สิ้นสุดการรอคอยสำหรับแฟนๆค่าย BMW เสียที หลังจากภาพหลุดตั้งแต่ต้นปีจนถึงภาพทีเซอร์ที่ปล่อยออกมา
เรียกน้ำย่อย วันนี้ (10 มิถุนายน 2015 ตามเวลาท้องถิ่นเยอรมนี) BMW พร้อมแล้วที่จะเปิดเผยทุกรายละเอียด
ของ BMW 7-Series ตัวถัง G11/G12 รถยนต์เรือธงเจเนอเรชั่นที่ 6 ของค่าย
เห็นรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว ต้องมีคนผิดหวังกันไม่น้อย เพราะในขณะที่คู่แข่งอย่าง Mercedes-Benz เลือกที่จะ
ออกแบบ S-Class รุ่นปัจจุบันให้แตกต่าง และเป็นการประกาศทิศทางงานออกแบบใหม่ของค่ายไปในตัว
BMW กลับเลือกที่จะรักษาและคงคุณค่างานออกแบบของรถยนต์รุ่นเดิมไว้ อันได้แก่เส้นสายอันเรียบง่าย
แต่ทำให้รถมีมิติ ให้ความรู้สึกหรูหราและหนักแน่น และเป็นความต้องการของ BMW เอง ที่อยากออกแบบให้
ใครก็ตามที่เห็น 7-Series โฉมใหม่ แล้วต้องรู้ในวินาทีแรกว่า นี่คือรถยนต์รุ่นสูงสุดของ BMW
งานออกแบบทั้งคันจึงดูคล้ายกับรุ่นเดิมอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งรูปลักษณ์ด้านหน้าที่ยังคงกระจังหน้าไตคู่ขนาดใหญ่
เหมือนเดิม แต่แท้จริงแล้วถูกออกแบบใหม่ทั้งหมด พร้อมใส่เทคโนโลยี Air Flap Control ช่วยเปิด-ปิดครีบ
กระจังหน้าได้ตามความต้องการของเครื่องยนต์
โคมไฟหน้าเป็นไปตามเอกลักษณ์งานออกแบบของ BMW ยุคใหม่ เชื่อมต่อโคมไฟเข้ากับกระจังหน้า
แต่คราวนี้ BMW ใส่เทคโนโลยี Adaptive LED ให้เป็นมาตรฐานกับ 7-Series ทุกรุ่นย่อย พร้อมกับออพชั่น
ไฟหน้าแสงเลเซอร์ BMW Laserlight ให้เลือกติดตั้งเป็นพิเศษ ช่วยเพิ่มระยะส่องสว่างได้ไกลถึง 600 เมตร
พร้อมกับโคมไฟตัดหมอกแบบ LED
รูปลักษณ์ด้านข้างและด้านท้ายดูคล้ายกับรุ่นเดิม แต่ปรับให้เพิ่มมิติของแผ่นเหล็กมากขึ้น โดย BMW ให้เหตุผล
เพิ่มเติมว่า กลุ่มลูกค้าของรถยนต์ระดับนี้ ไม่ได้คาดหวังความเปลี่ยนแปลงหวือหวา แต่มองหาความภูมิฐาน
และดีไซน์เหนือกาลเวลามากกว่า BMW จึงหันไปทุ่มเทกับลูกเล่นใหม่ๆ เช่น การเปลี่ยนมาใช้ไฟแบบ LED หมดทั้งคัน
และติดตั้ง Air Breather ใหม่ ให้กับ 7-Series เป็นครั้งแรก บริเวณชายซุ้มล้อหน้า ช่วยเรื่องการไหลของกระแสอากาศ
มิติตัวถังมีความยาวทั้งคันอยู่ที่ 5,098 มิลลิเมตร (รุ่นฐานล้อยาวจะเพิ่มเป็น 5,238 มิลลิเมตร) กว้าง 1.9 เมตร
ฐานล้อหน้า-หลังยาว 3,196 มิลลิเมตร (3,210 มิลลิเมตร ในรุ่นฐานล้อยาว) และมาพร้อมกับแพคเกจการ
ตกแต่งทั้งแบบเรียบหรู Design Pure Excellence แบบสปอร์ต M Sport
ก่อนจะก้าวขึ้นตัวรถ BMW สร้างความหรูหราต้อนรับผู้โดยสาร ด้วย BMW Welcome Light Carpet พรมสมมติ
สร้างบรรยากาศจากไฟส่องสว่าง เพิ่มความพิเศษและความปลอดภัยก่อนก้าวขึ้นรถ
การออกแบบภายในห้องโดยสาร BMW อัดแน่นเทคโนโลยีเพื่อความสบายและความหรูหรารวมถึงนวัตกรรมใหม่ๆ
อย่างสะใจ ยังคงเน้นความสบายของผู้โดยสารตอนหลังเป็นหลัก คอนโซลด้านหน้า ออกแบบคล้ายกับรุ่นน้อง
BMW 3-Series แต่ปรับรายละเอียดเพื่อยกระดับความหรูหรา ไม่ว่าจะเป็นวัสดุหนังแท้หุ้มคอนโซลหน้า
วัสดุตกแต่งและปุ่มซึ่งให้สัมผัสที่หรูหราและสบายมือมากกว่าเดิม
หน้าจอมาตรวัดใช้หน้าจอสี TFT ออกแบบอินเตอร์เฟซใหม่ให้แสดงผลการขับขี่ได้หลากหลาย ทั้งแบบเน้น
ความประหยัด แบบปกติ แบบไฮบริด และแบบสปอร์ต รวมถึงแสดงการควบคุมฟังก์ชั่นต่างๆของตัวรถผ่าน
ปุ่มบนพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังปรับปรุงระบบ BMW Head-Up Display ให้แสดงข้อมูลได้
หลากหลาย คมชัดขึ้น และฉายภาพได้กว้างขึ้น
ระบบ iDrive พร้อมกับ BMW ConnectedDrive ปรับปรุงขนานใหญ่ด้วยเทคโนโลยีล่าสุด เริ่มจากปุ่ม iDrive
แบบใหม่ ปรับให้ใช้งานง่ายและปรับปรุงสัมผัสของปุ่ม ส่วนหน้าจอแสดงผลเพิ่มระบบสัมผัสหน้าจอเป็นครั้งแรก
พร้อมกับ BMW Gesture Control ครั้งแรกของ BMW ที่มีกล้องจับความเคลื่อนไหวของมือบริเวณเพดานรถ
ทำให้สามารถทำท่าทางปรับความดังเสียง รับสาย หรือปฏิเสธสายเรียกเข้าได้แบบไม่ต้องกดปุ่มหรือสัมผัสหน้าจอ
ใดๆ สำหรับโทรศัพท์มือถือ มาพร้อมแท่นชาร์จไร้สายมาให้เป็นครั้งแรกอีกด้วย
ผู้โดยสารตอนหลังเพลิดเพลินบนวิมานได้เต็มที่กับออพชั่นตกแต่งแบบ Executive Lounge เพิ่มความหรูหรา
เต็มสูบ ทั้งระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 4 โซน เบาะนั่งแบบปรับได้หลากหลายทิศทาง ปรับเอนได้ถึง 42.5 องศาพร้อมระบบนวด
ออกแบบคอนโซลกลางให้ติดตั้งแท็บเล็ตพิเศษของ BMW สามารถหยิบขึ้นมาและช่วยให้สามารถควบคุมระบบต่างๆ
ของตัวรถได้อย่างไร้สายผ่านระบบสัมผัส
ระบบนวดของเบาะหลังถูกติดตั้งโปรแกรม Vitality ช่วยนวดและให้ผู้โดยสารได้ยืดเส้นสาย ผ่อนคลายความเมื่อย
อีกทั้งยังสามารถควบคุมเบาะผู้โดยสารตอนหน้าให้พับลงเพื่อเพิ่มเนื้อที่วางขา เหยียดยาวกันได้สบายๆ อีกทั้งยังมี
การเสริมบรรยากาศการเดินทางด้วยการตกแต่งไฟภายในห้องโดยสารรอบคัน และพิเศษสุดๆกับลูกเล่น
หลังคากระจก Sky Lounge Panorama ไฟตกแต่งยามค่ำคืน ส่องไปยังมุมหลังคากระจก สะท้อนลวดลาย
ระยิบระยับคล้ายดาวในคืนมืด ให้อารมณ์คล้ายกับหลังคาดวงดาวของ Rolls-Royce
จบเรื่องความหรูหรา ต่อด้วยงานวิศวกรรมที่ยิ่งใหญ่กว่ารูปลักษณ์ที่เห็นกันอีก เพราะ BMW จัดนวัตกรรมล้ำ
ให้กับ 7-Series เริ่มด้วยการต่อยอดแนวคิด BMW EfficientDynamics เป็น BMW EfficientLightweight
เปลี่ยนแนวคิดการทำโครงสร้างใหม่ ด้วยโครงสร้างตัวถัง BMW Carbon Core ครั้งแรกของการผสานวัสดุ CFRP หรือ
Carbon Fibre Reinforced Plastic เข้ากับเหล็กกล้าน้ำหนักเบาและอะลุมิเนียม หลังจากเราได้เห็นวัสดุนี้
ใช้ในโครงตัวถังของ BMW i กันมาแล้ว
การหันมาใช้โครงสร้าง BMW Carbon Core ส่งผลให้ 7-Series ใหม่ มีน้ำหนักเบาลงถึง 130 กิโลกรัม นอกจากนี้
ยังทำให้สามารถออกแบบการกระจายน้ำหนักในสัดส่วนหน้า-หลังแบบ 50:50 ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ขุมพลังที่ใช้ เป็นขุมพลังใหม่ทั้งหมด ออกแบบเน้นสมรรถนะเพิ่มขึ้น น้ำหนักที่เบาลง และต้องลดการปล่อยมลภาวะ
จากการหันมาใช้อะลุมิเนียมมากขึ้น และเป็นครั้งแรกที่นำเอาเทคโนโลยี Plug-in Hybrid มาใช้กับ BMW 7-Series
เริ่มต้นด้วยรหัส 740i ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบเรียง พร้อมเทอร์โบ TwinPower Turbo ขนาด 3.0 ลิตร
และระบบ VALVETRONIC เวอร์ชั่นล่าสุด สร้างกำลังสูงสุดเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็น 326 แรงม้า ในขณะที่เวอร์ชั่น
ดีเซลในรหัส 730d ให้กำลัง 265 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุดเพิ่มขึ้นเป็น 620 นิวตัน-เมตร
ขยับความแรงขึ้นมาในตัวท้อปด้วยรหัส 750i ใช้เครื่องยนต์เบนซินแบบ V8 ขนาด 4.4 ลิตร พร้อมเทอร์โบ
TwinPower Turbo ให้กำลังสูงสุดเพิ่มขึ้นเช่นกันเป็น 450 แรงม้า ขุมพลังนี้จะถูกจับคู่เข้ากับระบบขับเคลื่อน
4 ล้อ xDrive เพียงแบบเดียว
ขุมพลังทั้งหมด จะถูกเชื่อมต่อเข้ากับเกียร์อัตโนมัติแบบ 8 จังหวะ ออกแบบใหม่ให้ทำงานร่วมกับระบบนำทาง
เพื่อออกแบบการเปลี่ยนเกียร์ล่วงหน้า ช่วยเพิ่มความนุ่มนวล ราบลื่น ไม่เสียกำลังและเชื้อเพลิงเกินจำเป็น
นักขับเท้าหนักมีออพชั่น Steptronic Sport พร้อมโหมด Launch Control มาให้เป็นพิเศษ
สำหรับน้องใหม่ ขุมพลัง Plug-in Hybrid ใช้รหัส 740e หลังจาก BMW เก็บประสบการณ์กับการทำ BMW i
มาพักใหญ่แล้ว BMW พร้อมลุยขุมพลัง Plug-in Hybrid ด้วยการขับคู่เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร
พร้อมเทอร์โบ TwinPower Turbo เข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า เชื่อมต่อกำลังสู่ล้อคู่หลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ
สร้างกำลังรวม 326 แรงม้า แต่จิบน้ำมันเพียง 2.1 ลิตร ในระยะทาง 100 กิโลเมตร สามารถแล่นได้ด้วย
พลังไฟฟ้าล้วนเป็นระยะทางไกล 40 กิโลเมตร ด้วยความเร็วสูงสุด 120 กม./ชม.
ตัวรถจะสามารถชาร์จไฟบ้านผ่าน BMW i Wallbox และสถานีชาร์จไฟต่างๆ ส่วนการขับขี่นั้น ถูกออกแบบ
โหมดการควบคุมต่างๆ เช่น AUTO eDrive เพื่อสลับการใช้งานระหว่างมอเตอร์และเครื่องยนต์อย่างชาญฉลาด
ระบบช่วงล่างติดตั้งช่วงล่างถุงลมเหมือนเดิม แต่เพิ่มระบบ Dynamic Damper Control เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
ความพิเศษอยู่ที่ออพชั่นระบบช่วงล่าง Exevutive Drive Pro ทำงานด้วยหลักการใช้โช้คอัพถุงลมแบบ 2 แกน
ควบคุมการทำงานด้วยไฟฟ้า ทำให้ตัวถังนิ่งแม้สภาพถนนขรุขระ หรือเมื่อเข้าโค้งแรงๆ ผู้โดยสารจะยังรู้สึกนิ่ง
สบาย
ท้ายที่สุด กับเทคโนโลยีช่วยเหลือการขับขี่ เริ่มต้นจากกุญแจ BMW Display Key สุดล้ำยุค ติดตั้งหน้าจอสัมผัส
สามารถตรวจสอบสถานะของตัวรถ รวมทั้งเปิดใช้งานนวัตกรรมใหม่ครั้งแรกของโลก ‘Remote Control Parking’
ระบบแรกที่ทำให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมตัวรถให้เข้า-ออกที่จอดในระยะใกล้ โดยไม่ต้องอยู่ภายในตัวรถ
เหมาะสำหรับการจอดภายในที่คับแคบ มีระยะการควบคุมไม่เกิน 10 เมตรจากตัวรถ
เทคโนโลยีเข้าจอด ยังถูกพัฒนากับระบบ BMW Parking Assistant ทั้งระบบช่วยเข้าจอดอัตโนมัติ ระบบ
Active Park Distance Control ช่วยเบรกอัตโนมัติขณะถอยเข้าจอด ระบบตรวจจับรถยนต์ด้านหลัง
สำหรับการขับขี่ ระบบ Driving Assistant ช่วยดูแลการขับขี่ ทั้งระบบเพิ่มแรงดึงเข็มขัดนิรภัยเพื่อเตรียมพร้อม
การปะทะหากตรวจจับว่าอาจเข้าชนวัตถุด้านหน้า นอกจากนี้ยังมีระบบ Approach Control ช่วยหยุดรถอัตโนมัติ
ในความเร็วต่ำและระบบเตือนการเปลี่ยนเลนโดยไม่ตั้งใจ
และยังสามารถขยายขอบเขตของระบบด้วย Driving Assistant Plus เพิ่มระบบ Adaptive Cruise Control
พร้อมฟังก์ชั่น Traffic Jam Assistant และ Lane Keeping Assistant ช่วยทำให้ตัวรถขับเคลื่อนแบบกึ่งอัตโนมัติ
ในสภาพการจราจรติดขัด ลดความเครียดของการขับขี่ลง สามารถหยุดและออกตัวได้อัตโนมัติ
การขับขี่กลางคืน มีระบบ BMW Night Vision with Dynamic Light Spot มาช่วย ทำให้เห็นสภาวะการขับขี่
ในที่ไร้แสงได้ดีขึ้น พร้อมกับการขยายวัตถุบนถนนให้ระวังเป็นพิเศษบนหน้าจอ สำหรับคนเดินถนน BMW ได้ออกแบบ
ฝากระโปรงหน้าที่เด้งรับอัตโนมัติเพื่อลดอาการบาดเจ็บหากเกิดอุบัติเหตุ
เรียกว่า BMW จัดหนักให้กับ 7-Series เพื่อโชว์ฝีมือและศักยภาพในการสร้างนวัตกรรมใหม่ให้โลกรถยนต์
กันเลยทีเดียว โดย BMW 7-Series โฉมใหม่จะพร้อมทำตลาดในสหรัฐอเมริกาและยุโรปกันก่อน โดยยังคง
มีศูนย์กลางการผลิตที่โรงงาน Dingolfing ในเยอรมนีเช่นเคย ซึ่งมีความถนัดในงานผลิตแบบประณีตมาตั้งแต่
7-Series โฉมแรกแล้ว
ต้องติดตามกันต่อไปว่านี่จะเป็นคำตอบที่สมน้ำสมเนื้อกับคู่กัดตลอดกาลอย่าง Mercedes-Benz S-Class
ได้หรือไม่? ส่วนประเทศไทยเจอในรูปแบบนำเข้าทั้งคันกันก่อนแน่นอน แต่มาลุ้นกันดีกว่า ว่าประเทศไทยจะได้
BMW 740Le มาจำหน่ายด้วยหรือไม่?
ที่มา : BMW