Mercedes-Benz SLS AMG เคยตอบสนองตัณหาให้กับผู้รักความเร็วและความคลาสสิค
ในคันเดียวกันมาแล้วเมื่อปีที่แล้ว แต่ใช่ว่าความแรงจะอยู่คู่กับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไม่ได้เสียเลย
ซึ่งMercedes-Benz ก็กำลังจะเสนอทางเลือกใหม่ให้กับ SLS AMG ด้วย
ขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าโดยทิ้งชื่อสร้อยให้รู้ว่ามันคือ E-Cell ตระกูลรถไฟฟ้านั่นเอง
Mercedes-Benz ก็เป็น 1 ในค่ายรถหรูและยังเป็น 1 ในผู้นำด้านรถยนต์พลังแรงสูงที่แอบ
ซุ่มพัฒนาขุมพลังทางเลือกใหม่สำหรับโลกยนตรกรรมยุคหน้า อันเป็นแนวทางเดียวกับค่ายรถคู่แข่ง
ที่เริ่มพัฒนารถสปอร์ตพลังแรงสูงที่ใช้ขุมพลังรักษ์สิ่งแวดล้อม
Mercedes-Benz เลือกขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าลงในรถสปอร์ตเรือธงของตนแทนที่จะเป็นขุมพลัง
Hybrid ดั่งที่คู่แข่งหลายค่ายมักเริ่มใช้กันเพื่อหวังผลด้านสมรรถนะเป็นหลักส่วนเรื่องการลดมลภาวะ
เป็นเรื่องรองเล็กน้อย
เราจึงได้เห็น Mercedes-Benz SLS AMG E-Cell ติดตั้งขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าภายใต้ตัวถังสีเหลือง
โดดเด่นเป็นสง่าครั้งแรกในโลกและมีทีท่าว่าจะเตรียมจำหน่ายสู่ท้องตลาดในเร็ววัน
ความแรงมันควบคู่กับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและความประหยัดได้แน่นอนแล้วเมื่อ Mercedes-Benz
สามารถพัฒนามอเตอร์ไฟฟ้าให้กับ SLS AMG E-Cell ได้ใกล้เคียงกับเครื่องยนต์เบนซินด้วยพลัง
526 แรงม้า (เครื่องยนต์เบนซิน V8 6.2 ลิตรทำตัวเลข 560 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 89.56 กิโลกรัมเมตร
ทำอัตราเร่งจาก 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมงได้ภายใน 4 วินาที ตามแบบฉบับ AMG ทุกประการ
Mercedes-Benz ติดตั้งอุปกรณ์เกี่ยวกับขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าทั้งหลายโดยไม่ต้องดัดแปลงชิ้นส่วน
หรือโครงสร้างตัวถังใด ๆ เลย โดยเฉพาะการแยกติดตั้งแบตเตอรี่ลิเธี่ยมโพลิเมอร์บางเฉียบไว้บริเวณหน้าแผ่นผนังกันความร้อน, บริเวณกึ่งกลางลำตัว และหลังเบาะนั่งซึ่งทั้งหมดมีตำแหน่งจุดศูนย์ถ่วงต่ำเพื่อคุณภาพ
การขับขี่ที่ดี
แบตเตอรี่ลิเธี่ยมโพลิเมอร์ก็ถูกทดสอบอย่างหนักภายใต้สภาวะร้อนจัดและเย็นจัดซึ่งติดตั้งระบบระบายความร้อน
จากลมแอร์และระบบเพิ่มความอบอุ่นจากฮีตเตอร์ให้แก่แบตเตอรี่ได้ด้วย
ระบบช่วงล่างนั้นก็ต้องปรับจูนระบบกันสะเทือนหน้าใหม่จากเดิมเป็นแบบปีกนกสองชั้น
จำเป็นต้องเปลี่ยนเป็นจุดเชื่อมยึดหลายจุดหรือ Multi-Link พร้อม pushrod damper struts
สาเหตุที่ต้องเปลี่ยนแปลงก็เพราะมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ลูกติดตั้งบริเวณด้านหน้ารถทำให้ต้องรับน้ำหนักมากขึ้นนั่นเอง
แต่อย่าเพิ่งสะพรึงกลัวไปว่าการขับขี่จะไม่เหมือนกับ SLS AMG ดั้งเดิม ทีมงานยืนยันแล้วว่า
คุณภาพการขับขี่จะไม่แตกต่างจากรุ่นเครื่องเบนซินแม้แต่น้อย
ถ้าคุณยังไม่มั่นใจอีก Mercedes-Benz AMG ยังปรับปรุงระบบเบรคให้สามารถหยุดยั้ง
ความแรงได้ทันท่วงทีด้วยจานเบรคเซรามิคคู่หน้าขนาด 18.5 นิ้วและคู่หลังขนาด 14.2 นิ้ว
มีคุณสมบัติเบากว่าจานเบรคเดิม 40% รวมทั้งติดตั้งระบบปั่นกำลังไฟฟ้าขณะเบรคด้วย
รูปร่างหน้าตาภายนอกก็ต้องถูกพัฒนาให้เหมาะสมกับความเป็นรถไฟฟ้าทำให้ Mercedes-Benz AMG
จำเป็นต้องจัดการด้านแอโรไดนามิครอบคันเพื่อผลลัพธ์ด้านสมรรถนะด้วยการติดตั้ง Splitters
ตัดแรงลมบริเวณกันชนด้านหน้าที่ผู้ขับขี่สามารถควบคุมมันได้จากภายในรถ รวมไปถึงออกแบบช่องดักลม
ให้ลมผ่านลื่นไหลมากขึ้นกว่าเดิม
รายละเอียดต่าง ๆ ภายนอกรถก็ถูกปรับปรุงให้แตกต่างจากเดิมได้แก่ ติดตั้งไฟหน้า LED สำหรับส่องสว่าง
ตอนกลางวัน, ช่องดักลมหน้าที่กว้างขึ้น ,ล้ออัลลอยด์ด้านหน้าขนาด 19 นิ้ว ด้านหลังขนาด 20 นิ้ว
หลายคนแอบสงสัยว่าทำไม Mercedes-Benz จึงต้องหันมาทำรถแรงสีเขียวถึงขนาดนี้ก็เพราะ
Mercedes-Benz มีนโยบายพัฒนารถรุ่นใหม่ ๆในไลน์ AMG ให้มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
ลดการมลภาวะเพิ่มมากขึ้นขณะเดียวกันจะเสริมสร้างคุณค่าของแบรนด์ที่เน้นด้านสมรรถนะมากขึ้นเช่นกัน
เมื่อรถมันดีเด่นขนาดนี้แต่มันก็ไม่อาจประนีประนอมด้านราคาขายให้หลายคนพึงพอใจได้แน่นอน
มีความเป็นไปได้สูงมากว่ามันจะถูกผลิตจำนวนจำกัดเหมือน ๆ กับ Audi R8 E-Tron
เพื่อเอาใจเศรษฐีรักความแรงที่มีจิตสำนึกแบบสุด ๆ ครับ