Honda City 1.0 TURBO RS – 739,000 บาท
Likes : พลังเครื่องยนต์ การจัดการพื้นที่ห้องโดยสาร ช่วงล่างดีขึ้นกว่าเดิม ขับสนุกกว่าเดิมชัดเจน
Dislikes : อุปกรณ์เซฟตี้ระดับสูง น้อยกว่า Nissan, Mazda และ Mitsubishi เบรกไม่รับกับพลังของรถ
เครื่องยนต์แค่ 1.0 ลิตร พอมีเทอร์โบช่วยเรียกพลัง ผลลัพธ์ที่ได้คือพละกำลังที่เกินพอสำหรับคนส่วนมากที่ซื้อรถระดับนี้ใช้ ช่วงรอบต่ำอาจจะมีอาการหน่วงพละกำลังบ้างแต่ไม่ถึงกับน่าอึดอัดใจ แค่กดคันเร่งลงไป ก็ได้ความแรงตามใจสั่ง ที่ชอบมากคือเวลาเดินทางต่างจังหวัด หรือวิ่งขึ้นเขา City 1.0 Turbo ทำอัตราเร่งในระดับที่เทียบเท่ารถขนาด C-Segment เครื่อง 1.8 ลิตรที่ไม่มีเทอร์โบได้สบาย 0-100 นั้นขนาดผมนั่งกับพี่ริชาร์ด ลอย แห่ง Bangkok Post ในรถบรรทุกน้ำหนักเท่าผู้ใหญ่สามคน ยังทำได้ 10.68 วินาที ..นี่มันใกล้เคียงกับที่ผมทำได้ใน Civic FD 2.0 5AT เมื่อ 14 ปีก่อน แล้วก็ไม่มีใครบ่นนะว่าอืด
อย่างไรก็ตาม ช่วงล่าง และเบรกของ City ยังสู้ผู้นำของคลาสอย่าง Mazda 2 ไม่ได้ มันเป็นรถที่มีหัวใจพลังเหนือชั้น แต่องค์ประกอบอื่นๆ ทำมาเหมือนเอาใจลูกค้าธรรมดาสายสันติธรรม คุณได้ความนุ่มสบาย แม่ยายชื่นชม หรือวิ่งทางไกลตรงๆ 120-130 ก็ยังรู้สึกดี แต่..ถ้าคิดจะขับเร็ว สมาธิต้องดี และห้ามประมาท การขับแบบตวัดพวงมาลัยเร็ว หรือมุดแบบไม่ระวัง ช่วงล่างจะออกอาการยวบ ให้เห็น และระบบช่วยเหลือต่างๆ ก็ไม่ได้ทำงานเร็วหรือฉลาดแบบของ Mazda 2
เหมือนพระเจ้าแห่งโลกรถยนต์ท่านมีบาลานซ์..เอาการบังคับควบคุมและช่วงล่างสุดยอดให้กับ Mazda แล้วก็เอาเครื่องยนต์เจ๋งๆมาให้ Honda เป็นอย่างนี้มากี่รุ่นแล้วไม่รู้
ได้ภายในที่จัดพื้นที่ลงตัว กว้างขวางนั่งสบาย เมื่อเทียบกับอีโคคาร์ 4 ประตูด้วยกัน ผมชอบที่ Honda แต่งคอนโซลกลางตอนล่างได้สวย แต่ไม่เบียดบังเนื้อที่หัวเข่า เบาะนั่งสบายสำหรับคนตัวเล็ก แต่ไม่รู้ทำไมวิศวกรต้องออกแบบพนักพิงตอนบนให้แคบลง 6 เซนติเมตร แทนที่จะได้เบาะอู้ฟู่โอบสบาย เราได้เบาะนั่งกัปตันเครื่องบินโซเวียตมาแทน ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะ แต่ยังดีกว่านี้ได้
เนื้อที่เบาะหลัง ขอชมในเรื่องเนื้อที่วางขา ซึ่งคุณสามารถเอาไอ้แพน 2 คนนั่งหน้ากับหลังได้ แล้วไอ้แพนที่อยู่ข้างหลังยังมีเนื้อที่ขยับเข่า แต่พื้นที่เหนือศีรษะนั้น อาจจะรองรับได้สำหรับคนอ้วนสูง 175 เซนติเมตร หรือถ้าสูง 180 ก็ต้องเป็นคนผอม ไขมันที่ก้นน้อยหน่อย
การออกแบบภายในอาจจะไม่หวือหวา ไม่ดูไฮคลาสแบบ Mazda แต่ทุกสิ่งทุกอย่าง จัดวางมาในลักษณะที่คุณจะใช้เวลาไม่นานในการสอนคุณพ่อวัย 75 ปีของคุณในการเรียนรู้การทำงานของปุ่มต่างๆ มันมีความ User Friendly ในแบบที่เราหลงรักจากยุค 90s อยู่เต็มขั้น บาลานซ์องค์ประกอบทุกอย่างมาอยู่ในระดับกลางถึงดี ไม่อินดี้ ไม่แหวกแนว ดูไปดูมา อดคิดไม่ได้ว่ารุ่นเก่าสวยกว่าหรือเปล่า
จุดที่ Honda ยังสามารถพัฒนา City รุ่นนี้ต่อ เพื่อให้ครองหัวใจผู้ใช้รถได้มากขึ้น น่าจะเป็นเรื่องของอุปกรณ์ความปลอดภัยในเชิงป้องกัน ซึ่งเมื่อเทียบกับคู่แข่งแล้ว อย่างดีก็เทียบได้แค่ Toyota Yaris ATIV ..และ ATIV ก็ยังมีเข็มขัดนิรภัยที่ปรับสูง/ต่ำได้นะครับ แล้วถ้าคุณไปดู Nissan Almera คุณจะพบว่า รถของ Nissan ราคาถูกกว่ากันอยู่แสนบาท แต่ให้กล้องรอบคัน ให้ระบบเตือนชนรถคันหน้าพร้อมระบบเบรกอัตโนมัติ ให้ระบบเตือนรถในจุดบอดกระจกมองข้าง ส่วน Mazda มีเกือบเท่า Nissan ขาดแค่ไม่มีระบบเบรกอัตโนมัติ
ในราคา 739,000 บาท นี้ สิ่งที่ผมหวังได้ และไม่น่ากระทบกับเรื่องอื่นมาก ก็คงจะเป็นระบบอย่าง Honda LaneWatch ซึ่งฉายภาพมุมอับกระจกมองข้างด้านซ้ายมาขึ้นที่เครื่องเสียงได้ (Honda ใช้ระบบนี้ และไม่มีระบบ Blind Spot Warning..มันก็ต้องมาอีท่านี้แหละ) และพยายามหาทางทำระบบ Honda SENSING เวอร์ชั่น Minimalist ไม่ต้องมีระบบ Radar Cruise Control หรือระบบ Lane Keeping ก็ได้ แต่ขอให้มีระบบเตือนก่อนชนคันหน้าที่ความเร็วต่ำ และเบรกอัตโนมัติ แค่นี้ ผมว่ามันจะป้องกันอุบัติเหตุไปได้เยอะ สมัยนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าลูกค้าจะวัยดึกวัยรุ่น ก็ชอบเล่นมือถือระหว่างขับรถ มีอุปกรณ์แบบนี้ไว้ จะช่วยป้องกันความซวยไปเกิดกับคนอื่นได้
ที่น่าจะปรับปรุงไม่แพ้กัน คือคุณภาพในการประกอบ ต้องเพิ่มการควบคุมคุณภาพให้ดีกว่านี้ เพราะตลอดสองเดือนที่รถเริ่มส่งมอบมา ก็มีลูกค้าพบปัญหาจากการประกอบ ที่ดูเหมือนยังไม่เรียบร้อย ไม่สม่ำเสมอในแต่ละคัน
ดังนั้น Honda City ก็ยังเป็นรถที่ค่อนข้างธรรมดาในรายละเอียดหลายจุด แต่มีภายในกว้างขวาง ใช้งานง่าย รองรับได้ทั้งเจ้าของรถที่เพิ่งมีใบขับขี่ใบแรก จนถึงวัยที่กำลังจะเลิกขับรถ แต่ได้เครื่องยนต์ที่แซ่บแสบจิตเป็นจุดเด่น อย่าคาดหวังมากกับคุณภาพวัสดุและการประกอบ ที่ดูแล้วดีกว่า Nissan Almera ไม่มากเท่าที่ราคามันห่างกัน เพราะส่วนต่างตรงนั้นมาจากเครื่องยนต์เป็นหลัก