ย้อนกลับไปยังปี 2014 ที่ผ่านมา ท่ามกลางฤดูกาลโบยบินข้ามทวีปมาเยือน
จนผมแทบไม่เป็นอันทำงาน เพราะมีไฟลต์บินทุกเดือน ตั้งแต่มิถุนายน
จนถึง พฤศจิกายน – ธันวาคม เลยทีเดียว
การได้รับโอกาสให้ร่วมบินไปสัมผัสรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ในต่างประเทศนั้น
มันต้องยอมแลกกับการพลาดทริปทดลองขับรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ในประเทศ
ซึ่งตามปกติแล้ว ผมยังไม่รู้สึกเสียดายเท่าไหร่
ทว่า สิ่งที่แอบเซ็ง และได้แต่ทำใจคือ หนึ่งในรายการเหล่านั้น ที่ผมพลาด
ดันมีทริปลองขับ ฝูง Super Cars นามอุโฆษ อันได้ชื่อว่าเป็นพาหนะโปรด
ของสายลับชาวอังกฤษนามระบืออย่าง James Bond 007 ด้วย!
ใช่แล้วครับ ผมพลาดโอกาสลองขับ Aston Martin ไปหลายรุ่นเลยละ!
ผมบินไปร่วมงาน Nissan GT Academy ที่ประเทศอังกฤษ ต้นกำเนิด
ของ Aston Martin แต่ผมกลับได้ลองขับ Nissan GT-R,GT-R Nismo
และ 370 Z Nismo แทน!
ครั้งนั้น ผมจึงตัดสินใจส่ง น้อง Pao Dominic หนึ่งในสมาชิกน้องใหม่
ของกลุ่ม The Coup Team เรา ไปทดลองขับ แล้วนำมาเขียนบทความ
ให้คุณได้อ่านกัน
นับเป็นงานหิน ครั้งแรก และครั้งสำคัญที่จะตัดสินได้ว่า Pao จะได้ร่วม
ทีมในการทดลองรถกับพวกเราต่อไปหรือไม่ ด้วยความสามารถส่วนตัว
แม้จะเป็นครั้งแรกที่ผมส่งไปออกทริป แต่ Pao Dominic ก็ทำได้ดีสมกับ
ที่ผมไว้วางใจ
แต่ยังไง ยังไง ใจก็ยังเสียดายยยยยย เพราะไม่ได้ขับเองกับมือ
เดือนพฤษภาคม 2015 Aston Martin Bangkok ส่งเทียบเชิญมาอีกครั้ง
ให้มาร่วมลองขับรถสปอร์ตระดับ Super Car ของพวกเขา กันในสนาม
แข่งรถพีระ (Bira International Circuit) ที่พัทยา
ปีที่แล้ว ผมไม่ว่างมา ปีนี้ ก็เลยชวนผมมาลองอีกสักครั้ง! หวังว่าผมจะว่าง
เคราะห์หามยามดีอะไรก็ไม่รู้ งานนี้ ถูกจัดขึ้นเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2015
ชนกับงานเปิดตัว SUV/PPV รุ่นสำคัญของตลาด Toyota Fortuner ใหม่
พอดี เท่านั้นไม่พอ Suzuki เอง ยังจัดทริปทดลองขับ Ciaz ใหม่ ให้กับกลุ่ม
สื่อมวลชนอีกด้วย!
ถ้าเป็นสมัยก่อน ตอนที่ยังไม่มี ตา Pan มาร่วมงานเต็มตัว ยังไม่มีน้อง Moo
Cnoe มาร่วมทีม ไม่มีน้องๆฝึกงาน (ทั้งน้องอั้ม และน้องสิงห์) ที่มาช่วยงาน
และยังไม่มี ตอยด์ เต้ ต๊อบ ที่ยกโขยงไปถ่ายทำรายการ The Coup Channel
ผมก็คงต้องยอมถ่อสังขารไปร่วมงานเปิดผ้าคลุม Fortuner แน่ๆ
แต่ในเมื่อปี 2015 นี้ ทุกรายชื่อที่เอ่ยมาข้างต้น ตกลงกันว่าจะไปยลรูปโฉม
คันจริงของ Fortuner งานนี้ ก็เสร็จผมสิ! อยากลองขับ Aston Martin
มานานแล้ว คราวนี้แหละ สมใจอยากเสียที!
ผมถึงขั้นตัดสินใจ จองโรงแรม นอนพักอยู่ที่พัทยา 2 คืนรวด เพื่อ
นั่งทำงานไปด้วย พักผ่อนไปด้วย เพื่อไม่ต้องแหกขี้ตาตื่นนอนกัน
ตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่ ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ มาถึงสนามพีระฯ
ด้วยความเร่งรีบ แล้วต้องทำงานแข่งกับเวลา ซึ่งนั่นเหนื่อยมากๆ
สู้เรานอนพักค้างคืนที่พัทยา แล้วตื่นแต่เช้า ขับรถไปยังสนามพีระ
ไปเก็บภาพรถทุกคันที่เราจะต้องขับในวันนี้ ตั้งแต่เช้า เลยดีกว่า
พอมาถึงสถานที่จัดงาน เมื่อได้มารู้ในภายหลังว่า สื่อมวลชนที่จะ
มาร่วมงานวันนั้น น้อยมาก! เท่ากับว่า ทั้งจำนวนรอบขับ และเวลา
จึงเหลือมากพอให้ผม Pao Dominic (พกไปด้วยในฐานะคนที่เคย
ลองขับ Aston Martin แล้ว ก็ให้มาลองกันจนครบทุกรุ่นไปเลย)
และน้องเติ้ง สมาชิกใหม่ของ The Coup Team ได้ลองขับ ลอง
เหวี่ยงเข้าโค้งกันเล่นๆ อย่างสนุกสนาน ครบทั้ง 2 รุ่น
อธิบายกันก่อนว่า ในปี 2015 นี้ Aston Martin จะมีรุ่นรถสปอร์ต
ให้เลือกรวมทั้งหมด 4 ตระกูลหลัก ดังนี้
Vantage เป็นรุ่นพื้นฐานเน้นเอาใจคนชอบขับรถแบบดิบๆ ทั้งบน
ถนนปกติ และในสนามแข่ง มีให้เลือกมากถึง 8 รุ่นย่อย ได้แก่
– V8 Vantage (Coupe /Roadster) ,
– V8 Vantage S (Coupe / Roadster)
– V12 Vantage S (Coupe / Roadster) ,
– Vantage N430
– Vantage GT12
DB9 เป็นรุ่นกลาง สไตล์ GT (Grand Touring) มีให้เลือก 3 รุ่นย่อย
DB9 Coupe , DB9 Volante เปิดประทุน และ DB9 Carbon Edition
อันเป็นรุ่นพิเศษ
Rapid S เป็นรถสปอร์ต Grand Touring GT แบบ 4 ประตู รุ่นเดียว
ที่ยังเหลืออยู่
และ Vanquish เป็น GT รุ่นแพงที่สุดของพวกเขา มีทั้งรุ่นมาตรฐาน
V12 Vanquish , Vanquish Volante เปิดประทุน และ V12 Vanquish
Carbon Edition รุ่นพิเศษ
คราวนี้ เรามีโอกาสได้ลองขับ Aston Martin ทั้งหมด 3 รุ่น 3 คัน
เพียงแต่ว่า ไฮไลต์หลักๆของปีนี้ อยู่ที่การนำรุ่น V12 Vantage S
อันเป็นรุ่นที่ถือว่าแรงในลำดับต้นๆ ของตระกูล และรุ่น Vanquish
ซึ่งเป็นรุ่นหรู แนว Grand Touring ที่แพงสุดของ Aston Martin
มาให้ได้ลองสัมผัส
ส่วน V8 Vantage และ V8 Vantage S นั้น ถือเป็นรุ่นพื้นฐานไว้เพื่อ
เรียกน้ำย่อย และฝึกทดลองเข้าโค้งแบบหัดควบคุมอาการท้ายปัดใน
ขณะเข้าโค้ง อันเป็นสถานีที่ 2 ไปก็แล้วกัน
ทีมงาน Instructor ก็เป็น รุ่นพี่ 3 ท่าน ที่เราคุ้นเคยกันทั้งนั้น นำทีม
โดย พี่เบี๊ยด สภาวสุ และพี่อู๋ บรรยากาศในวันนั้น จึงยิ่งเป็นกันเอง
หนักกว่าเดิมเข้าไปอีก สรวญเสเฮฮากันใช้ได้
ตัวรถทั้ง 2 รุ่นใหม่ จะน่าสนใจมากน้อยแค่ไหน มีอะไรที่คุณควรรู้
กันไว้บ้าง ตามข้าพเจ้ามา!
Aston Martin V12 Vantage S
รถสปอร์ตคันสีเงินที่เห็นอยู่นี้ จัดว่าเป็นรุ่น Top of the line ในตระกูล
Vantage อันเป็น Super Car รุ่นเล็กของ Aston Martin และถือเป็น
รถสปอร์ตเวอร์ชันผลิตขายจริง ที่แรงสุดเท่าที่พวกเขาเคยทำขายมา
(ถ้าไม่นับรุ่นพิเศษ N430 ที่เพิ่งคลอดออกมาเมื่อเดือนสิงหาคม 2015
กับรุ่นพิเศษสำหรับลงแข่งในสนามเท่านั้น อย่าง Vantage GT12 นะ)
ตระกูล Vantage นั้น คลอดออกสู่สายตาชาวโลกครั้งแรกมาตั้งแต่งาน
Geneva Auto Salon เดือนมีนาคม 2005 และยังคงทำตลาดมาต่อเนื่อง
จนถึงปัจจุบัน คู่แข่งโดยตรงของ Vantage ก็คือ Porsche 911 นั่นเอง
แต่การนำเครื่องยนต์ V12 มาวางให้รุ่น Vantage นั้น เกิดขึ้น เมื่อปี
2006 และเปิดตัวออกสู่สายตาสาธารณชนครั้งแรก ในงานพิธีเปิด
Design Studio แห่งใหม่ ของ Aston Martin อย่างเป็นทางการ เมื่อ
วันที่ 11 ธันวาคม 2007
หลังจากทำตลาดไปได้ 2 ปี เวอร์ชันแรงขึ้น ในชื่อ V12 Vantage S
ถูกเปิดตัวตามมา เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2013 และเข้าทำตลาด
แทนที่ V12 Vantage รุ่นเดิม ซึ่งถูกปลดจากสายการผลิตไป
V12 Vantage S มีขนาดตัวถังไล่เลี่ยกันกับ พี่น้องตระกูล Vantage
รุ่นอื่นๆ ต่างกันนิดหน่อย ด้วยความยาว 4,385 มิลลิเมตร กว้าง 1,865
มิลลิเมตร สูง 1,250 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,600 มิลลิเมตร น้ำหนัก
ตัวถัง 1,665 กิโลกรัม ความจุถังน้ำมัน 80 ลิตร
ถ้าจะให้แยกความแตกต่างระหว่าง V12 Vantage S ออกจากพี่น้องร่วม
สายพันธุ์ Vantage ชนิดมองปราดเดียว ต้องรู้เลยทันที ไม่ยากเลยครับ
แค่ลองสังเกตดีๆ จะพบว่า V12 Vantage S จะไม่มีชิ้นส่วนโครเมียมใดๆ
หลงเหลืออยู่ตามขอบกระจกหน้าต่าง หรือกระจังหน้าของรถเลย มันถูก
ถอดออกทั้งหมด แล้วแทนที่ด้วย กระจังหน้าสีดำเข้ม ลายตาข่ายแบบ
ที่ใช้ในรถแข่ง อีกทั้งฝากระโปรงหน้า ยังเพิ่มช่องระบายความร้อนใน
ห้องเครื่องยนต์ รวม 4 ช่อง
ก้มมองดูรองเท้า V12 Vantage S จะเป็นล้ออัลลอย Forged สีดำแบบ
10 ก้าน ขนาด 19 นิ้ว สวมด้วยยาง Pirelli P Zero Corsa จากโรงงาน!
ยางคู่หน้า มีขนาด 255/35 ZR19 ส่วนคู่หลังมีขนาด 295/30 ZR19
Aston Martin Vanquish
Vanquish เป็นรถยนต์นั่ง แบบ Grand Touring Coupe 2 ประตู ขนาดใหญ่ และ
แพงที่สุดในตระกูล Aston Martin ตอนนี้ ถ้าเปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือ
หาก V12 Vantage S เป็น รุ่นแรงสุด Vanquish ก็ถือว่า หรูสุดและแพงสุด บน
โชว์รูม นั่นเอง
Vanquish รุ่นแรก เปิดตัวในฐานะรถต้นแบบ “Project Vantage Concept” ใน
งาน North American International Motor Show (NAIAS) เดือนมกราคม
1998 (อย่าเพิ่งงงกับชื่อ เพราะตอนนั้น Aston Martin ยังไม่เปิดตัวรถสปอร์ต
รุ่นเล็ก พวกเขาเลยเอาชื่อ Vantage ที่ตนจดทะเบียนลิขสิทธิ์ไว้ มาแปะบน
รถต้นแบบ กันไปก่อน พอถึงวันเปิดตัว เวอร์ชันจำหน่ายจริง ในงานแสดง
รถยนต์ Geneva Motor Show เดือนมีนาคม 2001 พวกเขาก็เปลี่ยนมาใช้ชื่อ
Vanquish แทนนั่นเอง)
Vanquish รุ่นแรก โดดเด่นเป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วโลก จากการรับหน้าที่เป็น
พาหนะประจำกายของ สายลับ James Bond 007 ในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์
ตอน Die Another Day เมื่อปี 2002 ซึงถือว่าเป็นหนึ่งในหนังที่มีฉากขับรถ
ไล่ล่ากันได้ดีที่สุด รถรุ่นแรก วางเครื่องยนต์ V12 สูบ DOHC 5,935 ซีซี
466 แรงม้า (PS) ที่ 6,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 542 นิวตันเมตร (หรือ
55.2 กก.-ม.) ที่ 5,500 รอบ/นาที ความเร็วสูงสุด 306 กิโลเมตร/ชั่วโมง
จากนั้น ในงาน Paris Motor Show เดือนกันยายน 2004 เวอร์ชันปรับปรุง
สมรรถนะในชื่อ Vanquish S ก็เผยโฉมออกมา โดยถูกยกระดับความแรง
ของเครื่องยนต์เดิม ให้เพิ่มเป็น 527 แรงม้า (PS) ที่ 7,000 รอบ/นาที ส่วน
แรงบิด เพิ่มเป็น 577 นิวตันเมตร (58.7 กก.-ม.) ที่ 5,800 รอบ/นาที
Vanquish รุ่นแรก ยุติการผลิตไปพร้อมกับการปิดโรงงาน Newport Pagnell
ของ Aston Martin เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2007 หลังจากเปิดดำเนินการมา
นานถึง 49 ปี
Vanquish รุ่นปัจจุบัน ถือเป็นรุ่นที่ 2 เผยโฉมครั้งแรกในฐานรถต้นแบบ ชื่อ
AM310 ในงาน Concorso D’Eleganza at Villa D’Este ที่เมือง Como ประเทศ
Italy เดือนพฤษภาคม 2012 ก่อนที่เวอร์ชันผลิตขายจริง จะเผยโฉมเมื่อวันที่
19 มิถุนายน 2012 แล้วตามด้วยงานเปิดตัวรอบ Exclusive พร้อมกับการฉลอง
วาระก้าวสู่ปีที่ 100 ปี ของ Aston Martin เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2012 ก่อนจะเริ่ม
ประกาศราคาจำหน่าย ในอังกฤษ เริ่มต้นที่ £189,995 เมื่อ 11 กันยายน 2012
รูปลักษณ์ภายนอก เป็นผลงานของทีมออกแบบ Aston Martin ณ สำนักงานใหญ่
ที่เมือง Gaydon ใน Warwickshire ซึ่งนำโดย Marek Reichman : Design Director
โดยได้รับแรงบันดาลใจจาก รถสปอร์ตรุ่นพิเศษ One-77 ซึ่งผลิตออกมาในจำนวน
จำกัดเพียงแค่ 77 คันเท่านั้น (ขายไปหมดแล้ว) และรถสปอร์ตต้นแบบ V12 Zagato
(ผลงานของ สำนักออกแบบ Zagato)
Vanquish ถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง VH Platform รุ่นที่ 4 (4th Generation) มีขนาด
ตัวถังยาว 4,692 มิลลิเมตร กว้าง 1,912 มิลลิเมตร สูง 1,294 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ
2,740 มิลลิเมตร น้ำหนักตัวถัง 1,739 กิโลกรัม ถังน้ำมันขนาด 78 ลิตร
ล้ออัลลอยเป็นแบบ 10 ก้าน ขนาด 20 นิ้ว สวมยาง Pirelli P-Zero คู่หน้า เป็นขนาด
255/35 ZR20 ส่วนคู่หลัง เป็นขนาด 305/30 ZR20
การเข้า – ออกจากรถ ทั้ง 2 รุ่น ใช้กุญแจพร้อมรีโมทคอนโทรล พร้อมระบบ
Immobilizer และสัญญาณกันขโมย จากโรงงาน หน้าตาเหมือนกับกุญแจ
ของ Aston Martin ทุกรุ่น ตามปกติของพวกเขา
บานประตูของ Aston Martin แทบทุกรุ่น จะเปิดกางออกได้สุดแค่เพียง
เท่าที่คุณเห็นในรูปนี่ละครับ เป็นแบบ Frameless Door ไร้เสากรอบ ทุกรุ่น
ทันทีที่ก้าวลงไปนั่ง รถทั้ง 2 รุ่น บอกเลยว่า ต้องทำความคุ้นชิน เนื่องจาก
ทั้งคู่ เป็นรถสปอร์ตที่เตี้ย เบาะนั่งแทบจะจมลงไปเกือบติดพื้นรถ คุณต้อง
ก้มตัวลงไป ก้าวขาซ้ายเข้าไปนั่งอย่างระมัดระวัง (เดี๋ยวเป้ากางเกงฉีก)
ที่สำคัญ อย่าลืมก้มหัวลงไปให้เยอะมากที่สุดเท่าที่ทำได้ เพราะผมเจอ
ปัญหา หัวโขกกับเสาหลังคา ในรถทั้ง 2 รุ่นมาเรียบร้อยแล้ว!
ถ้าเป็นรุ่น Vanquish เบาะนั่งแบบ Comfort Seat ยังพอจะช่วยให้คุณลุกนั่ง
เข้า – ออกได้ง่ายหน่อย แต่พอเป็น V12 Vanrtage S ปีกข้างเบาะในสไตล์
รถแข่ง ทำเอาผมนต้องกระเบียดกระเสียดสรีระร่างลงไปนั่ง ลำบากกว่า
รุ่นอื่นๆ พอสมควร
เมื่อลงไปนั่งได้ สิ่งที่คุณจะประหลาดใจก็คือ ทั้ง 2 รุ่นจะมีคันโยกสีเงิน
อยู่ข้างลำตัวผู้ขับขี่ นั่นคือ เบรกมือครับ!
ห้ะ! ตำแหน่งเบรกมือติดตั้งกันแบบรถแข่งโบราณอย่างนี้เลยเหรอ?
แน่ละครับ แทบทุกรุ่นของ Aston Martin ที่ผลิตขายทุกวันนี้ ใช้เบรกมือ
แบบนี้ทั้งหมด! นัยว่าเป็นเอกลักษณ์ของพวกเขาเลยทีเดียว
คันโยกเบรกมือของรถยี่ห้อนี้ ต้องเรียนรู้การใช้งานนิดหน่อยครับ แม้ว่า
มันจะเหมือนกับเบรกมือทั่วไปนั่นแหละ คือดึงขึ้นจนสุดเพื่อล็อกเบรก
ถ้าจะปลดเบรกมือ ก็แค่ดึงคันโยกขึ้นไปจนสุดอีกนิด แล้วกดปุ่มบนหัว
คันโยก เพื่อปลดเบรกมือออก
แต่ความแตกต่างหนะ อยู่ที่ว่า ตามปกติ ในรถยนต์ทั่วไป เมื่อเราดึงคันโยก
เบรกมือขึ้นจนสุด เพื่อสั่งล็อกเบรกหลัง คันโยกมักจะค้างไว้ในตำแหน่ง
สูงสุด ทว่า คันโยกเบรกมือของ Aston Martin ทุกรุ่น เมื่อดึงขึ้นล็อกจนสุด
พอปล่อยมือเท่านั้นแหละ คันโยกจะฟรีทิ้ง ร่วงผลอย ลงไปนอนแอ้งแม้ง
ข้างเบาะคนขับตามเดิม (แต่เบรกยังจับดุมล้อหลังอยู่) ถ้าจะปลดออก เมื่อ
ยกเบรกมือขึ้นสุด จะพบระยะฟรีแบบไม่มีแรงฉุดเหนี่ยวรั้งใดๆทั้งสิ้น
เหตุผลก็เพราะ ไม่ให้ เบรกมือมันชูคอหรา ขวางการลุกเข้า – ออก เพื่อเพิ่ม
ความสะดวกขณะผุดลุกผุดนั่งลงไปบนเบาะคนขับนั่นเอง (-_-‘)
ดังนั้น คุณอาจต้องหมั่นเตือนตัวเองเสมอว่า หลังติดเครื่องยนต์ กำลังจะ
เริ่มขับรถออกจากบ้าน ปลดเบรกมือหรือยัง เช็คได้จากไฟเตือนบนชุด
มาตรวัด และเช็คระยะฟรีของคันโยกเบรกมือนั่นละ
ภายในห้องโดยสาร ถูกจัดวางตำแหน่งอุปกรณ์หลักๆ คล้ายกัน ลักษณะ
ของการกั้นคอกด้วยแผงควบคุมกลางแบบลาดเอียง ยังคล้ายคลึงกัน ทั้ง
V12 Vantage S และ Vanquish ติดตั้ง สวิตช์ปรับเบาะนั่งด้วยไฟฟ้าไว้
ที่ด้านข้างแผงควบคุมคอนโซลกลาง ทั้ง 2 ฝั่ง พร้อมหน่วยความจำ
ตำแหน่งเบาะ และกระจกมองข้างไฟฟ้า มาให้รวม 3 ตำแหน่ง ทั้ง 2 ฝั่ง
เบาะนั่งของ V12 Vantage S เป็นแบบ Sport Bucket Seat หุ้มหนังแท้
ตัดสลับกับผ้าสังเคราะห์ Alcantara เย็บเข้ารูปกันด้วย ด้ายสีแดง ฟองน้ำ
เสริมเบาะ ถ้ากดลงไป เหมือนจะนุ่ม แต่พอนั่งจริง ภาพรวมดูเหมือนว่า
ค่อนข้างจะแข็งนิดๆ ถ้านั่งขับขี่นานๆ อาจไม่สบายเท่าที่ควร เพราะว่า
เบาะนั่งของ V12 Vantage S ถูกออกแบบ มาเพื่อ เอาใจนักขับรถใน
สนามแข่งซึ่งต้องการความกระชับของเบาะมากกว่ารถยนต์ทั่วไป
พนักพิงหลัง และพนักศีรษะ ขึ้นรูปเป็นชิ้นเดียวกัน ค่อนข้างแข็ง และ
มีพื้นที่บุ๋มตรงกลาง ทำให้นั่งไม่สบายนัก แค่เบาะรองนั่งยังถือว่า ไม่แข็ง
จน เกินไป พื้นที่เหนือศีรษะ มีเหลืออยู่ แต่ไม่มากนัก
ส่วน เบาะนั่งของ Vanquish คันสีแดงเลือดนก มาในสไตล์ที่แตกต่างกัน
อย่างสิ้นเชิง แม้ว่า พนักพิงหลัง กับพนักศีรษะ จะถูกขึ้นรูปหลอมรวม
เป็นชิ้นเดียวกัน เหมือนกับ V12 Vantage S แต่ ถูกออกแบบด้วยลวดลาย
คล้ายเกล็ดงู พนักศีรษะแอบดันหัวนิดๆ พนักพิงหลังนุ่มพอประมาณ
ส่วนเบาะรองนั่ง นุ่มแต่แน่นพอประมาณ ไม่ได้นุ่มแบบโซฟา แต่ก็
ไม่ได้แข็งมากมายนัก ที่แน่ๆ ถ้าเทียบกันแล้ว ยืนยันว่า นั่งสบายกว่า
เบาะของ V12 Vantage S ชัดเจนแน่ๆ
ภาพรวมแล้ว หากมองกันในประเด็นของขนาดห้องโดยสาร จะพบว่า
ทั้ง 2 รุ่น เมื่อหย่อนก้นลงไปนั่งแล้ว จะรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ไม่ต่างกัน
ไม่เพียงแค่นั้น ตำแหน่งนั่งของคนขับ ของทั้ง 2 รุ่น จะไม่ตั้งตรงได้ฉาก
ไปเสียทีเดียว แถมอุโมงค์เพลากลาง และหัวหมูเกียร์ จะใหญ่โต จนทำให้
กินพื้นที่เข้ามายัง ตำแหน่งวางขาของคนขับ ซึ่งต้องเยื้องออกไปทางขวา
มากกว่า ท่านั่งขับจะแปลกๆหน่อย ไม่ค่อยลงตัว
แจ้งข้อมูลตัวเลขไว้ตรงนี้สักหน่อยว่า ห้องเก็บสัมภาระด้านหลังรถของ
Vanquish มีขนาด 368 ลิตร ถือว่าใหญ่ขึ้น 60% เมื่อเทียบกับรถรุ่น DBS
อุปกรณ์มาตรฐานของ V12 Vantage S ประกอบด้วย :
พวงมาลัยแบบ 3 ก้าน แป้นแตรวงกลม อันเป็นเอกลักษณ์ของ Aston Martin
หุ้มบริเวณมือจับด้วยผ้าสังเคราะห์ Alcantara แผงควบคุมอุปกรณ์ตรงกลาง
และมือจับเปิดประตู ตกแต่งด้วย Trim สีดำเงา Piano Black กระจกมองข้าง
ปรับและพับด้วยสวิตช์ ไฟฟ้าพร้อมระบบ Heater ละลายฝ้า ในตัว ติดตั้ง
ระบบควบคุมความเร็วคงที่อัตโนมัติ Cruise Control ระบบ Trip Computer
ระบบเซ็นทรัลล็อกและการเปิดกระโปรงท้ายด้วยรีโมตคอนโทรล
ชุดเครื่องเสียง เป็นแบบ Aston Martin Audio มาตรฐาน ประกอบด้วยวิทยุ
AM/FM พร้อมเครื่องเล่น CD แบบ 6 แผ่น (6 CD Changer) ช่องเชื่อมต่อ
iPod และ ช่อง USB รองรับเครื่องเล่นเพลง หรือ Flash Drive ที่ใช้ไฟล์แบบ
Waveform Audio Format (WAF) , Windows Media Player (WMA)
และ MPEG (MP3) เสริมระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่ Bluetooth กับ
ระบบนำทางผ่านดาวเทียม GPS Navigation System พร้อมจอมอนิเตอร์
สี ขนาด 6.5 นิ้ว พับเก็บได้ พร้อม ลำโพง 6 ชิ้น กำลังขับ 160 W
ด้านความปลอดภัย ติดตั้ง เข็มขัดนิรภัย Pre-tensioner and Load Limiter
ช่วยลดแรงปะทะ และดึงกลับัตโนมัติ ถุงลมนิรภัย คู่หน้าเป็นแบบ พองตัวได้
สองจังหวะ Dual Stage ตามความรุนแรงของการชน มาพร้อมกับถุงลมนิรภัย
ด้านข้างทั้ง 2 ฝั่ง เซ็นเซอร์ กะระยะขณะถอยหลังเข้า – จอด เซ็นเซอร์ระบบ
ตรวจสอบแรงดันลมยาง (Tyre Pressure Monitoring System)
อุปกรณ์มาตรฐานของ Vanquish :
ภาพรวมแล้วจะคล้ายคลึงกับ V12 Vantage S เพียงแต่จะมีการตกแต่งภายใน
ให้แตกต่างกัน ด้วย หนังแท้ แบบ Full-Grain ทั้งบนแผงหน้าปัดและเบาะนั่ง
เพดานหลังคา และเสาหลังคา บุด้วยผ้าสังเคราะห์ Alcantara
กระจกมองข้าง ปรับและพับด้วยสวิตช์ ไฟฟ้าพร้อมระบบ Heater ละลายฝ้า
ในตัว ติดตั้งระบบควบคุมความเร็วคงที่อัตโนมัติ Cruise Control ระบบ Trip
Computer ระบบเซ็นทรัลล็อกและการเปิดกระโปรงท้ายด้วยรีโมตคอนโทรล
ระบบเครื่องปรับอากาศ อัตโนมัติ Automatic temperature control พร้อมชุด
Heater อุ่นเบาะ ระบบแจ้งเตือนความดันลมยาง Tyre pressure monitoring
กระจกหน้า Laminated เคลือบด้วย clear noise-insulation layer และเพิ่ม
กระจกบังลมหลังแบบมี ไล่ฝ้าในตัว
ส่วนภายนอก ติดตั้ง โครเมียมรอบคัน ตั้งแต่กระจังหน้า ขอบกระจกหน้าต่าง
ปลอกท่อไอเสีย และถ้าอยากเพิ่มความหรูมากยิ่งขึ้นไปอีก สามารถสั่งติดตั้ง
แผงควบคุมแบบ Satin chrome jewellery pack และแป้น Paddle Shift เปลี่ยน
เกียร์ หลังพวงมาลัย เป็นสีดำ เพิ่มเติมได้อีกด้วย
ชุดเครื่องเสียง เป็นระบบ AMi (Aston Martin infotainment) แผงควบคุม
ระบบสัมผัส Touch ประกอบด้วยวิทยุ AM/FM พร้อม ช่องเสียบเชื่อม iPod
iPhone และช่องเสียบ USB สำหรับไฟล์เพลงรูปแบบต่างๆ อีกทั้งยังใช้ระบบ
เชื่อมต่อสัญญาณโทรศัพท์มือถือแบบ A2DP Bluetooth audio and phone
streaming พร้อมระบบนำทางผ่านดาวเทียม GPS Navigation System จาก
Garmin แบบดึงข้อมูลจาก Hard Disk Drive (HDD) พร้อมหน้าจอมอนิเตอร์
สี ขนาด 6.5 นิ้ว พับเก็บได้
แต่ถ้ายังไม่สะใจ ยังสามารถเลือกติดตั้งชุดเครื่องเสียง แบบ 13 ลำโพง ขนาด
1000 W จาก Bang & Olufsen รุ่น BeoSound พร้อมระบบความบันเทิงแบบ
Infotainment system (AMi) with capacitive switching ได้อีกด้วย!
ด้านความปลอดภัย นอกเหนือจาก ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลม
นิรภัย รวมทั้งเข็มขัดนิรภัยแบบ Pre-tensioner & Load Limiter แล้ว Vanquish
ยังใช้โครงสร้างตัวถังแบบ Aluminium โดยมีแผ่นตัวถังผลิตจาก Carbon Fibre
เช่นเดียวกับ ชิ้นส่วน Spliter ด้านหน้า , Defuser ใต้กันชนหลัง และที่ปัดน้ำฝน
(ไม่รวมใบปัด) ก็ทำจาก Carbon Fibre เช่นเดียวกัน! เสริมด้วยโครงสร้างประตู
ทำจาก Magnisium น้ำหนักเบา ส่วนฝากระโปรงหน้าก็ทำจาก Titanium อีกด้วย!
ไฟหน้าเป็นแบบ Bi-Xenon โคมเดียว แต่ มีหลอดไฟ LED ทั้งด้านข้าง และชุด
ไฟเลี้ยวในตัว
********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********
รุ่นเริ่มต้นของ ตระกูล Vantage นั่นคือ V8 Vantage วางขุมพลังที่เกิดจาก
การนำเครื่องยนต์ AJ-V8 บล็อค 8 สูบ DOHC 32 วาล์ว กำลังอัด 11.3 : 1
ของ Jaguar มาเปลี่ยนชิ้นส่วนและปรับแต่งใหม่ เช่นการเปลี่ยนบล็อคของ
เสื้อสูบ, หัวลูกสูบ, เพลาข้อเหวี่ยง, เพลาลูกเบี้ยว,ท่อร่วมไอดีและไอเสีย,
ระบบหล่อลื่น และกล่องสมองกล ระบบการจัดการเครื่องยนต์ เป็นต้น ให้
เป็นชิ้นส่วนใหม่ ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของเครื่องยนต์บล็อคนี้ด้วย กำลัง
สูงสุด426 แรงม้า (PS) ที่ 7,300 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 470 นิวตันเมตร
(47.92 กก.-ม.) ที่ 5,000 รอบ/นาที ปล่อยก๊าซ CO2 299 กรัม/กิโลเมตร
แต่รุ่น V12 Vantage S จะยกระดับความแรงขึ้นมาแบบก้าวกระโดด ด้วยการ
นำ เครื่องยนต์ AM11 บล็อค V12 DOHC 42 วาล์ว 5,935 ซีซี ที่ประจำการ
ใน V12 Vantage และ DB9 มาปรับปรุงและรีดสมรรถนะจากเดิม 517 แรงม้า
(PS) ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 620 นิวตันเมตร (63.22 กก.-ม.) ที่
5,500 รอบ/นาที
ให้กลายเป็นเครื่องยนต์ AM28 บล็อค V12 DOHC 42 วาล์ว 5,935 ซีซี
ให้กำลังสูงสุด 573 แรงม้า (PS) ที่ 6,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 620
นิวตันเมตร (63.22 กก.-ม.) ที่ 5,750 รอบ/นาที ปล่อยก๊าซ CO2 343
กรัม/กิโลเมตร
ส่วนรุ่นแพงสุดอย่าง Vanquish แน่นอนว่าต้องใช้ขุมพลังที่แรงที่สุด
ของค่าย อย่าง AM29 ที่นำเอาเครื่องยนต์ AM28 V12 DOHC 48 วาล์ว
5,935 ซีซี มาปรับจูนให้แรงขึ้นกว่าเดิมอีกนิดนึง
ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งกล่อง ECU เพิ่มจากเดิมที่ 1 กล่องต้องคอยควบคุม
การทำงานของทั้ง 12 สูบ ให้มี 2 กล่อง โดยที่แต่ละกล่องจะควบคุมการ
ทำงานของลูกสูบแยกฝั่งซ้ายและขวา ฝั่งละ 6 สูบ
อย่างไรก็ตาม ตำแหน่งติดตั้งของกล่อง ECU วางอยู่ด้างหลังกระจังหน้า
ติดกับซุ้มล้อฝั่งซ้ายและขวา ทำให้แอบคิดไม่ได้ว่า ถ้าเผลอขับรถไปชน
แถวๆซุ้มล้อ หรือต้องมาลุยน้ำท่วมในถนนเมืองกรุงเทพ สงสัยมีแววได้
เปลี่ยนกล่อง ECU ใหม่ราคาแสนแพงก่อนเวลาอันควรแน่ๆ
กำลังสูงสุดพุ่งขึ้นไปถึง 576 แรงม้า (PS) ที่ 6,650 รอบ/นาที แรงบิด
สูงสุด 630 นิวตันเมตร (64.24 กก.-ม.) ที่ 5,500 รอบ/นาที ปล่อยก๊าซ
CO2 298 กรัม/กิโลเมตร
ด้านระบบส่งกำลัง รุ่น V8 Vantage จะใช้ระบบระบบขับเคลื่อนล้อหลังด้วย
เกียร์กึ่งอัตโนมัติ 7 จังหวะ Sportshift 2 มาพร้อมกับเฟืองท้าย Limited Slip
ไม่มีตัวเลขอัตรา ทดเกียร์มาให้ แต่มีตัวเลขอัตราทดเฟืองท้ายอยู่ที่ 3.909 : 1
แต่ถ้าเป็นรุ่น V12 Vantage S จะส่งกำลังสู่ระบบขับเคลื่อนล้อหลังด้วยเกียร์
กึ่งอัตโนมัติ 7 จังหวะ Sportshift 3 AMT ที่รองรับแรงบิดได้มากกว่าเกียร์รุ่น
Sportshift 2 ด้วยการเพิ่มแผ่นคลัทช์คู่และ Slave Cylinder ที่ยกมาจาก
One-77 มีเฟืองท้าย Limited Slip อัตราทดเกียร์ มีดังนี้
เกียร์ 1…………………………..3.286
เกียร์ 2…………………………..2.158
เกียร์ 3…………………………..1.609
เกียร์ 4…………………………..1.269
เกียร์ 5…………………………..1.034
เกียร์ 6…………………………..0.848
เกียร์ 7……………………………..0.675
เกียร์ถอยหลัง…………….……3.286
อัตราทดเฟืองท้าย……………3.727
ส่วน Vanquish แรกเริ่มเดิมที ใช้เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ แต่รุ่นปี 2014
เป็นต้นมา จะถ่ายทอดกำลังสู่ระบบขับเคลื่อนล้อหลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ
ลูกใหม่ 8 จังหวะ Touchtronic 3 จาก ZF ซึ่งพัฒนาให้เปลี่ยนเกียร์ ได้
ฉับไว ในเวลาเพียง 130 Milliseconds เท่านั้น พร้อมเฟืองท้าย Limited
Slip เช่นกัน มีอัตราทดเกียร์ดังนี้
เกียร์ 1…………………………..4.714
เกียร์ 2…………………………..3.143
เกียร์ 3…………………………..2.106
เกียร์ 4…………………………..1.667
เกียร์ 5…………………………..1.285
เกียร์ 6…………………………..1.000
เกียร์ 7……………………………..0.839
เกียร์ 8……………………………..0.662
เกียร์ถอยหลัง……………….….3.317
อัตราทดเฟืองท้าย…………….2.73
ตัวเลขสมรรถนะจากโรงงานเคลมไว้ว่า แต่ละรุ่น สามารถทำอัตราเร่ง
0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง และความเร็วสูงสุด ได้ดังต่อไปนี้
V8 Vantage.………………. 4.9 วินาที และ 290 กิโลเมตร/ชั่วโมง
V12 Vantage S……………. 3.9 วินาที และ 328 กิโลเมตร/ชั่วโมง
Vanquish….……………….. 3.8 วินาที และ 324 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ตัวเลขจากโรงงานจะสวยหรูแค่ไหน แต่เมื่อมาเจอสภาพอากาศ
ร้อนตับแล่บ ตอนเที่ยงตรง อุณหภูมิ แถวๆ 35 องศาเซลเซียส ใน
จัหวัดชลบุรี กลางแจ้ง ทีมงานของพี่เบี๊ยบ จัดให้เราได้ลองขับ
ในโหมด จับเวลา 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง กันด้วย และผลลัพธ์
จากการกดนาฬิกาจับเวลา ด้วยมือของผมเอง ในสภาพของรถที่
มีคนขับเพียงแค่ผม คนเดียว นั่งตามลำพัง โดยไม่ทราบชนิดของ
น้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ (แน่นอนละว่าต้องเป็น ออกเทน 95 แต่เรา
ไม่รู้ว่า เติมน้ำมันอะไรกันมาก่อนให้เราลองขับ) มีดังนี้
0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง (35 องศาเซลเซียส คนขับ 1 คน)
V12 Vantage S……………….. 5.65 วินาที
V12 Vanquish ……………….. 5.97 วินาที
พูดกันตรงๆ ผมหวังจะเห็นตัวเลขดีกว่านี้ เพราะแรงดึงกระชาก
ที่เกิดขึ่้น ทำเอาหลังของผม ติดเบาะ ขณะที่ตัวรถกำลังพุ่งพรวด
ขึ้นไปข้างหน้า อย่างรวดเร็ว
แต่ก็ต้องทำใจครับ อากาศเมืองไทยมันร้อน ผิวแทร็คสนามพีระฯ
ตอนเที่ยงตรง หนำซ้ำ ตัวรถยังถูกขับวนไปเวียนมาหลายๆรอบ
สภาพเครื่องยนต์ และของเหลวในระบบทั้งหมด คงร้อนฉ่าได้ที่
จนทำให้ตัวเลขออกมา เป็นอย่างที่เห็น
อีกทั้ง ระบบเกียร์ของ V12 Vantage S ยังคงเป็นแบบ กึ่งอัตโนมัติ
ซึ่งมีรูปแบบพื้นฐาน คล้ายกับเกียร์ Selespeed ของ Alfa Romeo
เกียร์ AMT ใน Proton Savvy และ MG 3 ดังนั้น การเปลี่ยนเกียร์
จึงยังมีอาการกระตุก ไม่ราบเรียบเท่าที่ควร หากเปลี่ยนมาใช้เกียร์
อัตโนมัติ แบบปกติ 8 หรือ 9 จังหวะ ไปเลย น่าจะช่วยให้ตัวเลข
ออกมาดีกว่านี้
ถึงกระนั้นก็เถอะ ผมยังสัมผัสได้ว่า ทั้งคู่ แรงพอๆกัน ดึงกระชาก
ให้แผ่นหลังของคุณติดเบาะนั่ง ไม่แพ้กัน แต่ให้สัมผัสและความ
รู้สึกหลังพวงมาลัย ที่แตกต่างกัน ชัดเจน
V12 Vantage S จะดึงกระชากคุณพุ่งออกไปอย่าง ดุดัน ดิบเถื่อน
มากกว่า จนเห็นได้ชัด ขณะที่ Vanquish จะพาคุณพุ่งออกไปอย่าง
รวดเร็วพอๆกัน แต่ไม่ได้เกรี้ยวกราดเท่า
ถ้าให้เปรียบเป็นคน V12 Vantage S ก็น่าจะเปรียบได้กับนักแข่งรถ
ฝีมือแนวหน้า แต่อารมณ์ร้าย ที่พร้อมจะอาละวาดฟาดงวงฟาดงาใส่
บรรดาเพื่อนร่วมทีม หรือทุกคนที่ทำให้เขาโมโห
ขณะที่ Vanquish ก็จะมาในมาด เจ้าของทีมแข่ง ที่แรงแต่นิ่งพอจะ
กำราบอารมณ์เดือดเลือดพล่าน ของ V12 Vantage S ได้ในระดับ
พอๆกัน แต่เขาจะเลือกใช้วาจาที่เชือดเฉือน ผ่านคมความคิด จน
บาดลึก ทำให้นักแข่งจอมโมโหร้าย ถึงขั้นกระฟัดกระเฟียด และเดิน
ออกจากการประชุมทีมแข่งได้ทันที!
V12 Vantage S ติดตั้ง พวงมาลัยแร็คแอนด์พิเนียนพร้อมเพาเวอร์ช่วยผ่อนแรง
แบบไฮโดรลิก ธรรมดา หมุนจากซ้ายสุดไปขวาสุด ได้ 2.6 รอบ ปรับระดับได้ทั้ง
สูง – ต่ำ และระยะใกล้ – ห่าง ซึ่งเซ็ตอัตราทดมาค่อนข้างไว มีน้ำหนักพวงมาลัย
ค่อนข้างมาก แต่นั่นก็จำเป็นอย่างยิ่ง สำหรับการขับขี่ในสนามแข่ง
ในขณะเข้าโค้ง พวงมาลัยค่อนข้างแม่นยำ ระยะฟรีน้อยมาก หนืดในแบบที่
เราคาดหวังจะพบในรถสปอร์ตสมรรถนะสูง คือต้องหนืดกว่ารถเก๋งบ้านๆปกติ
เยอะพอสมควร แต่ก็ไม่หนักเกินแบบพวงมาลัย “เพาเย่อ” ของรถยุคโบราณกาล
แต่ในบางครั้ง หากทำความเร็วมาอย่างต่อเนื่อง แล้วต้องเข้าโค้งยาว คุณอาจต้อง
ออกแรงหมุนขืนพวงมาลัย ให้เลี้ยวไปในทิศทางที่ต้องการ มากกว่าปกติหน่อยๆ
ระบบกันสะเทือนหน้าและหลังเป็นแบบ ปีกนกคู่ Double Wishbone Incorporating
Anti-dive Geometry พร้อมคอล์ยสปริง, เหล็กกันโคลง, ช็อกอัพ monotube adaptive
dampers และ 3 Stage Damping System ที่สามารถปรับโหมดการขับขี่ได้ 3 รูปแบบ
คือ โหมดปกติ (นี่ก็ไม่ได้นุ่มเลย), โหมด Sport (แข็งขึ้นป และ โหมดสนามแข่ง
(แข็งโคตรๆ อีกนิดก็เกวียนแล้วเถอะ!)
ในเมื่อรถคันนี้ ถูกเซ็ตมาให้มีบุคลิก ดิบๆ เถื่อนๆ ในระดับกลางๆ คุณจึงไม่ควร
ถามหาความนุ่มสบายจาก V12 Vantage S เพราะในขณะที่คุณกำลังควบมันอยู่
คุณจะรับรู้ได้เลยว่า พื้นผิวถนนที่กำลังแล่นผ่านนั้น พื้นผิวยางมะตอย โดยสะกิด
ถากลงไปแล้ว ลึกกี่มิลลิเมตร หรือโก่งตัวขึ้นมามากน้อยแค่ไหน ก้อนกรวดที่เพิ่ง
แล่นทับ มีลักษณะอย่างไร คุณจะรับรู้สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดได้ ผ่านทางพวงมาลัย
และเบาะรองนั่งอย่างเต็มที่ ไม่มีอ้อมค้อม ไม่ออมแรงสะเทือนใดๆให้เลย
ต่อให้ปรับเป็นช่วงล่างโหมดปกติ ก็แทบไม่ต้องมองหาความนุ่มสบายใดๆทั้งสิ้น
แต่นั่นคือสิ่งที่คุณจำเป็นต้องยอมแลก เพื่อให้ได้มาซึ่งการยึดเกาะบนผิวแทร็ก
ที่หนึบแน่น มั่นใจได้พอประมาณ ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ และอุปนิสัยในการ
ควบคุมรถของคุณ ถ้าอยากบู๊มาก รถก็พร้อมจะพาคุณพุ่งจนเกินลีมิตของมันได้
อย่างรวดเร็ว แต่ถ้าคุณยังเป็นพวกมือใหม่ ผ่านหลักสูตรขับรถ Safety Driving
ขั้นพื้นฐานมาบ้าง มันก็ยังจะพาคุณเข้าโค้งไปได้สบายๆ ถ้าคุณไม่ “เสี้ยน”
เกินไปนัก
หากคุณยังไม่เคยลองขับรถสปอร์ตคันไหนมาก่อนเลย ขอแนะนำว่า อย่าเพิ่ง
เริ่มต้นประสบการณ์ด้วย V12 Vantage S โดยเด็ดขาด แม้ว่ารถจะกระชับ
แน่นหนา ดูท่าทางน่าไว้วางใจ แต่มันก็เหมือนกับ ม้านั่นละครับ ถ้าเกิดคุณ
เล่นสนุกไม่ดูตาม้าตาเรือขึ้นมา มันพร้อมจะพยศ จนถึงขั้นที่คุณอาจบังคับ
ไม่อยู่มือได้ พูดง่ายๆก็คือ มันพร้อมจะดื้อกับคุณได้ง่ายกว่าที่คิดนั่นละ
แต่สำหรับคนที่มีประสบการณ์กับรถสปอร์ตมานักต่อนักแล้ว บุคลิกดิบเถื่อน
แบบ V12 Vantage S จะยิ่งสร้างความเร้าใจ มากเสียจนคุณอยากจะหวดมัน
ไปรอบๆ สนามแข่ง ต่อจากเดิมอีกสัก 2-3 รอบ หลังจากนั้น คุณจะลงจากรถ
ด้วยอาการเหนื่อยล้าพอให้เมื่อยได้นิดๆ อยากหลีกเลี่ยงไม่ได้
ระบบเบรคเป็นดิสก์เบรค 4 ล้อ จานเบรคทำจาก Carbon Ceramic ที่เบากว่า
จานเบรคแบบเหล็กถึง 12 กิโลกรัม และยังช่วยลดอาการ Fade ของเบรคและ
ทนความร้อนได้มากขึ้น จานเบรคหน้ามีขนาด 398 มิลลิเมตร พร้อมคาลิปเปอร์
6 สูบ จานเบรคหลังมีขนาด 360 มิลลิเมตร พร้อมคาลิปเปอร์ 4 สูบ มาพร้อมกับ
ระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti Lock Braking System) ระบบกระจายแรง
เบรก EBD (Electronics Brake Force Distribution) ระบบเพิ่มแรงเบรก
ในภาวะฉุกเฉิน EBA (Emergency Brake Assist) ระบบช่วยออกตัวบนทาง
ลาดชัน HAS (Hill Start Assist) ระบบช่วยเบรคไฮโดรลิก (Hydraulic Brake
Assist) ระบบควบคุมแรงบิด PTC (Positive Torque Control) ระบบควบคุม
เสถียรภาพของรถ DSC (Dynamic Stability Control) พร้อมโหมดสนามแข่ง
(Track Mode)
ระบบ DSC สามารถเลือกการทำงานได้ 3 แบบ ในโหมดปกติ ระบบช่วยเหลือ
จะคอยควบคุมการทรงตัวของรถอยู่ตลอดเพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่ ถ้าเรา
กดปุ่ม DSC ค้างไว้ 4 วินาที ระบบจะเข้าสู่โหมดสนามแข่ง ซึ่งระบบจะทำงาน
อยู่ตลอดเหมือนโหมดปกติ แต่จะทำงานช้าลงกว่าปกติ เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถเล่น
ในทางโค้งได้มากกว่าเดิม แต่ยังมีระบบคอยช่วยเหลืออยู่ และถ้าเรากดปุ่ม DSC
ต่อไปอีก 5 วินาที ระบบช่วยเหลือทุกอย่างจะถูกปิดอย่างสมบูรณ์เพื่อให้ผู้ขับขี่
สามารถแสดงฝีมือได้อย่างเต็มที่โดยปราศจากระบบช่วยเหลือใดๆ
ในการขับขี่จริง แป้นเบรกค่อนข้างหนัก และต้องออกแรงเหยียบมากพอควร
ยิ่งถ้าเจอสภาพอากาศร้อนเข้าไปด้วยแล้ว เบรก Ceramic ของ V12 Vantage S
จะเริ่มออกอากาศชัดเจนขึ้นว่า ต้องเหยียบลงไปให้หนักหน่วงขึ้นอีก จึงจะ
ชะลอรถลงมาจนหยุดนิ่งอยู่หมัด ยิ่งในระยะ จาก 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง จน
ถึงจุดหยุดนิ่งแล้ว คุณจะเหยียบเบรกด้วยน้ำหนักเท้าแบบเดียวกับที่ใช้เหยียบ
แป้นเบรกรถเก๋งบ้านๆทั่วไป ไม่ได้เลยละ
กระนั้น ถ้าอุณหภูมิเย็นลงมาในระดับที่เหมาะสม (คือยังร้อนอยุ่นะ) เบรก
จะทำงานได้ดีขึ้น และให้ความมั่นใจในขณะ ขับไล่ตามๆกันในสนามพีระ
ได้ดีกว่า Vanquish อย่างชัดเจน
มาดู Vanquish กันบ้าง
พวงมาลัยของ Vanquish เป็นแบบแร็คแอนด์พิเนียนพร้อมเพาเวอร์ไฮโดรลิก
ช่วยผ่อนแรง แต่สามารถปรับน้ำหนักได้ตามความเร็วของรถ ปรับระดับสูง – ต่ำ
และระยะใกล้ – ห่าง ได้ หมุนจากซ้ายสุดถึงขวาสุด ได้ 2.6 รอบ เท่ากับ V12
Vantage S แต่เซ็ตอัตราทดเฟืองพวงมาลัยไว้ที่ 15.1 : 1 ซึ่งเป็นตัวเลขที่ผมว่า
เหมาะสมดีแล้ว
เพราะในการขับขี่จริง พวงมาลัยของ Vanquish แม่นยำและไวกำลังดี คล้าย
พวงมาลัยของ V12 Vantage S แต่น้ำหนักตขณะหมุนพวงมาลัยตอนจอดนิ่ง
เบากว่านิดหน่อย การควบคุมบังคับเลี้ยวลัดเลาะไปตามโค้ง เบากว่ากันเพียง
แค่นิดเดียว ถือว่า มั่นใจได้ในระดับที่รถยนต์แบบ GT ควรเป็น คือยังไม่ถึง
ขั้นของรถแข่ง แต่ไม่ต้องออกแรงมากเท่ากับ V12 Vantage S
ระบบกันสะเทือนหน้าและหลังเป็นแบบอิสระ ปีกนกคู่ Double Wishbone
พร้อมคอยล์ สปริง เหล็กกันโคลง, ช็อกอัพแบบ Monotube adaptive dampers
และ 3 Stage Damping System ที่สามารถปรับโหมดการขับขี่ได้ 3 รูปแบบ คือ
โหมดปกติ (แน่น), โหมด Sport (แน่นหนึบขึ้น) และ โหมดสนามแข่ง (แข็ง)
ช่วงล่างที่แน่นหนึบ แต่นุ่มกว่า V12 Vantage S ทำให้ Vanquish เหมาะกับ
การขับขี่ใช้งานทั้งในเมือง หรือเดินทางไกลในชีวิตประจำวัน มากกว่ากัน
อย่างชัดเจน แน่ละครับ การเซ็ตรถยนต์ในสไตล์ Grand Touring นั้น ยัง
ไม่ต้องเน้นให้แข็งโป้กเป็นรถแข่งสักหน่อย รถประเภทนี้ เขาเน้นความ
สบายในการเดินทางไกล แต่ต้องมีความมั่นใจในระดับสูงกว่ารถยนต์บ้านๆ
ทั่วไปด้วย นุ่มกว่ารถแข่ง แต่ต้องมั่นใจไม่แพ้รถแข่ง นี่คือสิ่งที่ Vanquish
มีพร้อมให้คุณได้เต็มที่
การเข้าโค้งบนสนามพีระนั้น ชัดเจนว่านอกเหนือจากช่วงล่างที่เซ็ตมาให้
แน่น หนึบ จะพยายามสร้างการยึดเกาะถนนได้อย่างดียิ่งแล้ว ชัดเจนว่า
โครงสร้างตัวถังอะลูมีเนียม พร้อมเปลือกตัวถังแบบ Carbon Fiber ของ
Vanquish ยืดหยุ่น ให้ตัว คืนรูปได้อย่าง Flexible กว่า V12 Vantage S
อย่างชัดเจน ซึ่งนั่นช่วยให้การขับขี่ สบายขึ้น แต่ยังคงไว้ซึ่งความสนุก
ในการเข้า – ออกจากโค้ง ในรูปแบบต่างๆ ได้อย่างเร้าใจใกล้เคียงกับ
น้องชายจอมดิบ
แม้ว่าช้อกอัพจะสั้น และมีระยะยุบตัวของช็อกอัพไม่มากนัก แต่การซับ
แรงสะเทือนจากพื้นถนนของ Vanquish ก็ถือว่าทำได้น่าพอใจ ในแบบ
ที่เราคาดหวังจากรถยนต์ประเภท GT ระดับ Luxury Premium อย่างนี้
ลงจากรถแล้ว ไม่ค่อยเหนื่อยเลย ผมยังคิดว่า อยากจะสนุกกับรถคันนี้
ต่ออีกหลายๆรอบด้วยซ้ำ
ระบบเบรคเป็นดิสก์เบรคคาร์บอนเซรามิคเหมือนกับ V12 Vantage S พร้อม
กับระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti Lock Braking System) ระบบกระจาย
แรงเบรก EBD (Electronics Brake Force Distribution) ระบบเพิ่มแรงเบรก
ในภาวะฉุกเฉิน EBA (Emergency Brake Assist) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี
TC (Traction Control) ระบบช่วยเบรคไฮดรอลิก HBA (Hydraulic Brake
Assist) ระบบควบคุมแรงบิดในขณะขับขี่ PTC (Positive Torque Control)
ระบบควบคุมเสถียรภาพของรถ DSC (Dynamic Stability Control) พร้อม
โหมดสนามแข่ง
พูดกันอย่างตรงไปตรงมา เบรกของ Vanquish ยังไม่ค่อยน่าไว้ใจนักเมื่อ
เทียบกับสมรรถนะของมันที่มีอยู่ ยิ่งในสภาพอากาศร้อนจัด ตอนเที่ยงๆ
และหลังจาก ที่ตัวรถ ผ่านมือนักขับมาหลายคนแล้ว ระบบเบรกเริ่มออก
อาการ เอาไม่อยู่ขึ้นมาบ้างเหมือนกัน
ต่อให้เป็นช่วงบ่าย อันเป็นช่วงที่เราจะต้องขับรถในสนาม ไล่ตามกันเป็น
ช่วง Hot Laps แม้สภาพอากาศจะลดความร้อนลงมาเยอะแล้ว แต่ถ้าหาก
ผมไปนั่งขับ Vanquish เมื่อใด ผมต้องเว้นระยะห่างจากรถคันข้างหน้าไว้
ให้มากขึ้นจากที่ตั้งใจไว้อีกนิดหน่อย เผื่อไว้ว่า ถ้าเกิดผมเหยียบเบรกลงไป
แล้ว มันยังไม่มากพอที่จะทำให้รถชะลอลงได้ ก็จะยังมีพื้นที่เหลือพอให้
แก้ไขสถานการณ์ได้บ้าง
ในการใช้งานปกติ ระบบเบรกที่ติดมากับรถอาจจะเพียงพอ แต่ถ้าคุณ
เป็นพวกชอบซัดชอบหวด ผมเริ่มหวั่นใจว่า ระบบเบรกของ Vanquish
อาจไม่คณาเท้าขวาคุณมากพอเนี่ยสิ
***************สรุป (เบื้องต้น)***************
ถ้าชอบขับรถแบบดิบๆ ดุดัน ไปหา V12 Vantage S
แต่ถ้าอยากแรงด้วย ขับสบายขึ้นด้วย ก็ต้อง Vanquish
การได้มีโอกาสลองขับ Aston Martin ในสนาม พีระ ตลอดทั้งวันนั้น เป็น
ประสบการณ์ดีๆ ที่ทำให้ผมได้ทำความรู้จักกับ ตัวตน และบุคลิกที่แท้จริง
ของตระกูลรถสปอร์ต ระดับ Super Car จากสหราชอาณาจักร รายนี้ได้
ดียิ่งขึ้น
ยิ่งการได้มาลองสัมผัสทั้งรุ่นที่ได้ชื่อว่า แรงสุดในตระกูล กับรุ่นหรูสุดใน
ตระกูล ควบคู่กันไปในคราวเดียวแบบนี้ ยิ่งทำให้ได้รับรู้รสชาติของความ
แตกต่างที่แปลกไปจากความเชื่อเดิมๆของผมไปไม่น้อย
ภาพรวมของทั้ง 2 รุ่น แตกต่างกันอย่างชัดเจน V12 Vantages S จะ ดิบและ
พร้อมดึงอารมณ์เถื่อนของคุณให้ออกมาโลดแล่นบนผิวแอสฟัลต์ ได้มากกว่า
ในขณะเดียวกัน Vanquish คันสีแดงเลือดนก พร้อมจะให้ความรื่นรมณ์ใน
การขับขี่มากกว่า Aston Martin รุ่นอื่นๆ
ผมคิดว่า V12 Vantage S น่าจะแรงขึ้นกว่า V8 Vantage รุ่นปกติ นิดหน่อย
แต่พอขับจริง โอ้โห! นอกจากจะแรงกว่าเยอะแล้ว ยังดิบ และดุดันกว่ากัน
อย่างชัดเจนมากๆ จนกลายเป็น รถสปอร์ตที่เหมาะจะขับเล่นในสนามแข่ง
มากกว่าที่จะขับใช้งานในชีวิตประจำวัน มันสนุก แน่นระดับตึงเปรี๊ยะ ดุจ
กาแฟดำรสชาติเข้มข้น ไม่ผสมอะไรเลยทั้งสิ้น ดิ้นพอประมาณ ให้แอบ
เสียวซ่านเล่นๆ
แต่ Vanquish คันสีแดงเลือดนกนั้น ผมคาดว่ามันน่าจะขับสบายกว่ากัน
พอสมควร พอเอาเข้าจริง ความสนุกจากแรงดึงในขณะออกตัว และช่วง
เร่งทางตรง แทบไม่ได้หนีกันเลย มันแรงจนผมแอบเหวอไปด้วยซ้ำ
ต้องถึงช่วงเข้าโค้ง นั่นแหละ จึงจะเห็นความแตกต่างว่า การให้ตัวของ
โครงสร้างตัวถัง ซึ่งมี Carbon Fiber แปะอยู่รอบคันนั้น มันให้ผลลัพธ์
ออกมาได้ดี ทั้งในด้านน้ำหนักซึ่งเบา และส่งผลให้เกิดความคล่องตัว
ขณะบังคับเลี้ยว มากขึ้นนิดหน่อย รวมทั้งการเซ็ตพวงมาลัย และเบรก
มาให้เอาใจคนชอบขับรถแรงแต่ยังต้องการความสบายหลงเหลืออยู่บ้าง
เสียแค่ว่า อาจต้องยอมจ่ายเงินเพิ่ม เพื่อ Upgrade ระบบห้ามล้อสักหน่อย
เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ ให้สมกับสมรรถนะของรถมากกว่านี้
จากใบเสนอราคาที่ส่งมาถึงมือผมในตอนนี้
V8 Vantage………………..13,500,000 บาท
V12 Vantage S…………….18,900,000 บาท
Vanquish……………………24,900,000 บาท
ถ้าให้ผมต้องเลือก ผมกลับอยากเดินไปเปิดประตูเข้าไปนั่งใน Vanquish
มากกว่า เพราะมันเป็น Grand Tourer 2 ประตู ที่สามารถใช้งานในชีวิต
ประจำวันได้ แรงพอที่จะไล่บี้ และสอนมวยพวก Ferrari และ Porsche
รุ่นล่างๆ ซึ่งขับโดย วัยรุ่นเสี้ยนๆ ได้สบายๆ เหลือเฟือ
แน่ละครับ บุคลิก โฉบเฉี่ยว แต่เรียบๆ ไม่โฉ่งฉ่าง คือสิ่งที่ทำให้บรรดา
ลูกค้าประเภทแฟนประจำของ Aston Martin ติดใจในความมีรสนิยม
แบบนี้ จนถอนตัวไม่ขึ้น
มันเป็นบุคลิกเฉพาะตัวของรถยนต์จากอังกฤษ ที่ผู้รักและคลั่งไคล้ใน
Super Car จากอิตาลี หรือเยอรมัน คงไม่มีวันเข้าใจ…!
——————————///—————————-
ขอขอบคุณ / Special Thanks to
– บริษัท Heritage Motor Sales & Services (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ และอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ อย่างดียิ่ง
– Pao Dominic (Sitsakorn Lertanusak) : สำหรับการเตรียมข้อมูล
—————————————————–
J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน และช่างภาพของผู้จัดงาน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
10 กันยายน 2015
Copyright (c) 2015 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole
without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
September 10th,2015
แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are welcome! CLICK HERE!