แค่ความใฝ่ฝันที่จะให้ Lexus เป็นส่วนหนึ่งในวงจรตลาดรถยนต์ระดับหรูระดับโลก
เทียบชั้น BMW, Mercedes-Benz, Volvo, Audi และอื่น ๆ ก็บรรลุแล้ว
แบรนด์ Lexus เริ่มเป็นที่ยอมรับในมาตรฐานทั่วโลกมากขึ้น
แม้ประวัติด้านแบรนด์จะด้อยกว่าคู่แข่งก็ตาม

 
 

กลับกลายเป็นว่าเวลาผ่านไป 20 ปี Toyota สามารถเพาะเชื้อความเชื่อมั่น Lexus
ในตลาดสหรัฐอเมริกาและลามไปสู่ตลาดโลก จนทำให้ลูกค้าชาวมะกันยุคใหม่
หันมาอุดหนุน Lexus จนมียอดขายแซง Mercedes-Benz เจ้าตลาดเก่า
อย่างไม่น่าเชื่อ

สำนักข่าว Autonews.com รายงานความเปลี่ยนแปลงยอดขายรถหรูประจำเดือนพฤษภาคม 2010
อย่างน่าจับตามองว่าแบรนด์ Lexus สามารถพลิกประวัติศาสตร์ตลาดรถหรู
ในสหรัฐอเมริกาได้อย่างไม่น่าเชื่อ

เมื่อยอดจำหน่าย Lexus ชนะ Mercedes-Benz ขาดที่ 22,216 คัน ต่อ 19,184 คันตามลำดับ
และเมื่อเปรียบเทียบยอดขายตั้งแต่เดือนมกราคม – พฤษภาคม 2010 ก็จะเป็น
90,098 คัน ต่อ 88,010 คันตามลำดับ

และน่าสังเกตว่ายอดขายประจำเดือนพฤษภาคมทั้ง Lexus และ Mercedes-Benz
ต่างก็เติบโตขึ้น 31% และ 27% ตามลำดับ

ใช่ว่าชัยชนะของ Lexus ในวันนี้จะมีแต่คนสิโรราบหรือยอมรับว่ามันเป็นชัยชนะที่ถาวร
Mr.Jessica Caldwellนักวิเคราะห์ตลาดรถยนต์สหรัฐอเมริกาแห่งเว็บไซต์ Edmunds.com
ยืนยันว่า Lexus ออกโปรแกรมทางการเงินอย่างหนักเพื่อให้ลูกค้าสามารถเป็นเจ้าของได้ง่าย
ลูกค้ากลุ่มนี้แคร์ด้านราคาเป็นหลักโดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่ซื้อรุ่น ES และ IS

ทางด้าน Lexus ก็ยอมรับว่ากลยุทธ์หั่นราคาไม่ใช่เป็นกลยุทธ์ที่ดี
ดังนั้นเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม Lexus จะโฟกัสไปยังแบรนด์มากขึ้น
ใครที่หวังการหั่นราคาลง 1,656 ดอลลาร์ก็จะไม่ได้เห็นนับตั้งแต่วันนี้

การแข่งขันที่รุนแรงจากฝั่ง Lexus ทำให้ Mercedes-Benz ไม่อาจนิ่งเฉย
จึงอัดแคมเปญลดราคา E-Class รุ่นใหม่ลง 2,834 ดอลลาร์ ภายในเดือนพฤษภาคม
ไม่น่าแปลกใจเลยที่ทำให้ยอดขายรถซีดานขนาดกลางคันนี้พุ่งสูงถึง 5,476 คัน

หลังจากรบรันพันตูกันเสร็จแล้วเรามาดูผู้บาดเจ็บหลังสงครามจบลงกัน

การลดราคาลดของ 2 ค่ายใหญ่ก็ทำให้ดีลเลอร์ทั้งคู่ต่างมีรายได้ลดลงด้วย
อย่าเพิ่งคิดว่า Lexus น่าจะบาดเจ็บมากที่สุดเพราะขายได้แต่รถคลาสต่ำกว่า
E-Class ของคู่แข่ง

แต่เพราะส่วนต่างกำไร (Margin) ของรถ Lexus นั้นมีมากกว่า Mercedes-Benz
ทำให้ดีลเลอร์ทั่วสหรัฐอเมริกาสามารถทำกำไรได้ต่อเนื่องโดยไม่ต้องโอดครวญใด ๆ
ผิดกับ Mercedes-Benz ที่มีต้นทุนการผลิตสูงกว่าจึงทำให้ส่วนต่างกำไรน้อยกว่า Lexus

หากยังคิดจะทำสงครามราคาต่อไปแล้วล่ะก็ Lexus ก็พร้อมรบทุกสถานการณ์
หนำซ้ำยังสามารถลดราคาได้มากกว่าที่ Mercedes-Benz เสนอเสียอีก
โดยไม่กระทบต่อผลกำไรโดยรวมมากนัก!!

ฟังอย่างนี้แล้ว Daimler AG ยังคิดว่า Lexus เป็นเด็กน้อยอยู่อีกไหม?