ผมพบผลสำรวจบางอย่างเกี่ยวกับตลาดรถไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกาจากสำนักวิจัย Deloitte Consultingสามารถสรุปสั้น ๆ ได้ใจความว่าคนอเมริกันยอมรับความเป็นรถไฟฟ้าให้มีศักดิ์เทียบเท่ากับ Plug-in Hybrid ไม่ใช่เป็นประเภทรถที่แปลกหูแปลกตาเหมือนในอดีตมากนัก
คนอเมริกันยอมรับรถไฟฟ้าที่สามารถระยะทางการวิ่งสูงสุดเริ่มต้นที่ 100 ไมล์หรือ 160 กิโลเมตรกับการใช้งานเฉลี่ยต่อวันซึ่งเพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน แต่ความต้องการของมนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุดลูกค้ากลุ่มใหญ่ต้องการให้รถไฟฟ้ามีระยะทางวิ่งสูงสุดถึง 300 ไมล์หรือ 482 กิโลเมตรต่อการชาร์จประจุ 1 ครั้ง
เวลาในการชาร์จให้เต็มประจุลูกค้าทั้งสามารถยอมรับการชาร์จนานถึง 8 ชั่วโมงได้แต่ส่วนใหญ่อยากใช้เวลาอย่างต่ำเพียงแค่ 4 ชั่วโมงเท่านั้น และหากมีเทคโนโลยีที่ช่วยให้ประจุไฟเร็วขึ้นแต่ต้องเสียเงินเพื่อแลกกับสิ่งเหล่านั้น ลูกค้าก็สามารถยินยอมจ่ายเพิ่มได้ระหว่าง 500 – 1,000 ดอลลาร์เท่านั้น
ราคาจำหน่ายปลีกรถไฟฟ้าที่ลูกค้าอยากจะซื้อต้องมีราคาระหว่าง 8,000 – 35,000 ดอลลาร์ และราคาที่ลูกค้ารู้สึกสมเหตุสมผลมากที่สุดคือราคาระหว่าง 25,000 – 30,000 ดอลลาร์
ผลสำรวจที่น่าสนใจอีกหมวดหัวข้อย่อยคือลูกค้าชาวอเมริกันอยากจะเลือกซื้อรถไฟฟ้าแบรนด์ใดมากที่สุด? คำตอบที่ได้น่าตกใจมาก 3 อันดับแรกนั้นกลับไม่ใช่ผู้ผลิตรถยนต์ที่มีนโยบายผลิตรถไฟฟ้าอย่างจริงจังแม้แต่น้อยหรือมีแต่จริงจังน้อยกว่า ได้แก่ Toyota, Honda และ Ford แทนที่จะเป็นผู้นำตลาดรถไฟฟ้าตัวจริงอย่าง GM, Nissan และ Tesla
ประสบการณ์ลูกค้าที่ดีของ 3 แบรนด์ดังกล่าวน่าจะเป็นตัวช่วยต่อยอดให้การทำตลาดรถไฟฟ้าประสบความสำเร็จไม่ยากเลย เหตุผลประการสำคัญที่ทำให้ชาวอเมริกันนึกถึงแต่ 3 ค่ายนี้คือ การเป็นผู้บุกเบิกตลาดรถ Hybrid อย่างจริงจังในช่วงยุคปี 2000-2009 จนทำให้ชาวอเมริกันมองภาพพจน์ 3 บริษัทนี้ค่ายรถยนต์แห่งการรักษาสิ่งแวดล้อมที่แท้จริง ผิดกับ GM และ Nissan ที่ยังล้าหลังคู่แข่งด้านเทคโนโลยี Hybrid
แต่อย่างไรก็ดี GM และ Nissan ก็ยังสามารถตักตวงผลประโยชน์ในการเข้าตลาดรถไฟฟ้าเป็นรายแรก ๆ ได้แน่นอนซึ่งจะเป็นผู้กำหนดกฏเกณฑ์การเล่นในตลาดรถไฟฟ้าได้
สรุปภาพรวมดูแล้วตลาดรถไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกามีอนาคตสดใสแน่นอนแล้วล่ะครับ เพราะส่วนใหญ่เข้ากับผลวิจัยสำรวจความต้องการลูกค้าแทบทุกประการ