น แน่ล่ะ..มันอาจจะเป็นรุ่นย่อยตัวถูก แต่ในราคาที่เกินสามล้าน ของสองอย่างนี้ “ไม่ควรขาด” ส่วนไฟหน้าแบบ Matrix หรือพวก Adaptive Cruise Control จะไม่มีก็คงไม่แปลกสำหรับรุ่นย่อยระดับนี้ ข่าวดีก็คือ E 220 d ยังมีระบบเบรกอัตโนมัติมาให้ และปรับความไวได้ 3 ระดับ
เรื่องความสบายในห้องโดยสารนั้น ตัวเบาะน่ะสบายอยู่ ปรับไฟฟ้า มีระบบความจำ 3 ตำแหน่ง มีปุ่มให้คนขับใช้สวิตช์ฝั่งตัวเองปรับเบาะคนนั่ง รับเจ้านายได้ อีกทั้งยังปรับส่วนรองนั่งยืดหดได้ด้วย แต่เบาะจะมีความแข็งแบบเยอรมัน และอุโมงค์เกียร์ใหญ่มากจนเบียดเนื้อที่ขาและเข่าเกินความจำเป็น ทำให้เมื่อวัดจากตำแหน่งคนขับ E-Class สบายกว่า C-Class แค่พื้นที่ช่วงไหล่เท่านั้น แต่เบาะหลังนั้น แน่นอนรถใหญ่กว่าก็สบายกว่า แต่เบาะก็จะเป็นสไตล์เบนซ์ยุคใหม่ที่ออกแนวแข็งใน นุ่มนิดๆข้างนอก นั่งแล้วไม่ยวบลงไปเหมือนเบนซ์ยุค 90s ตัวเบาะสามารถพับ 60/40 ได้
คู่แข่งในคลาสนี้ หากคุณไม่คิดจะเล่นรถ Plug-in และใจเรียกหาแต่ดีเซลเท่านั้น ก็มีแต่ 520 d M Sport (เหลือขายอยู่รุ่นย่อยเดียวแล้วสำหรับพลังดีเซล) แน่นอนว่า BMW คิดค่าตัวรถมา 3.539 ล้านซึ่งแพงกว่า แต่ก็ให้อุปกรณ์มาแพรวพราวกว่า คันเร่งกับเกียร์ทำงานตามสั่งดีกว่า พื้นที่เบาะหลังเยอะกว่าอยู่นิดๆ ช่วงล่างมั่นใจกว่าเมื่อบู๊ แต่เบนซ์ก็มีจุดชนะคืออัตราเร่งดีกว่ากันชัดเจนทั้ง 0-100 และ 80-120 กับค่าตัวที่น่าจะถูกกว่า ส่วนคนที่ชอบเครื่องเบนซินเพียวๆน่าจะหาตัวเลือกยาก ที่ใกล้เคียงที่สุดก็มีแต่ Audi A6 Sedan ที่ราคา 3,399,000 เท่าเบนซ์แต่เป็น Mild-Hybrid (ตัวซีดานนี้ ผมยังไม่ได้ลองขับ แต่ตัว Avant ลองแล้ว ช่วงล่างเยอรมันขนานแท้)
ลองไปถามราคาจบจริงกับเซลส์ดูแล้วกันครับ เพราะปีหน้า W213 ไมเนอร์เชนจ์ก็จะมาแล้ว (แต่น่าจะซีกหลังของปีหรือปลายปี) คนขายก็จะเริ่มโปรโมชั่นการขายหนักขึ้น ถ้าสมมติจบได้เท่ากันเด๊ะ ผมว่า BMW น่าเล่นกว่า แต่ถ้าเบนซ์ถูกกว่ากันสัก 2-3 แสนได้ ผมว่าภาพรวมใช้งานจริงเบนซ์จะคุ้มกว่า แม้จะไม่มีของเล่นไว้อวดเพื่อนมากนักก็ตาม แต่มองจากภายนอก เวลาผมขับรถแล้วเจอหน้าอย่างเจ้านี่พุ่งมาในกระจกมองหลัง ผมไม่รู้หรอกว่ารุ่นล่างหรือรุ่นท้อป รู้แต่ว่ารุ่นใหญ่มาแล้วจ้า