เมื่อวานนี้ (20 กรกฎาคม 2010) บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและส่งออกรถยนต์นั่ง
รายใหญ่อันดับสองของประเทศไทย รายงานว่า ยอดขายรถยนต์ฮอนด้าช่วงหกเดือนแรกของปี 2553 อยู่ที่
51,782 คัน เพิ่มขึ้น 30% จากระยะเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว (39,967 คัน) ส่งผลให้ฮอนด้ามีส่วนแบ่งตลาด
อยู่ที่ 14.5% และติดอันดับท็อป 3 ในตลาดรถยนต์ของประเทศไทย

ผลประกอบการดังกล่าวมาจากยอดขายรถยนต์รุ่นที่ขายดีของ Honda คือ Honda City กับ Civic และที่เปิดตัว
ล่าสุด คือ Honda FREED ที่ปัจจุบันเป็นผู้นำในตลาดรถเอ็มยูวี (รถยนต์นั่งอเนกประสงค์) รวมถึงรถรุ่นอื่นๆ
ของบริษัทฯ อาทิ Honda Jazz Accord และ CR-V

 มร.อาซึชิ ฟูจิโมโตะ ประธานบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “เรามีความเชื่อมั่น
เป็นอย่างยิ่งในศักยภาพการเติบโตของตลาดรถยนต์ประเทศไทย พิจารณาจากเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพ ระดับ
รายได้ที่สูงขึ้น และนโยบายด้านการส่งเสริมการลงทุนของรัฐบาลไทย เราเชื่อว่าตลาดรถยนต์จะมีแนวโน้ม
เป็นขาขึ้นในระยะยาว และส่วนแบ่งตลาดรถยนต์นั่งจะขยับขึ้นไปอยู่ในระดับเดียวกันกับรถปิกอัพที่จำหน่าย
ในประเทศไทยภายในอีกครึ่งทศวรรษข้างหน้า”  

ในช่วงหกเดือนแรกของปี 2553 ตลาดรถยนต์โดยรวมขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนในอัตรา 154% เป็น 356,692 คัน
ขณะที่ตลาดรถยนต์นั่งเติบโตเพิ่มขึ้น 160% เป็น 153,273 คัน คิดเป็นสัดส่วน43% ของตลาดรถยนต์โดยรวม
ฮอนด้าเชื่อว่าตลาดรถยนต์ในประเทศไทยจะมียอดขายรวมอย่างน้อย 650,000 คันในปี 2553 เพิ่มขึ้นจากปี 2552
ประมาณ 20% และคาดว่ายอดขายรถยนต์ในประเทศจะเพิ่มขึ้นถึง 800,000 คันในอีกสามปีข้างหน้า
 
มร. ฟูจิโมโตะ กล่าวว่า ความสำเร็จของฮอนด้าในประเทศไทยเป็นผลมาจากความพยายามอย่างต่อเนื่องของบริษัทฯ
ที่จะทำความเข้าใจความต้องการและไลฟ์สไตล์ของลูกค้า และสนองตอบให้เหนือกว่าความคาดหวังของลูกค้า ด้วยการ
นำเสนอรถยนต์คุณภาพที่มาพร้อมกับดีไซน์ที่โดดเด่นมีสไตล์ ขับขี่สนุก และประหยัดเชื้อเพลิง จากกระแสตอบรับ
อย่างดีเยี่ยมของผู้บริโภคที่มีต่อ แบรนด์และรถยนต์ของบริษัทฯ ทำให้ฮอนด้าปรับเป้ายอดขายที่ตั้งไว้สำหรับปี 2553
เพิ่มขึ้นเป็น 110,000 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 17% ของตลาดรถยนต์โดยรวม
 
“เราตั้งใจจะทำให้ฮอนด้าเป็นแบรนด์ที่เป็นที่ต้องการและได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศไทย ด้วยการทำทุกอย่าง
ให้ถูกต้อง ให้เหนือกว่าความต้องการในการขับขี่ของลูกค้า รวมไปถึงตอกย้ำความเชื่อถือและความเชื่อมั่นของลูกค้า
 พูดง่ายๆ ก็คือ เราอยากจะให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์ฮอนด้าเป็นเพื่อนที่เข้าใจความต้องการและไลฟ์สไตล์ของเขา”
มร.ฟูจิโมโตะ กล่าว

นอกจากนี้ยังพบว่าผู้บริโภคชาวไทยค่อยๆ ปรับเปลี่ยนความต้องการในการขับขี่จากรถปิกอัพและรถซีดานขนาดใหญ่
มาเป็นรถขนาดเล็กที่ประหยัดเชื้อเพลิง ดีไซน์เท่ ให้สรรถนะและระดับความปลอดภัยสูงสุด ขณะที่ราคาน้ำมันซึ่งมี
แนวโน้มว่าจะยังสูงอยู่และความใส่ใจในสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้นในหมู่คนซื้อรถก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่เร่งให้เกิดกระแสดังกล่าว
 
การที่ผู้บริโภคเลือกใช้รถที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมถือเป็นแนวโน้มที่ดีสำหรับฮอนด้า ซึ่งมีกำหนดจะเปิดตัวรถอีโคคาร์
ในเมืองไทยในปี 2554 ซึ่งรถอีโคคาร์ของฮอนด้าที่ได้รับการออกแบบสไตล์สปอร์ตและประหยัดน้ำมันจะเป็นสมาชิกใหม่
ในสายผลิตภัณฑ์ของฮอนด้าที่คาดว่าจะได้รับความสนใจอย่างท่วมท้นจากผู้บริโภค เมื่อออกสู่ตลาดในปีหน้า

“ฮอนด้าก้าวนำหน้าเทรนด์ใหม่ๆ ในตลาดเสมอ เราเป็นผู้ผลิตรายแรกๆ ที่เข้าร่วมโครงการรถอีโคคาร์ของประเทศไทย
และได้ลงทุนไปกว่า 6,200 ล้านบาทในโรงงานผลิตแห่งที่สองเมื่อสองปีที่แล้ว เพราะเชื่อว่ารถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
จะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมรถยนต์ของไทยให้ก้าวไปข้างหน้า” มร. ฟูจิโมโตะ กล่าว

ถึงวันนี้ ฮอนด้าได้ลงทุนในประเทศไทยไปแล้วกว่า 21,000 ล้านบาท ทำให้เป็นหนึ่งในผู้ลงทุน ต่างชาติรายใหญ่ของประเทศ
ปัจจุบัน โรงงานผลิตระดับโลกในประเทศไทยของบริษัทฯ มีขนาดใหญ่เป็นอันดับหกของโลก เป็นรองเพียงโรงงานผลิต
ในประเทศญี่ปุ่น สหรัฐ จีน แคนาดา และอังกฤษ โดยเป็นโรงงานที่มีสภาพแวดล้อมปลอดภัยและเอื้อต่อการทำงานที่สุด
แห่งหนึ่งในอุตสาหกรรมยานยนต์ ของประเทศไทย

————————————————–///————————————————–