ปัจจุบัน Renault กำลังใช้ภาษากายหรือ Design Language ที่ส่วนใหญ่มักมีดีไซน์ด้านหน้ารถรูปแบบไร้กระจังหน้าและไฟหน้าทรงลิ่มยาวมีลูกเล่นหยดย้อยแต่พองาม ดั่งที่เราพึงเห็นจากรถยนต์ Renault ตั้งแต่รุ่นปี 2008 จนถึงปัจจุบัน แต่หาก Renault ยังขืนลาก Design Langauge กันต่อไปจนถึงยุค 2012 ขึ้นไปเห็นทีจะล้าหลังคู่แข่งไปไกล ดังนั้น Renault จึงต้องเร่งหาแรงบันดาลใจใหม่ ๆ เพื่อสรรสร้างภาษากายใหม่สำหรับรถรุ่นใหม่อนาคตเสียแล้ว

ค่าย Renault เริ่มมีชื่อเสียงด้านการออกแบบที่มีทั้งความคิดสร้างสรรค์และสุดกู่ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมาจนน่าได้รับคำยกย่อง(ปนคำด่าในบางรุ่น) ว่าเป็นเจ้าพ่อแห่งรถแนว Avant-Gard แสดงออกผ่านเส้นสายล้ำสมัยเต็มเปี่ยมไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ที่แตกต่างจากคู่แข่งสัญชาติเดียวกันและคู่แข่งในยุโรปด้วยกันเอง แค่เห็นรถ Renault รุ่นใหม่ ๆ แทบไม่ต้องบอกเลยว่าเป็นรถมาจากแดนไหน

รถที่สร้างชื่อโด่งดังด้านการออกแบบคือ Renault Megane เจเนเรชั่นที่ 2 สร้างจุดเด่นใหม่ด้วยบั้นท้ายที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรถย้อนยุค แต่เกลาเส้นสายใหม่แนว Avant-Gard ฉีกแนวการออกแบบบั้นท้ายรถในยุคปี 2002 อย่างมาก แม้เวลาผ่านล่วงเลยจนถึงปัจจุบัน Megane เจเนเรชั่นที่ 2 ก็ยังคงดูทันสมัยไม่เปลี่ยนแปลง ผู้เขียนคิดว่ามันให้อารมณ์ความสดใหม่ตลอดกาลเหมือน Peugeot 405 และ 406 โดยเฉพาะรุ่นหลังที่ยังสวยอยู่เมื่อเทียบกับรถยุคปัจจุบัน

แต่การออกแบบรถที่มีความคิดสร้างสรรค์เอามาก ๆ ก็ใช่ว่าจะตรงใจกับลูกค้าในยุโรปทุกคนเพราะรสนิยมของทุกคนไม่เท่ากัน ถ้าในเมื่อสิ่งเดิม ๆ ยังดีและพอใจกับสิ่งนั้นอยู่ ไฉนเลยจึงจะไปหาของใหม่ที่ไม่ชอบกันล่ะ

Renault และ Citroen เองก็ทราบดีเช่นกันว่าการทำรถแหวกแนวในกลุ่มตลาดที่คนส่วนใหญ่ยังมีความต้องการอยู่มาก ได้แก่ รถขนาดคอมแพคท์ C-Segment เป็นตลาดรถกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็ถือเป็นเสี่ยงแขวนชีวิตตัวเองอยู่บนเส้นด้าย หากรถคอมแพคท์ของตนมียอดขายที่ไม่ดีหรือน่าพึงพอใจนักในตลาดยุโรปยกเว้นบ้านเกิดตนเองนั่นก็เป็นหายนะอย่างหนึ่งที่จะทำให้แบรนด์ล่มสลายในอนาคตได้

โชคดีที่ Renault Megane เจเนเรชั่นที่ 2 ได้รับความนิยมพอสมควรเพราะตัวรถมันดูกลมกลืนไปทุกส่วนไม่มีส่วนใดขัดหูขัดตา มีเพียงบั้นท้ายที่มาแนวล้ำสมัยเท่านั้น แต่สำหรับ Megane เจเนเรชั่นที่ 3 Renault ต้องลดโทนมาให้อยู่ระดับรถร่วมสมัยเหมือนกับคู่แข่งรายอื่น ๆ

การกำเนิด Renault Megane เจเนเรชั่นที่ 3 มาพร้อมกับ Design Language ยุคใหม่ของ Renault ด้วยไฟหน้ายาวโอบล้อมตัวถังและไร้กระจังหน้า ไม่มีส่วนใด ๆ แปลกหรือล้ำสมัยกว่ายุคอันใดเลย แน่นอน Design Language นี้ถูกนำมาใช้กับ Renault Laguna รถขนาด D-Segment และการปรับโฉมของ Clio ซับคอมแพคท์ขายดีของตน

Design Language ยุคปัจจุบันของ Renault สร้างความงุนงงให้กับสื่อมวลชนในยุโรปว่า อยู่ดี ๆ ก็เป็นเจ้าพ่อรถแนว Avant-Gard แล้วไฉนจึงมาเปลี่ยนเป็นแนวอนุรักษ์นิยมหรือ Conservative มากขึ้น?

คำตอบนี้ยังไม่ชัดเจนนักเพราะผู้เขียนก็กำลังหาคำตอบเช่นกัน แต่ถ้าหากดูกันให้ถึงแก่นสารของตลาดรถโลกแล้ว รถที่มียอดขายสูง ๆ ระดับโลกล้วนไม่ใช่รถแนวล้ำยุคไป 2 ก้าวแทบ มีแต่รถที่ล้วนแต่ร่วมสมัยทั้งนั้น แม้ Renault จะกล้าเสี่ยงกับรถตลาดของตนแล้วขายได้ แต่ไม่มีสิ่งใดรับประกันได้ว่าถ้าออกแบบรถรุ่นต่อไปด้วยแนวทางอย่างนี้มันจะประสบความสำเร็จได้อยู่หรือ

เราจึงเห็น Design Language แนว Play Safe มากขึ้นเพื่อเอาใจคนส่วนใหญ่ของตลาดยุโรปมากกว่า Design Language ยุคระหว่างปี 2000-2007 ที่ฉีกแหวกแนว หนำซ้ำบางรุ่นก็ฉีกแนวเกินไปเพราะรูปแบบตัวถังบางรุ่นไม่ชัดเจน(ทำนองว่าหัวมังกุดท้ายมังกือ) เราจึงได้เห็นความล้มเหลวของ Avantime และ Vel Satis กัน ลองคิดเล่น ๆ ว่าหากรถทั้งสองคันมีความชัดเจนด้านตัวถังมากกว่านี้เช่นเป็นรถแนวสปอร์ตคูเป้ หรือเป็นซาลูนยักษ์เราเชื่อว่ายอดขายน่าจะเดินและยืนยงเหมือน Megane ด้วยซ้ำ

Design Language ยุคปัจจุบันก็เริ่มเข้าสู่ปี 2010 ก็เหลือเวลาอีกไม่นานนักที่แนวเส้นภาษากายนี้จะเตรียมตัว “ตกยุค” ขืน Renault ยังกล้าลาก Design Language ระดับนี้แล้วล่ะก็เห็นทีจะสู้คู่แข่งได้ยาก

ดังนั้น Renault จึงต้องออกรถต้นแบบ DeZir อันเป็นการส่งสัญญาณแล้วว่านี่แหล่ะคือภาษากายหรือ Design Language แนวใหม่ที่จะริเริ่มใช้ในปี 2012 เป็นต้นไป

ผู้รับผิดชอบการออกแบบรถต้นแบบคันนี้คือ Mr.Laurens van den Acker หัวหน้าแผนกดีไซน์ประจำ Renault ต้องกุมแนวคิด Design Language ยุคใหม่ด้วยความเคร่งครัดตามกฏ Drive The Change ขับเคลื่อนไปสู่กลยุทธ์ใหม่ในอนาคตที่พยายามผสมผสานช่วงชีวิตของลูกค้าและแบรนด์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ได้แก่ เมื่อตกหลุมรักใครสักคน, เมื่อต้องเริ่มเผชิญกับโลกกว้าง, ทำงาน, เล่นหรือคิดตกผลึกเป็นปรัชญา เป็นต้น

Design Language ชุดใหม่จะมี Keyword เพื่อปูทางการสื่อสารวิสัยทัศน์ของแบรนด์ 3 คำ ได้แก่ ความเรียบง่าย,อารมณ์ และความอบอุ่น สอดคล้องกับกลยุทธ์ของ Renault ที่ต้องการผลิตรถยนต์ให้เป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์สำคัญในชีวิตและใช้งานง่าย

Renault DeZir จึงสอดคล้องกับกลยุทธ์ใหม่ของ Renault 100% ที่สำคัญทีมงานยังเลือกอารมณ์ที่หลายคนส่วนใหญ่ต้องเจอในช่วงชีวิตหนึ่งก็คือ การตกหลุมรักกับ… หรือ Falling In Love เชื่อเถอะการแอบรักเพื่อนสมัยมัธยมนั้นส่วนใหญ่ต้องเจอ (ไม่งั้นเพลงวัยรุ่นพวกกามิกาเซ่จะเอาใจกลุ่มนี้ได้หรือ?) แสดงออกด้วยการลากเส้นสายตัวรถที่มีพลัง, อารมณ์ และสาดสีด้วยสีแดงสว่างอันเป็นตัวแทนของความชอบหรือกิเลส

Mr. Axel Breun ผู้อำนวนการรถต้นแบบและรถจัดแสดงประจำ Renault กล่าวเสริมว่า Renault DeZir เป็นถ้อยคำแห่ง Design Language ชุดใหม่ที่ต้องการถ่ายทอดความคิดดังต่อไปนี้ การเคลื่อนไหว, ความหลงไหล และอารมณ์ผ่านสัดส่วนรถตามอุดมคติ ด้วยวิถีทางนี้ทำให้เส้นต่าง ๆ ถูกขัดเกลาจนดูธรรมชาติ ผลก็คือมีความอบอุ่น, กระตุ้นให้รู้ซึ้งว่านี่แหล่ะคือรถ Renault

Mr.Yann Jarsalle ผู้รับผิดชอบการออกแบบภายนอก Renault Dezir กล่าวว่าการดีไซน์ขั้นต้นจะผสมผสานความเรียบง่ายแต่มีพื้นที่แสดงออกเยอะ เส้นสายได้แรงบันดาลใจจากการเคลื่อนไหวของน้ำ มีลูกคลื่น และมีแสงสะท้อนออกมาเมื่อน้ำตกกระทบพื้น

จึงไม่แปลกใจเลยว่ารถต้นแบบสปอร์ตคูเป้ 2 ประตู 2 ที่นั่งประตูปีกนกล้อใหญ่ 21 นิ้วอย่าง DeZir จึงมีความรู้สึกถึงความอบอุ่น, ความใคร่หรือความหลงไหล มากกว่าความรู้สึกที่จะมาแนวดุดันสปอร์ตโหดเหมือนกับรถต้นแบบหลาย ๆ คัน

และจงโปรดสังเกตชื่อ DeZir ให้ดีที่ Renault ต้องเน้นตัว Z ก็เพราะมันหมายถึงเป็นรถ Zero Emission หรือรถปลอดมลพิษนั่นก็คือรถต้นแบบคันนีมีขุมพลังเป็นมอเตอร์ไฟฟ้านั่นเอง

ขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าสามารถรีดกำลังได้ 150 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 225 นิวตันเมตรหรือ 22.72 กิโลกรัมเมตร แถมยังวางกลางลำพร้อมกับชุดแบตเตอรี่ที่กินไฟ 24 กิโลวัตต์ชั่วโมงมีระยะทางวิ่งสูงสุด 160 กิโลเมตร

แถมยังมีเทคโนโลยีล้ำสมัยที่นำมาจากสนามแข่ง F1 ก็คือระบบ KERS นำพลังงานจลน์ระหว่างเบรคมาเก็บเป็นพลังงานไฟฟ้าที่สามารถนำมาออกมาใช้ได้ทันทีเมื่อต้องการเร่งความเร็ว แต่ว่ากันว่าเทคโนโลยีนี้น่าจะไม่ได้ติดตั้งในรถ F1 เท่าไรนักเพราะ FIA มองว่ามันเป็นการสิ้นเปลืองเงินใช่เหตุแถมยังเป็นเทคโนโลยีสำหรับรถบ้านมากกว่า

แม้ Renault จะไม่บอกว่า Design Language นี้จะถูกนำมาใช้กับรถรุ่นใดบ้างแต่เชื่อเถอะว่านับต่อจากปี 2012 แนวดีไซน์อันประกอบด้วย Keyword หลัก 3 ประการได้แก่ ความเรียบง่าย, อารมณ์ และความอบอุ่น จะวิ่งให้เห็นบนท้องถนนในยุโรปแน่นอน