All NEW Koenigsegg Gemera
“ Mega-GT 4 ที่นั่ง คันแรกของโลก ” The World’s First Mega-GT and Koenigsegg’s First For Four ผลิตเพียง 300 คัน ทั่วโลก
ราคาอย่างเป็นทางการ (นำเข้า CBU)
- Koenigsegg Gemera 111,098,385 บาท* (ราคาขาย 2,998,000 ยูโร รวมภาษีนำเข้าของประเทศไทย คิดตามอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 20 ตุลาคม 1 ยูโร = 37.05750 บาท)
Koenigsegg (เคอนิกเส็กก์) บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่สั่งสมประสบการณ์ในการสร้างรถ Hypercar สมรรถนะสูงมายาวนาน กว่า 25 ปี สัญชาตสวีเดน นำเข้าโดย บริษัท เจเนอร์รัล ออโต้ ซัพพลาย จำกัด (ในเครือชาริช โฮลดิ้ง Sharich Holding) และ ตัวแทนจำหน่าย Lamborghini ประเทศไทย รายใหม่
ผลิตแค่ 300 คันทั่วโลก ไทยได้โควต้า 4 คัน Production Line เริ่มผลิตปี 2022
อยากเป็นเจ้าของต้องทำอย่างไร ?
- วางเงินจอง 20% เพื่อเปิด PO (Purchase Order)
- ได้เลข VIN Number เพื่อเริ่มผลิตจ่ายอีก 30%
- รอรับรถเร็วที่สุด ไตรมาส3 ปี 2023 – ไตรมาส1 ปี 2024 จ่ายที่เหลืออีก 50%
หากต้องการจัดไฟแนนซ์ ดาวน์ประมาณ 50% ยอดกู้ได้ 60 ล้านบาท
Dimension มิติตัวรถ
- ยาว 4,975 มิลลิเมตร
- กว้าง 1,988 มิลลิเมตร
- สูง 1,295 มิลลิเมตร
- ระยะฐานล้อ wheelbase 3,000 มิลลิเมตร
- ระยะต่ำสุดถึงพื้น Ground Clearance 117 มิลลิเมตร (ด้านหน้ายกได้เพิ่ม 35 มิลลิเมตร)
- ความจุถังน้ำมันเชื้อเพลิง 75 ลิตร
- พื้นที่ห้องเก็บสัมภาระหน้า – หลัง 200 ลิตร
Engine เครื่องยนต์
เครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ Free-valve ขนาด 2.0 ลิตร กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 95.0 x 93.5 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 9.5 : 1 พ่วงเทอร์โบคู่ Twin Turbocharger พละกำลังสูงสุด 598 แรงม้า ที่ 8,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร ที่ 2,000 – 7,000 รอบ/นาที
ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว เมื่อเครื่องยนต์ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ได้พละกำลังสูงสุด 1,700 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 3,500 นิวตันเมตร ระบบส่งกำลัง Single-Speed Direct-drive ขับเคลื่อน 4 ล้อ
ระบบจุดระเบิดเป็นแบบ High power ion sensing Coil-on-plug ควบคุมการทำงานด้วยระบบ Koenigsegg Engine Control Module รองรับน้ำมันสูงสุด E100
ระบบ Free-valve เป็นเทคโนโลยีเครื่องยนต์ไร้แคมชาฟต์ ที่มีแนวคิดริเริ่มมาจาก Christian Von Koenigsegg ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Koenigsegg มีหลักการทำงานโดยใช้ Actuator เป็นอุปกรณ์เปิดวาล์วแทน Camshaft ซึ่งมีกลไกการนำสัญญาณไฟฟ้ามาเปลี่ยนเป็นแรงดันเพื่อเปิดวาล์ว ควบคู่กับสปริงวาล์วที่ทำหน้าที่รับแรงต้านการเปิดวาล์ว และ มีกระเดื่องปรับระยะยกวาล์วซึ่งถูกควบคุมด้วยแรงดันน้ำมัน ส่งผลให้สามารถปรับจูนจังหวะการแปรผันวาล์วได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้น เครื่องยนต์มีขนาดเล็ก และ เบาลง อยู่ที่ 70 กิโลกรัมเท่านั้น
ระบบหล่อลื่นเครื่องยนต์เป็นแบบ Dry Sump Lubrication อาศัยการทำงานของปั๊มน้ำมันเครื่องที่ควบคุมแรงดันด้วยไฟฟ้าในการดูดน้ำมันเครื่องจากอ่าง ผ่านท่อส่ง ไปยังช่องทางเดินน้ำมันเครื่อง แล้วไหลกลับเข้าสู่อ่างน้ำมันเครื่องที่แยกตัวออกจากเครื่องยนต์อีกครั้ง มีข้อดีคือ ไม่ว่ารถจะเข้าโค้งแรงขนาดไหน หรือกระโดดเนินกี่ครั้ง น้ำมันเครื่องก็ยังคงไปหล่อลื่นเครื่องยนต์ได้อย่างไม่ขาดตอน นอกจากนั้นยังไม่สร้างภาระโหลดให้กับเครื่องยนต์ รวมถึงสามารถวางเครื่องยนต์ต่ำลง และมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำลงตามไปด้วย เนื่องจากไม่ต้องเผื่อระยะความสูงของอ่างน้ำมันเครื่องที่อยู่ด้านล่างสุด
มอเตอร์ตัวที่ 1 (E-Motor Hydracoup) ติดตั้งอยู่กับเครื่องยนต์ ให้กำลังสูงสุด 400 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ส่งกำลังไปยังล้อล้อคู่หน้าด้วยระบบ Single-Speed Direct-drive สามารถตัดต่อกำลังเพื่อวิ่งในโหมดการขับขี่ EV Mode ได้ นอกจากนั้น ยังเสริมการทำงานด้วยระบบกระจายแรงบิดขณะเข้าโค้ง Torque Vectoring Control ด้วย
มอเตอร์ตัวที่ 2 และ ตัวที่ 3 จะติดตั้งที่ล้อคู่หลังทั้ง 2 ฝั่ง ให้พละกำลังสูงสุด 500 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 1000 นิวตันเมตร ทำงานแยกกันอย่างอิสระในการขับเคลื่อนไปข้างหน้า และถอยหลัง ติดตั้งระบบคลัทช์เปียก (Wet clutch) และเสริมการทำงานด้วยระบบกระจายแรงบิดขณะเข้าโค้ง Torque Vectoring Control ด้วยเช่นกัน
แบตเตอรี่เป็นขนาด 16.6 kWh แรงดันไฟฟ้าสูงสุด 800 โวลต์ พร้อมระบบระบายความร้อนด้วยน้ำหล่อเย็น
ตัวเลขเคลมจากโรงงาน
- อัตราเร่ง 0 – 100 km/h ภายใน 1.9 วินาที
- อัตราเร่ง 0 – 200 km/h ภายใน 4.9 วินาที
- ความเร็วสูงสุด Top Speed ที่ 400 กิโลเมตร/ชั่วโมง ++
- ระยะทางสูงสุดที่วิ่งได้ด้วยเครื่องยนต์ อยู่ที่ 950 กิโลเมตร
- ระยะทางสูงสุดที่วิ่งได้ด้วยไฟฟ้า อยู่ที่ 50 กิโลเมตร
- ระยะทางสูงสุดที่วิ่งได้รวม (เครื่องยนต์ + ไฟฟ้า) อยู่ที่ 1,000 กิโลเมตร
ระบบบังคับเลี้ยว เป็นแบบ Rack & Pinion พร้อมพาวเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า EPS (Electric Power-assisted Steering) พร้อมระบบเลี้ยว 4 ล้อ (Active Rear Wheel Steering) ช่วงล่างแบบ Double Wishbones พร้อมช็อกอัพแบบ Adjustable Gas-hybraulic ปรับระดับสูง – ต่ำได้ ด้านหน้าสามารถยกตัวสูงขึ้นอีก 35 มิลลิเมตร
ระบบเบรกดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ จานเบรกด้านหน้าเป็นแบบ 6pot มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 415 มิลลิเมตร ความหนา 40 มิลลิเมตร ส่วนจานเบรกด้านหลังเป็นแบบ 4pot มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 390 มิลลิเมตร ความหนา 34 มิลลิเมตร
งานออกแบบภายนอกได้แรงบันดาลใจมาจาก Koenigsegg CC ในปี 1996 ช่องดักลมขนาดใหญ่ที่เชื่อมติดกันทั้ง 2 ฝั่งซ้าย – ขวา ชุดไฟหน้าแบบ LED แบบ 5 Lens มาให้ด้วย บานประตูทั้ง 2 ฝั่ง รองรับการเข้า – ออกจากตัวรถ กลไกการเปิด – ปิดเป็นแบบยกขึ้นทำมุม 90 องศา หรือที่เรียกว่า Koenigsegg Automated Twisted Synchrohelix Doors และ ติดตั้งกล้องมองภาพด้านข้าง ทำหน้าที่แทนกระจกมองข้างแบบปกติมาให้
ด้านหลังมาพร้อมกับชุดไฟท้าย LED ติดตั้งอุปกรณ์ Aero part ทั้งสปอยเลอร์หลังแบบ Built-in และดิฟฟิวเซอร์ใต้เปลือกกันชนหลัง กระจกบังลมหลังขนาบข้างด้วยปลายท่อไอเสียทรงกลมรี
รูปแบบตัวถังของ Koenigsegg Gemera เป็นแบบ 2 ประตู 4 ที่นั่ง ไร้เสา B-pillar โครงสร้างตัวถังและเปลือกตัวถังภายนอกใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ น้ำหนักเบา ในขณะที่ Sub-frame ด้านหน้า และ ด้านหลังผลิตจากวัสดุอะลูมิเนียม
ล้อเป็นแบบ Aircore Carbon ที่ทาง Koenigsegg พัฒนาขึ้นเป็นเจเนอชันที่ 3 มาพร้อมกลไกการล็อกแบบ Center Locking ด้านหน้ามีขนาด 21” x 10.5” ส่วนด้านหลังมีขนาด 22” x 11.5” รัดด้วยยาง Michelin Pilot Sport 4S (มาตรฐาน) และยาง Michelin Cup R3 (อ็อพชันเสริม) ด้านหน้า ขนาด 295/30 ZR21 ส่วนด้านหลัง ขนาด 317/30 ZR22
ภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยวัสดุหุ้มหนังสีดำ และ หนังกลับ Alcantara (สามารถเลือกโทนสีตะเข็บด้าย เป็นอ็อพชันเสริม) มาพร้อมเบาะนั่ง 4 ตำแหน่ง เบาะนั่งคู่หน้าปรับด้วยไฟฟ้า 4 ทิศทาง สวิตช์กระจกหน้าต่างไฟฟ้า ช่องวางแก้ว พร้อมระบบทำความเย็น และ อุ่นร้อน 8 ตำแหน่ง, ระบบปรับอากาศแบบ 3-Zone หน้าจอแสดงผลขนาด 13 นิ้ว หน้า – หลัง พร้อมชุดเครื่องเสียง Koenigsegg High-end Audio ลำโพง 11 ตัว รวม SubWoofer รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay ข่องเชื่อมต่อ USB และ แท่นชาร์จโทรศัพท์ไร้สาย Wireless Charger มาให้ด้วย
“ Koenigsegg ” (เคอนิกเส็กก์) แบรนด์ HyperCars สัญชาติสวีเดน ที่สร้างสถิติโลกไว้หลายรายการ
- ปี 2002 Guinness World Records ยกให้ Koenigsegg CC8S เป็นรถ Production Car ที่มีเครื่องยนต์ทรงพลังที่สุดในโลก
- ปี 2005 Koenigsegg CCR กลายเป็นรถ Production Car ที่เร็วที่สุดในโลก โดยการทำลายสถิติโลก ด้วยความเร็วที่ 387.86 km/h
- ปี 2007 Koenigsegg CCXR ถูกยกให้เป็น HyperCars ‘ พลังงานสะอาด ‘ คันแรกของโลก นับเป็นจุดเริ่มต้นครั้งสำคัญของวงการรถสปอร์ตที่หันมาให้ความสำคัญกับ ‘ พลังงานสะอาด ‘ อย่างแท้จริง ด้วยการออกแบบที่พัฒนาให้ตัวรถสามารถรองรับเชื้อเพลิง E85 และ ยังสร้างแรงม้าสูงสุดถึง 1,018 แรงม้า ซึ่งสูงสุดในโลก ณ ขณะนั้น
- ปี 2011 Koenigsegg Agera R ทำลายสถิติด้านความเร็วสูงสุดอีกครั้ง โดยทำเวลาอัตราเร่ง 0-300 km/h ได้เร็วกว่าที่ Koenigsegg CCX ทำไว้ในปี 2551 ถึง 8 วินาที ถือเป็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับคู่แข่งในระดับเดียวกัน หลังจากนั้นก็มีความพยายามที่จะทำลายสถิติเรื่อยมา จนปี 2558 Koenigsegg One : 1 ทำลายสถิติของ Agera R มากกว่า 3 วินาที
- ปี 2017 Koenigsegg Agera RS ได้ทำสถิติความเร็วสูงสุดในรถ Production ด้วยความเร็ว 447.19 km/h
- ปี 2019 สร้างประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ที่อัตราเร่ง 0-400 km/h ภายใน 31.49 วินาที โดย Koenigsegg Regera
- ปี 2020 สร้างความสั่นสะเทือนในวงการอีกครั้ง โดยการเปิดตัว “ Jesko Absolut ” (เยสโก้ แอบซูลุท) เร็วและแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Koenigsegg และจะไม่ผลิตรถคันไหนที่เร็วและแรงกว่านี้อีกแล้วในอนาคต และ “ Gemera ” (เกเมร่า) เป็น Mega-GT (Mega-Gran Turismo) คันแรกของโลก ด้วยที่นั่งที่สามารถรองรับสรีระของผู้ใหญ่ได้ถึง 4 ที่นั่งที่มีเพียง 300 คันทั่วโลก
แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่ >>