สวัสดีครับ คุณผู้อ่านทุกท่าน…แหะๆ

หายไปตั้งนาน แต่ยังไม่ลืมสัญญาที่เคยให้ไว ว่า ทริป พาเที่ยวญี่ปุ่นนั้น จะมีอีกสามตอน
ยังไงๆก็ต้องมีแน่ๆ ต้องขออภัยคุณผู้อ่านทุกท่านจริงๆครับ ที่เว้นว่างไปนานมากกกกก
ตั้งแต่เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2009 นับนิ้วดูแล้ว เวลาก็ผ่านล่วงเลย ปาเข้าไป
ครึ่งปี พอดีเลย แหะๆ และคราวนี้ กล้วย ก็พร้อมแล้วที่จะมาเล่าเรื่องราว จากการ
ไปเยือนญี่ปุ่นกันต่อ

คราวที่แล้วเราพาคุณผู้อ่านไปชมรอบๆเมือง Nagoya แถมร่ายถึงที่พักแบบเรียวกังที่ เรา ไปพักมาด้วย
น่าตื่นเต้นทีเดียวเชียว สำหรับคราวนี้ เป็นวันที่สอง ของทริปในญี่ปุ่น ซึ่งวันนี้ เราจะออกจาก Nagoya
ขึ้นรถไฟ Shinkansen ไปเยือน สำนักงานใหญ่ และ พิพิธภัณฑ์ Suzuki ที่เมือง Hamamatsu
รวมทั้ง ไปเยี่ยมชมโรงงานผลิตรถยนต์ของ Suzuki ที่ Sagara Plant ใน Shizuoka จากนั้น
เราจะขึ้นรถไฟ Shinkansen อีกครั้ง เพื่อเข้าพักยัง โรงแรม Shinagawa Prince Hotel ในกรุง Tokyo

ตามเวลา ที่ พี่เอ พี่ชลธี และพี่วิชาได้นัดหมายพวกเรากันไว้ให้พบกัน เพื่อรับประทานอาหารเช้า
ตอน 7.30 น. และออกเดินทางในเวลา 8.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น จะว่าไปแล้ว คืนแรกที่นาโกยาเนี่ย
ผมนึกในใจเอาไว้เป็นฉากๆเลยนะ ว่าอากาศนี่มันดีจริงๆ น่านอนเป็นที่สุด เย็นสบาย ไม่ต้อง
เปิดแอร์ด้วย ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆครับ แต่ที่ไหนได้ คุณผู้อ่านทราบมั้ยครับว่าเกิดอะไรขึ้น
กับผมตลอดคืนนั้น

หลังจากเข้านอนไปเมื่อเวลาประมาณ 5 ทุ่ม ผมก็ค่อยๆหลับไป แต่กลางดึกนั่นแหละ
ที่ผมต้องตื่นขึ้นมา เบ็ดเสร็จประมาณ 3-4 ครั้ง คุณผู้อ่านอาจจะสงสัยว่าเพราะอะไร

ก็เพราะคืนนั้นผมต้องนอน ห้องเดียวกับพี่จิมมี่ ฟังดูเหมือนจะไม่มีอะไรใช่ไหมครับ
มันก็ควรจะไม่มีอะไรจริงๆ นั่นแหละ

แต่ใครมันจะไปนึกละว่า จู่ๆ ผมต้องสะดุ้งตื่นตกใจ ตอน ตี 2 กว่าๆ
หันไปมองทางซ้ายมือ โธ่! ไอ้บ้า! นึกว่า อะไร พี่จิมมี่ หลับปุ๋ย ไม่รู้เรื่องเลย
ว่าตัวเอง นอนกรน เสียงดัง คร่อกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อยู่ได้…

คือตัวผมเองเนี่ย นอนห้องเดียวกับใครก็ได้ ไม่มีปัญหาทั้งนั้น ยกเว้นอยู่อย่างเดียว
ห้ามกรนเด็ดขาด เพราะผมเป็นคนที่ไวกับเสียงรอบตัวเวลานอนมากๆ ถ้ามีเสียงอะไร
นิดเดียวที่ผิดปกติเมื่อไหร่ ผมจะตื่นทันทีเลยล่ะครับ

เสียงพี่จิม นอนกรน เนี่ยแหละ ที่ทำให้ผมต้องตื่นขึ้นมากลางดึก ช่วยด้วยเถอะ ผมตกใจตื่นขึ้นมา
แล้วก็หันไป อ๋อ เสียงกรนนี่เอง ครั้งแรก แค่สะกิดๆ “พี่จิมๆนอนตะแคงได้รึเปล่า”
พี่จิมก็ตอบกลับทั้งที่เจ้าตัวยังหลับอยู่ว่า “อือๆ” แล้วก็นอนตะแคง

สักพักหนึ่ง กรนอีกแล้ว คราวนี้ผมก็ยังสะกิดๆอยู่ “นี่ๆอย่ากรนได้ป่าว นอนไม่หลับแล้วนะเนี่ย”
พี่จิมก็ส่งสัญญาณตอบกลับมาเหมือนเดิม “อือๆ” แล้วก็เสียงกรน ก็เงียบลงไป

แต่ ก็เงียบได้ไม่นานหรอกครับ ซักพักหนึ่ง พี่จิมเอาอีกแล้ว กรนอีกแล้ว พระเจ้า!
คราวนี้ผมถึงกับอดรนทนไม่ไหว ฝ่ามือผมเองนั่นแหละ ตบป๊าบลงไปที่หัวไหล่
อันแสนจะอวบอ้วนของพี่จิม ดัง “เพี๊ยะ!!” พร้อมกับการแผดเสียงของผมกลางดึก

“เฮ้ย! อย่ากรนได้ป่าว กรูนอนไม่หลับแล้วโว้ย!”

แต่พี่จิม ก็สะดุ้งตื่น แล้วก็ตอบ “อือๆ” อีกตามเคย สุดท้าย ผมนอนหลับไป ตั้งแต่เวลาไหนก็ไม่ทราบ
รู้แต่ว่า ทั้งหมดนั่นน่ะ ทำให้ผมตื่นสาย ลงไปตามเวลานัดเกือบไม่ทัน อยากจะบ้าตายจริงๆ

7.30น. ผมลงไปรับประทานอาหารเช้าช้ากว่าพี่พี่คนอื่นซึ่งลงไปกันเรียบร้อย สภาพในตอนนั้น
หน้าตาที่สุดแสนจะง่วงนอน ตาโหลอีกต่างหาก โอ้ย แล้ววันนี้ก็ต้องไปออกงานด้วยสภาพเยี่ยงนี้เนี่ยนะ
แต่เอาเถอะ นึกในใจเดี๋ยวขึ้น Shinkansen ไปก็ได้งีบหลับแล้วละ  

อาหารเช้าวันนี้หน้าตาน่าทานทีเดียว เป็นอาหารเช้าแบบญี่ปุ่นขนานแท้เลยก็ว่าได้ มีซุบ สลัดผัก
ไข่หวาน 2 ชิ้น ข้าว 1 ถ้วย และหมูปิ้งบนใบไม้แห้งๆ กับถั่วงอกนั่นล่ะครับ อร่อยนะขอบอก

หลังจากรับประทานอาหารเช้าอย่างเร่งรีบ ก็ถึงเวลาเดินทางออกจากโรงแรมที่พักที่เมืองนาโกยากันแล้ว
พนักงานต้อนรับที่โรงแรมที่คอยอำนวยความสะดวกให้เราตั้งแต่เมื่อวานวันนี้ก็มาส่งเราที่หน้าโรงแรม
พร้อมกับถ่ายรูปเป็นที่ระลึกก่อนจากกัน

เท่าที่พูดคุยกันผ่านล่าม เธอคนนี้ เคยมาเที่ยวเชียงใหม่ แล้วหนหนึ่ง ติดใจบ้านเรามาก แต่ ตอนที่พวกเรามาถึง
เธอก็แอบกลัวนิดๆ ว่า จะมีใครพูดภาษาญี่ปุ่น สื่อสารกันรู้เรื่องหรือเปล่า โชคดี เจอพี่วิชา เข้าให้ คุณพี่เขาเลย
โล่งอกไปชนิดใจหายใจคว่ำกันเลยทีเดียว

ดูจากชุดของคุณพี่คนนี้ที่เป็นพนักงานต้อนรับแล้ว หลายๆคนอาจสงสัยว่านี่คือเครื่องแบบของเขาหรือเปล่า
พี่วิชาก็เลยช่วยถามให้เป็นภาษาญี่ปุ่น และคำตอบที่ได้คือ เสื้อแบบนี้ที่เป็นสีแดง และมีแถบสีดำพร้อมอักษร
ภาษาญี่ปุ่นแบบนี้ ปกติแล้ว เขาจะใส่กันในช่วงที่มีเทศกาลหรืองานรื่นเริงครับ

เราโบกมืออำลา พนักงานต้อนรับ และเธอ ก็ยังคงปฏิบัติตามธรรมเนียมอันดีของญี่ปุ่น คือยืนส่งแขกเหรื่อ
อย่างพวกเรา จนกว่าจะลับสายตา แล้วจึงกลับเข้าไปทำงานต่อไป…เมื่อไหร่จะได้มาพักที่นี่อีกก็ไม่รู้แหะ

หลังจากออกจากโรงแรมที่พัก พวกเราทั้ง 5 คนก็ได้เดินเท้า ลากกระเป๋าของตัวเอง ไปยังสถานีรถไฟ Nagoya
ระหว่างทาง ผ่านมาหมดทั้งบ้านคน ที่จอดรถ ซึ่งก็ได้เห็นมาแล้วเมื่อวันก่อน แต่มีอีกป้ายหนึ่งที่เราเพิ่งจะสังเกตเห็น
ก็เลยถ่ายมาให้ดูเล่นๆ…น่าจะเป็นโฆษณา ของ ไนท์คลับ อะไรสักอย่าง ราคา ก็ ใช่เล่นเลยทีเดียว

ที่เราเดิน ก็เพราะ ว่า โณงแรมที่พักของเรานั้น ใกล้กับสถานีรถไฟมากๆๆ เดินไปนิดเดียวก็ถึงแล้ว

เช้าวันนั้น อากาศค่อนข้างขะมุกขะมัวเหมือนกัน เราเดินมาถึง สถานีรถไฟ Nagoya กันแล้วละ ถ้าใครอยากเห็น
รูปเต็มๆ และมุมมองในด้านต่างๆของตัวสถานีแล้วละก็ ต้องย้อนกลับไปดูในบทความ Yokoso Japan 2009 ตอนที่ 1
กับ 2 กันแล้วละครับ

เช้าวันนั้น เด็กมัธยมกลุ่มใหญ่ เต็มสถานีรถไฟไปหมด คาดว่าน่าจะ เดินทางไปทัศนศึกษาต่างสถานที่กัน

พี่วิชา เตรียมตั๋วรถไฟเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว และราคาของตั๋วรถไฟ Shinkansen ก็ แพงได้สะใจจริงๆ
ตั๋วเที่ยวเดียว จาก Nagoya ไป Tokyo ราคา 6,090 เยน / 1 คน !! และแค่ จาก สถานี Nagoya ไปลงที่
สถานี Hamamatsu อันเป็นสถานีปลายทางในช่วงเช้าของเรา ก็ปาเข้าไป 2,920 เยน / 1 คน กันเลยทีเดียว!!

เหตุที่ต้องมีตั๋ว 2 ใบ ก็เพราะว่า ใบแรกด้านล่าง 2,920 เยน เราจะต้องใช้ ตอนลงสถานี Hamamatsu ส่วนอีกใบหนึ่ง
ที่แพงกว่า อย่างที่เห็นกันบนหน้าตั๋วนั้น ต้องเก็บไว้ สำหรับ ใช้ในช่วงเย็น เพื่อจะมุ่งหน้าเข้ากรุง Tokyo นั่นเอง

ตอนเดินเข้าไป ก็เสียบและรับตั๋ว เข้าเครื่อง แบบเดียวกับรถไฟทั้งระบบในญี่ปุ่น และรถไฟฟ้า BTS บ้านเรานั่นละครับ

การหาชานชาลา ซึ่งรถไฟขบวนที่เราจะใข้บริการต้องเข้ามาเทียบจอดนั้น ก็ไม่ง่าย
เพราะ ถ้าขึ้นผิดที่นี่ละยุ่งเลยทีเดียว เป็นได้หลุดเลยไปไกลหลายเมืองรวดแน่ๆ
แต่พอขึ้นมาแล้ว อุตส่าห์ จะใช้จังหวะ ถ่ายรูปรถไฟหัวกระสุนตอนจอดซะหน่อย
หนอย! อีตาลุงคนนี้ ก็ยังอุตส่าห์ หลุดติดมาเข้าเฟรมเสียอย่างนั้น

รถไฟหัวกระสุน หรือ Shinkansen ที่เราใช้บริการนี้ เป็นรถรุ่น N700 ซึ่งถือเป็นรุ่นที่ค่อนข้างจะใหม่ที่สุด
บรรยากาศภายในแต่ละตู้โบกี้ ของรถไฟรุ่น N700 นี่ ในความรู้สึกผมถ้าจะว่าไปมันก็เหมือนกับเครื่องบิน
ที่วิ่งอยู่บนรางรถไฟนี่เอง เพราะเมื่อเดินเข้าไปแล้วมันช่างดูคล้ายๆกันนะ แต่จุดหนึ่งที่ขอบอกว่าชอบจริงๆคือ
เบาะนั่งในรถไฟเนี่ยล่ะครับ นั่งสบายกว่าเบาะเครื่องบินชั้นประหยัดของ JAL (ที่ล้มละลายไปแล้ว) เสียอีก

เหนือประตูกั้นระหว่างแต่ละตู้รถไฟ มีป้ายตัววิ่งสีแดง บอกแจ้งข้อมูลต่างๆ
รวมถึงสถานีต่อไปที่ขบวนรถจะหยุดลงด้วย เป็นระยะๆ เบาะนั่งทุกตำแหน่ง
สามารถ ปรับหมุน 180 องศา เพื่อหันหน้ามานั่งคุยกันได้ ในกรณี เดินทางกัน
3-4 คน ขึ้นไปครับ

ณ จุดนี้ พอขึ้นไปนั่งบน Shinkansen ได้สักพักเดียว แทบจะสลบหลับคาเก้าอี้นั่งนั่นแหละครับ
เพราะอะไรล่ะ? (เชิญย้อนกลับไปอ่านด้านบนนู้นเลยครับ) พวกเราขึ้นรถไฟกันได้แค่แป๊ปเดียว
สลบเหมือดกันหมดทุกคนเลยครับ ทั้งพี่เอ พี่วิชา พี่ชลธี แล้วก็ผม ดูเหมือนจะมีพี่จิม นี่แหละ
ที่ยังลั่นล้ากับการถ่ายรูปมาให้คุณๆได้ชมกันอย่างที่เห็น

คุณลุง คนตรวจตั๋ว เดินมาแล้ว ใส่ชุดเหมือนกัปตันเครื่องบิน แต่เขาพูดอังกฤษไม่ได้เลย ฟังกันไม่รู้เรื่องเท่าไหร่ครับ

ด้านหลังเบาะนั่ง จะมีป้ายบอก สิ่งอำนวยความสะดวก ในขบวนรถไฟ
และเขาจะบอกเฉพาะ ขบวนที่อยู่ใกล้ๆ ละแวกเดียวกัน  ไม่ได้บอกรวดเดียว 16 ตู้
มีโทรศัพท์ในขบวน มีห้องน้ำ ถังขยะ ตำแหน่งที่พนักงานประจำขบวน จะทำงานอยู่
ไปจนถึง ป้ายระบุว่า ตู้ไหน เป็นตู้สำหรับห้ามสูบบุหรี่ และ ตู้ไหน เป็น Green Car
เราเดินไปสำรวจกันดีกว่าครับ ว่ามีอะไรยังไงบ้าง

ประตูที่ใช้กั้นทางเดินระหว่างแต่ละตู้รถไฟในขบวน เป็นประตูบานเลื่อนแบบไฟฟ้า
เหมือนที่เราเคยเห็นในหนังการ์ตูนกันตอนเด็กๆนั่นละครับ ด้านข้างจะมีราวจับยึด
สำหรับทั้งผู้คนทั่วไป และผู้ทุพลภาพ

ห้องน้ำใน Shinkansen มีการแบ่งฝั่ง ชาย และหญิง 

อ่างล้างหน้า เขาทำมาเป็นแบบเคาน์เตอร์ กันเลยทีเดียว มีช่องทิ้งขยะให้อีกต่างหาก

ส่วนโถส้วม ก็เป็นแบบ ชักโครก นั่งยองๆ กระนั้นยังเป็นแบบที่ ให้คนนั่งหันหน้า เข้าไปยังกำแพง พื้นเป็นแบบกันลื่น
ถ้าจะกดน้ำ ให้เอามือบังช่องเซ็นเซอร์ มีราวจับยึด สำหรับผู้พิการด้วย และมีอ้างชำระล้างเล็กๆ พอให้ล้างมือหลังจากเสร็จกิจ
คนญี่ปุ่น นี่เขาคิดและทำข้าวของแต่ละอย่างเอาไว้ ละเอียดยิบ แต่เก็บทุกสิ่งอย่าง เอาไว้ ในขนาดที่เล็กกระทัดรัดได้ดีจริงๆ

เราใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง ก็เริ่มเห็นเป้าหมาย ปรากฎขึ้นริมหน้าต่าง
ถูกแล้วครับ นั่นละ สำนักงานใหญ่ของ Suzuki ที่เราจะไปเยี่ยมเยือนกันนั่นเอง

แล้วเราก็มาถึงสถานีจุดหมาย ชานชาลาของ สถานี Hamamatsu  

เราเดินลงบันไดเลื่อนจากชานชาลา มายังชั้น 2

พอมองมาทางซ้ายมือ เราก็พบว่า ในอาคารสถานีรถไฟ Hamamatsu
ก่อนที่จะลงไปชั้นล่างเพื่อออกไปยังนอกสถานี ก็มีมุมจัดแสดงเล็กๆของ Suzuki ด้วย

ซึ่งมุมที่ว่านี่ เขาก็นำ สกู๊ตเตอร์ คันสีขาว มาขึ้นแท่นจัดแสดงเอาไว้
ร่วมกับ Suzuki Alto สีน้ำเงินเข้มๆ 1 คัน หน้าตา น่ารักน่าบีบคอทีเดียวเชียว อิอิ

ในวันที่เราเดินทางไปถึงนั้น Suzuki Alto รุ่นใหม่ ยังแค่เตรียมจะเผยโฉมครั้งแรกในโลก ณ งาน
Tokyo Motor Show รอบ สื่อมวลชน วันรุ่งขึ้นที่เราจะเดินทางไปถึง ดังนั้น Suzuki เลยยังนำ
Alto รุ่นเดิม มาจัดแสดงกันต่อไป เรียกได้ว่า โปรโมทขาย กันจนถึง วันสุดท้ายของอายุตลาด
กันเลยทีเดียว!!

Alto รุ่นล่างๆ นี่ แม้ว่า เบาะผ้าจะเป็นสีส้ม ลายสก็อต แต่ข้างในก็ไม่ได้มีอะไรวิลิศมาหรา มากมายนัก
ตกแต่งแบบเรียบๆ พื้นๆ เบสิกๆ เอาใจคุณแม่บ้าน…แต่เอ รถคันนี้ เกียร์ธรรมดานี่แหะ คุณแม่บ้านญี่ปุ่น
ที่เป็นแม่บ๊าน แม่บ้านจริงๆ แล้วขับรถเกียร์ธรรมดา จะมีเยอะแค่ไหนกันนะ?

เบาะหลัง เป็นแบบม้านั่งธรรมดา ทั่วไป ไม่ได้มีอะไรพิเศษ รถในบ้านเราหลายๆรุ่น ยังหรูกว่าเลย
เอ๋า ก็แน่ละสิ นี่มันรถเล็ก K-Car 660 ซีซี แรงม้า ในกฎหมายญี่ปุ่นกำหนดไว้ว่า ไม่เกิน 64 แรงม้า (PS)
จะเอาอะไรมากมายนักหนาละ จริงไหม? มีกระจกไฟฟ้าให้ 4 บาน เซ็นทรัลล็อก และวิทยุพร้อม
เครื่องเล่น CD 1 แผ่น กับ ถุงลมนิรภัย กับเข็มขัดนิรภัย มาให้ แค่นี้ก็ดีถมเถไปแล้วละ

บนฝาผนัง ก็มีการ จัดนิทรรศการ เรื่องราวต่างๆของ Alto ในวาระฉลองครบ 30 ปี และยอดผลิต 10 ล้านคัน

ภาพนี้ แสดงถึงประวัติการกำเนิดของ Alto รุ่นต่างๆ ในแต่ละช่วงเวลา รวมทั้งสินค้า และสิ่งของ
ที่ได้รับความนิยมในช่วงเวลาเดียวกันนั้นด้วย แต่สังเกตให้ดี จะเห็นว่า ในปี 1989 Suzuki ฉลอง
ยอดผลิตครบ 1 ล้านคัน ของ Alto ด้วยการเชิญ ลูกค้า และเด็กๆ ที่ใช้ชื่อว่า A-ru to หรืออ่านว่า Alto
จากทั่วประเทศ มาร่วมงานเลี้ยงฉลองขอบคุณเช่นกัน บางคนในนั้น ต่อมา ก็ทำอาชีพ เป็นพนักงานขาย
รถ Suzuki อย่างที่เห็นในรูปเล็กๆ ใกล้ๆกันนั้น ก็มี!

ส่วนรูปนี้ ก็แสดงถึงตัวเลขยอดผลิตที่ค่อยๆไต่เต้าขึ้นมาเรื่อยๆ นับตั้งแต่ปี 1979 จนถึงปัจจุบัน
Suzuki ผลิตรถ Alto ไปแล้ว มากถึง 10 ล้านคัน!!! จากทั่วโลก โอ้ยยย เยอะกว่าที่คิดนะเนี่ย

Suzuki มีฐานการผลิต รถในตระกูล Alto หลักๆอยู่ 4 แห่ง คือในญี่ปุ่น เมืองจีน ปากีสถาน และอินเดีย
อันเป็นตลาดใหญ่สุด เพราะไปจับมือกับ Maruti Udyog ร่วมทุนกันก่อตั้ง Maruti Suzuki ผลิตรถขาย
คนอินเดียมานานแล้วตั้งแต่ยุคทศวรรษ 1980 ขายดีจนตอนนี้กลายเป็น หมายเลข 1 ในตลาดรถยนต์อินเดียไปแล้ว

แล้วก็มีการฉาย Video เล่าย้อนถึงประวัติความเป็นมาของ Suzuki Alto ตลอดเวลา 30 ปีที่ผ่านมาอีกด้วย
ดูแล้ว ทำให้นึกถึงที่ พี่โน้ต อุดม แต้พาณิชย์ เคยพูดเอาไว้ใน เดี่ยว 8 ประมาณว่า คนญี่ปุ่นนั้น เวลาขายของ
เขาจะทำให้สินค้าของเขา น่าสนใจ ด้วยการ เอาเรื่องราว ตำนาน หรืออดีตเก่าๆ มาผูกใส่เข้าไปด้วย
เพิ่มมูลค่าให้มันดูมีราคาขึ้นมา ซึ่งเป็นวิธีที่คนไทย น่าจะเอามาใช้บ้าง

ส่วนข้างล่างที่โผล่หัวมาหรอมแหรม นั่นคือ Catalogs ของรถรุ่นต่าง ที่ Suzuki ขายอยู่
ในญี่ปุ่นครับ อยากได้เล่มไหน ก็หยิบไปได้เลย ไม่มีใครว่า จะเอาไปเท่าไหร่ก็เชิญ

และนี่คือ โปสเตอร์โฆษณาของพิพิธภัณธ์ที่เราจะไปเยี่ยมชมกัน Suzuki Plaza หรือ Suzuki Reikishikan

ฝั่งตรงข้ามของบูธ Suzuki มองกลับหลังหันไปอีกด้านหนึ่งก็จะพบกับ แกรนด์เปียโนสีดำมะเมื่อมดูหรูหรายิ่งนัก
ข้างๆกันก็ยังมีมอเตอร์ไซค์อีกคันหนึ่งจอดอยู่ ทั้งหมดนี้ เป็นพื้นที่จัดแสดง ของ Yamaha ครับ

เป็น Theme การจัดแสดง “Yamaha-no Design” แปลว่า งานออกแบบของ ยามาฮ่า

จะสังเกตว่า มีตัวอักษร Katakana เขียนอยู่ อ่านว่า Kodawari เป็นคำที่มักพบบ่อยๆในงานโฆษณา
พอค้นหาในอินเตอร์เน็ตดู ก็พบว่า คำนี้ มีความหมายในทำนองว่า “พิถีพิถัน ใส่ใจใรรายละเอียด”
ประมาณนี้ หนะครับ

พอได้เวลา 9 โมง เราก็เดินลงไปยังชั้นล่างของ สถานีรถไฟ Hamamatsu กันครับ ทางพี่วิชา
นัดพบ Mr.Yamanoi กับ Mr.Oku Kimio จาก บริษัท Itochu ซึ่งจะมาต้อนรับเรา กันที่นั่น

บรรยากาศรอบๆสถานีรถไฟ นั้น หรูมาก ใช้หินอ่อนประดับประดา ตกแต่ง สวยงาม
ดูแล้ว แอบชวนให้คิดถึง Central World ขึ้นมานิดๆเหมือนกันแหะ

มีร้านขายของ ที่ระลึก ด้วย ปกติ คนญี่ปุ่น เวลาไปไหนมาไหน เยี่ยมเยือนกัน
มักจะมีของฝาก ติดไม้ติดมือมาให้กันเสมอๆ ส่วนใญ่ เป็นพวกขนมท้องถิ่น
ซึ่งก็แพ็คใส่กล่อง ห่อเอาไว้ใส่ดูดีมากๆ จนไม่รู้เลยว่า ข้างในจะเป็นขนมอะไรบ้าง

เมื่อเราทั้งหมด มาพบกันเรียบร้อยแล้ว ก็พร้อมจะออกเดินทางกันต่อไปยังสำนักงานใหญ่ Suzuki กันครับ

พอเราเดินออกมายังด้านหน้าของสถานี ก็จะพบกับ ที่จอดรถ Taxi และบรรดา
อาคารบ้านเรือนรายล้อม เป็นแพทเทิร์นคล้ายๆกัน กับสถานีรถไฟหลายๆแห่ง
ตามเมืองใหญ่ๆของญี่ปุ่นเลยแหะ พี่จิมบอกว่า ตอนที่ไป Utsunomiya กับ Honda
เมื่อปี 2007 สถานีรถไฟ JR Utsunomiya เดินออกมา ก็เจอที่จอด Taxi ขนาดใหญ่เบ้อเร่อ
และตึกรามบ้านช่องฝั่งตรงข้ามเหมือนๆ กัน ไม่มีผิด

แต่ Hamamatsu ต่างกันนิดหน่อยตรงที่ ป้ายโฆษณา ขนาดใหญ่ อย่างแรกที่เจอ
เป็นของ Suzuki เพื่อให้แน่ใจว่า เราเดินทางมาถึง ไม่ผิดเมืองแน่ๆ ก็เพราะเมืองนี้
เป็นเมืองที่ตั้งของสำนักงานใหญ่เขาเลยนี่ครับ

Taxi ที่เห็น ก็เป็นเหมือนกับเมืองอื่นๆ คือ มักจะใช้รถ Toyota Crown Comfort
Nissan Crew หรือ ไม่ก็ Nissan Cedric เวอร์ชัน สำหรับ Taxi อาจจะมี รถแปลกๆ
โผล่มาบ้าง เช่น Nissan Bluebird Sylphy อย่างที่เห็นในรูปครับ

Yamanoi-San และ Oku-san จะพาเราขึ้น Taxi เดินทางไปยังสำนักงานใหญ่ของ Suzuki กัน
และผมก็ได้ขึ้นไปนั่งใน Taxi ญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกครับ เป็น Toyota Crwon Comfort

คือ ในญี่ปุ่นเนี่ย Toyota นอกจากจะทำรถ Crown ออกมาเป็นรุ่นหรูๆแพงๆ พวก Royal Saloon
Athelete และรุ่น Hybrid แล้ว ยังมีรุ่นตัวถัง ซีดาน ธรรมดา บ้านๆ ตัวถังกว้างไม่เกิน 1.7 เมตร
ตามพิกัดการแบ่งประเภทขนาดรถยนต์ เพื่อเสียภาษีของญี่ปุ่น เอาไว้สำหรับทำ Taxi หรือ
รถโรงแรมด้วย นั่นคือ Crown ธรรมดา และ Crown Comfort อย่างที่เห็นอยู่นี่ละครับ

ตอนเปิดประตูนั้น เราอาจจะต้องดึงมือจับ เพื่อเปิดประตู แต่เมื่อเข้ามานั่งในรถแล้ว
เราไม่ต้องปิดประตูรถเองนะครับ คนขับจะกดปุ่ม ให้ประตู ดึงเข้ามาปิดเองโดยอัตโนมัติ
โดยมีชุดระบบเปิด-ปิดประตู แบบกลไกอย่างที่เห็นนี่ละครับ

มือจับเปิดประตู นี่ หน้าตาคุ้นๆไหมครับ ก็อยู่ในรถเก๋ง Toyota หลายๆรุ่น
ที่เคยขายอยู่ในบ้านเรานั่นละครับ

นี่คือบรรยากาศภายในรถ Taxi คันที่พี่จิม เขานั่ง นำหน้ากล้วยไปก่อน ซึ่งมันก็ไม่ได้ต่าง
จากคันที่กล้วยนั่งเท่าไหร่นัก คือ ต้องมีผ้าลูกไม้สีขาว คลุมบริเวณบ่าของเบาะคู่หน้า
มีโครงเหล็กกั้น และมีแผงพลาสติกใส ติดอยู่ เพื่อลดความเสี่ยงของคนขับ จากการจี้ชิงทรัพย์
และอาชญากรรมต่างๆ

แล้วก็มีคำเตือนให้คาดเข็มขัดนิรภัย รวมทั้ง ตำแนะนำตัวของคนขับ ติดเอาไว้ว่าชื่ออะไร
และจะบริการคุณให้ดี นะครับ มีอะไรก็บอกกันได้ ประมาณนั้น..มั้ง แปลไม่ออก แหะๆ

ระบบคิดเงิน ก็ใช้ Meter แบบบ้านเรานั่นเอง เพียงแต่ว่า ขึ้นรถมาปุ๊บ โดนก่อนเลย 670 เยน
จากนั้นก็คิดตามระยะทางหนะครับ มีวิทยุสื่อสาร และเครื่องอะไรต่อมิอะไรอีกนิดหน่อย

แล้วเราก็เริ่มออกเดินทางกัน นี่ดูเหมือนจะเป็นตึกที่สูงที่สุดเท่าที่ผมเห็นใน Hamamatsu ครับ
มีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ด้านบนด้วย ตอนนี้เราวนรถมาให้ดูด้านหน้าของสถานีรถไฟกัน

และนี่คือด้านหน้าของสถานีรถไฟ JR Hamamatsu ครับ มีที่จอดรถใต้ดินด้วย
แต่ทางลงที่เห็นนี้ อันที่จริง เป็นทางขึ้นจากชั้นใต้ดินมากกว่า

การออกแบบ สถานที่สาธารณะในญี่ป่นนั้น เขาจะคำนึงถึงการรวบรวมเอา
ประโยชน์ใช้สอยต่างๆที่คนต้องการใช้งานกันเยอะ มาเรียงร้อยรวมกัน
อย่างเป็นระบบและระเบียบ แต่ เน้นการใช้งานที่ง่ายดาย สะดวกกับทุกคน
ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ภายใต้ขนาดหรือพื้นที่อันจำกัดจำเขี่ยมากๆ

พอนั่งรถผ่านมาได้แป๊บเดียว เห็นบรรยากาศของเมือง Hamamatsu แล้ว
ผมละแทบไม่อยากจะเชื่อเลยครับว่า นี่คือ เมืองต่างจังหวัด ที่ห่างจาก Tokyo
ประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ จากการเดินทางด้วย รถไฟ Shinkansen ทำไมเจริญอย่างนี้
พอๆกันกับ Nagoya เลย แต่จะว่าไปแล้ว Hamamatsu เป็นเมืองอุตสาหกรรม
ด้วยอยู่แล้ว เป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่มากมาย นอกจาก Suzuki แล้ว ก็ยังมี Yamaha
ทั้งในเรื่องจักรยานยนต์ และเครื่องดนตรี ก็รวมอยู่ที่นี่ทั้งหมด เมืองนี้ มีพิพิธภัณฑ์
เครื่องดนตรี อีกด้วย เสียดายที่เราไม่มีเวลาและโอกาสเข้าไปชม

ร้านอาหาร Royal Host ก็จะดูคล้ายๆกับ ร้านอาหาร แนวครอบครัว
เหมือนกับ ร้าน Skylark ที่เคยมาเปิดในบ้านเรา แล้วกลายเป็นว่า
แปรสภาพ ไปขายตาม Food Court ในห้างสรรพสินค้า อย่างทุกวันนี้
อันนี้ พี่จิมเขาบอกว่า ถ่ายเก็บมาให้ดูเป็นไอเดีย ในการเลือกใช้โทนสี
และรูปแบบ การทำร้านอาหาร ที่ตั้งอยู่ริมถนนใหญ่หนะครับ

เรามุ่งหน้าตรงไปตามเส้นทางเรื่อยๆ ลัดเลาะมาจนถึง ใต้ทางรถไฟ
เราได้เห็น Volkswagen New Beetle Minorchange ซึ่งก็ถือเป็น
โฟล์กคันที่ 2 ผมเห็น ในญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ครับ ประเทศญี่ปุ่นเนี่ย
Volkswagen ถือเป็นรถยุโรปที่ขายดีเป็นอันดับ 1 มาช้านาน
ถึงขนาดที่ Toyota ยังมาจับมือกับ Volkswagen AG. เปิดโชว์รูม
เครือข่ายจำหน่าย DUO เพื่อขาย รถ Volkswagen โดยเฉพาะ
แต่่าเสียดายว่า โชว์รูม DUO เพิ่งถูกยุติบทบาท ไปเมื่อปีที่แล้วนี่เอง

ลุง Taxi ขับมาได้สักพัก ก็เลี้ยวขวาลอดใต้ทางรถไฟ…แล้วเลี้ยวซ้าย
เพื่อขับตรงไป เลียบทางรถไฟยกระดับข้างบน อีกชั้นหนึ่ง

มาถึงสุดหัวมุมถนน เป็นสามแยก ก็เลยเลี้ยวซ้าย ที่หน้าร้าน
ตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์ของ Daiwa แล้วเข้าโค้งขวาต่อเนื่อง
สังเกตว่า บนทางเท้า เขาจะมีเลนสำหรับจักรยาน แบ่งเอาไว้
เป็นพิเศษอีกด้วย น่าเสียดายที่ เลนจักรยาน ในกรุงเทพฯ
ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าที่ควร

พอผ่านโค้งขวา มาจะพบสามแยก อีกแห่งหนึ่ง เราขับผ่าน
โชว์รูมรถยนต์ Mitsubishi กัน ถ้าดูดีๆ จะพบว่า รูปแบบของ
การตกแต่ง ตามแบบ Corporate Identity หรือ CI ทั้งรูปลักษณ์
ของป้ายไฟหน้าร้าน ป้ายทรงสูง ตั้งตระหง่าน บอกพิกัดแต่ไกล
และการตกแต่งอื่นๆ ก็เหมือนกับ โ๙ว์รูม Mitsubishi ในเมืองไทย
นั้นละ แต่จะมรายละเอียดแตกต่างเล็กน้อย

เมื่อหลายสิบปีก่อน โชว์รูม Mitsubishi จะแบ่งออกเป็น 2 เครือข่ายจำหน่าย
ทั้งเครือข่าย Galant แน่นอนว่าจะขายแต่ รถรุ่นมาตรฐาน ทั้ง Galant Lancer
และรถเล็ก รวมทั้งรถตู้รุ่นอื่นๆ ส่วนเครือข่ายจำหน่าย Car Plaza ก็จะขาย
แต่รถฝาแฝดกับ 2 รุ่นหลัก นั่นคือ Mirage กับ Eterna (และถ้าหลายๆคนยังพอ
จะเกิดทัน Car Plaza เป็นชื่อที่ MMC Sittipol เคยเอามาใช้กับโชว์รูมในเมืองไทย
ช่วงราวๆ ปี 1989-1990 ขึ้นมา นั่นเองครับ)

ทุกวันนี้ Mitsubishi Motors ในญี่ปุ่น ขายรถได้ไม่ค่อยดีนัก เพราะลูกค้าชาวญี่ปุ่น
ยังจำฝังใจ กับภาพเหตุการณ์ ที่สำนักงานใหญ่ บริษัทแม่ โดนตำรวจญี่ปุ่น
บุกเข้าตรวจค้นอย่างสายฟ้าแลบ ในเช้าวันหนึ่งของเดือนสิงหาคม 2000
หลังโดนร้องเรียนมากมาย จนตรวจพบว่า มีการปกปิดหมกเม็ด เรื่องคุณภาพ
ของรถหลายรุ่น จนเป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตในรถบรรทุก Fuso บางรุ่น
ท้ายสุด Mitsubishi Motors จำเป็นต้องเรียก Recall รถรุ่นต่างๆ ทั่วโลก ต่อเนื่องกัน
รวมแล้ว หลายล้านคัน และสร้างปัญหาภาระต่อเนื่อง นับล้านล้านเยน จนเกือบจะ
ไปไม่รอดแล้วหนหนึ่ง ดีแต่ DaimlerChrysler (ในตอนนั้นยังแต่งงานกันอยู่)
ตัดสินใจ ไม่เพิ่มการลงทุน และถอนตัว ออกมา หลังจากเจอ Mitsubishi Corp.
บริษัทแม่ของ พยายามเพิ่มสัดส่วนผู้ถือหุ้น เพื่อหวังครอบครองกิจการเองอีกครั้ง

เข้าไปเดินเล่นได้ใน www.mitsubishi-motors.co.jp

ต่อมา ก็เป็นโชว์รูม Nissan ถ้าเป็นป้ายสีแดงแบบนี้ แสดงว่าเป็นโชว์รูมในกลุ่ม Red Stage
ซึ่งนอกจากจะขายรถหลายๆรุ่น รวมกับอีกเครือข่ายจำหน่าย คือ Blue Stage แล้ว เครือข่าย
Red Stage จะทำตลาดรถยนต์ในแนวสปอร์ตบางรุ่นไปด้วย เช่น Skyline 370Z เป็นต้น
ส่วน Nissan GT-R จะขายและรับซ่อมบำรุง ผ่านโชว์รูม ที่ได้รับการคัดเลือกโดยเฉพาะ
ซึ่งมีอยู่ไม่กี่แห่งในญี่ปุ่น ครับ เป็น Special Shop สำหรับ GT-R กันเลย

ในอดีต Nissan เอง ก็มีเครือข่ายจำหน่าย แบ่งตามแต่ละรุ่นรถ มากมายโอเวอร์เกินเหตุ
ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายหลัก Nissan เครือข่าย Motor เครือข่าย Prince (เป็นกิจการที่ต่อยอด
มาจาก การเข้าซื้อ Prince Motor ในปี 1968 และทำตลาดรถรุ่น Skyline Gloria อันเป็น
รถที่สืบทอดมาจาก Prince Motor โดยตรง รวมทั้งอีกหลายๆรุ่น ที่ทำตลาดร่วมกับเครือข่ายอื่นๆ)
ไปจนถึงเครือข่าย Sunny และเครือข่าย Cherry (2 แห่งนี้ เยโดนยุบรวมเป็นเครือข่าย Satio
ในปี 1998 ก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งในปี 1999 และทั้งหมดนี้ ถูกจับแบ่งกันใหม่
ทั้งหมด ให้กลายเป็นเครือข่ายจำหน่าย Blue Stage และ Red Stage บางแห่ง ขายกันครบทุกรุ่น
เรียกว่า Blue & Red Stage และบางแห่ง ก็เป็นโชว์รูมพิเศษ เช่น Nissan Aprrite ในเมือง KOBE

ธงหน้าโชว์รูมเป็นรูป จิงโจ้น้อย เป็นแคมเปญส่งเสริมการขายของ Nissan มาได้นานแล้วครับ
เวลาที่จะจัดแคมเปญ หรือดอกเบี้ยพิเศษอะไรก็ตาม ก็มักจะเอา จิงโจ้กลุ่มนี้มาหากินกันอยู่เนืองๆ
เข้าไปดูได้ในเว็บ www.nissan.co.jp

นั่งรถถัดมาแป๊บเดียว ก็เจอ โชว์รูม Honda ตั้งอยู่แทบจะเรียกว่า ติดๆกันเลย
สมัยก่อน Honda ก็แยกเครือข่ายจำหน่าย เหมือนกับบริษัทอื่นๆนั่นละครับ
แยกออกมารวม 3 แห่ง 2,404 โชว์รูม ทั่วญี่ปุ่น มีทั้ง PRIMO (1,494 แห่ง)
ขายรถเล็กๆ รถแม่บ้าน K-Car 660 ซีซีทั้งหลาย พวก Civic Fit (Jazz) Acty Vamos
และบรรดารถอเนกประสงค์ โชว์รูม CLIO (511 แห่ง) จะขายรถยนต์ครอบครัว
และรถในแนวหรู เช่น Accord Inspire Legend และ เครือข่าย VERNO (399 แห่ง)
สำหรับรถแนวสปอร์ตทั้งหลาย เช่น Prelude Integra NSX CR-V เป็นต้น
หรือถ้าบางรุ่น ขายดี ลูกค้านิยมเยอะ ก็อาจจะแบ่งให้ขาย รุ่นละ 2 หรือ ทั้ง 3
เครือข่าย เลยก็ได้ เช่น Odyssey StepWGN เป็นต้น

แต่ นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2006 เป็นต้นมา Honda ยุบเครือข่ายทั้ง 3 แห่งรวมไว้ด้วยกัน
เพื่อป้องกันความสับสนของลูกค้า และตอนนั้น ก็เพื่อเตรียมเอา แบรนด์ Acura เข้ามา
ทำตลาดในญ่ปุ่นเองด้วย (ต่อมา แผนนี้ถูกเลื่อนออกไปโดยไม่มีกำหนด เนื่องจาก
มีบทเรียนในกรณีของ Toyota ที่นำแบรนด์ Lexus มาขายในบ้านตัวเอง แล้วไม่ค่อย
ประสบความสำเร็จเท่าใดนัก)

อย่างที่จอดกันหน้าโชว์รูม ไล่จากซ้าย ไป ขวา ก็มีทั้ง Insight , Fit / Jazz ในบ้านเรา
และ Life K-Car 660 ซีซี อีก 2 คัน ลองเข้าไปเดินเล่นได้ที่ www.honda.co.jp

ถัดไปอีกไม่ไกล ก็เป็น โชว์รูมเครือข่ายจำหน่าย NetZ ของ Toyota
พี่ใหญ่ประจำวงการอย่าง Toyota ถือเป็นรายแรกๆที่ตั้งเครือข่ายจำหน่าย
แยกย่อยซอยยิบออกมา ในญี่ปุ่นหนะครับ มีทั้ง เครือข่าย Toyota Toyopet
(อันหลังนี่ ทุกวันนี้ยังมีอยู่ครับ พี่จิมเขาถ่ายมาให้ดูด้วย อยู่ข้างล่างๆ)
เครือข่าย Corolla แล้วก็ NetZ

ทุกวันนี้ Toyota ยังจำเป็นต้องมีเครือข่ายจำหน่ายในญี่ปุ่น เยอะแยะอย่างนี้อยู่
เพราะรุ่นรถที่ขายในบ้านตัวเอง เยอะมากจริงๆครับ ไม่รู้จะเยอะไปไหนเนี่ย
ขืนให้ทุกโชว์รูม ขายทุกรุ่นได้เหมือนกัน เซลส์ขายรถ คงงงตาเหลือก ว่าตกลงแล้ว
กรูจะขายอะไรยังไงบ้างละเนี่ย รุ่นรถมันแตกแขนงยิบย่อยไปหมดเลย

เครือข่าย NetZ นั้น ตั้งขึ้นในปี 1999 ครับ เป็นการยุบรวมเอา เครือข่ายจำหน่าย AUTO
ที่ขายรถยนต์ในแนว สปอร์ต และรถเล็ก พวก Starlet MR-2 Chaser RAV4 ฯลฯ รวมทั้ง
เครือข่าย VISTA ที่ทำตลาด รถยนต์ครอบครัว รุ่น VISTA Curren ฯลฯ อีกมาก เข้าไว้ด้วยกัน

ตอนนี้ เครือข่ายนี้ เน้นทำตลาด ist VitZ (หรือ Yaris ในบ้านเรา) Wish รถตู้ Voxy รวมทั้ง
SUV และบรรดา รถสปอร์ตรุ่นต่างๆ ที่ยังพอจะหลงเหลือทำตลาดอยู่บ้าง

ถัดมาถึงสามแยก ก็จะเป็นโชว์รูม Mazda ในช่วงยุค 1980 ผู้ผลิตรถยนต์จาก Hiroshima
เกิดอยากขยายกิจการครั้งใหญ่ เลยแตกหน่อ แบรนด์รถยนต์ออกมา เป็น Eunos เน้นจับ
ตลาดรถยนต์พรีเมียม Efini (อ่านว่า แองฟินี ต้องมีตัว อักซองต์ อีกหน่อย) แล้วก็ Autozam
เน้นขายรถเล็กเป็นหลัก ต่อมา ก็ถูกยกเลิกไปเกือบหมดในช่วง ปี 1996 รถแต่ละรุ่นที่ยัง
หลงเหลือทำตลาดอยู่จะถูกเปลี่ยนชื่อมาเป็น Mazda ทั้งหมด แต่ชื่อเครือข่ายจำหน่าย
ยังมีอยู่บ้าง ที่ใช้ชื่อ เครือข่ายหลัก Mazda ศูนย์ Mazda Efini และ Mazda Autozam

ที่เห็นอยู่นี้เป็นโชว์รูม Mazda แบบมาตรฐาน ซึ่งทำตลาดรถทุกรุ่น จะเห็นว่ามี
Demio หรือ Mazda 2 รุ่นเก่า รวมทั้ง Mazda Axela หรือ Mazda 3 รุ่นใหม่ล่าสุด
จอดเรียงกันอยู่ ถัดไปข้างใน ก็มี Mazda AZ-Wagon ที่ซื้อ Suzuki Wagon-R ไปขายเอง
รวมทั้งมินิแวน Mazda MPV ก็มีขายควบคู่ไปด้วย ถือเป็นโชว์รูมขนาดเล็ก

พอถึงทางแยก เราก็เห็นโชว์รูม Suzuki อยู่…แต่ เอ๋ ทำไมไม่เหมือนชาวบ้านเขาแหะ
แปลกันตามภาษาญี่ปุ่น ที่นี่เหมือนเป็นศูนย์ซื้อขาย แลกเปลี่ยนรถ และนำรถเข้าสู่
ตลาดประมูลอีกด้วย?  แต่ก็ยังเน้นขายรถใหม่ไปด้วยในตัว?

ถัดจากนั้นไป ก็เป็นหน้าตาของ โชว์รูมมอเตอร์ไซค์ Honda ที่จะคล้ายกับบ้านเรา
แต่ดูเมหือนว่า ในบ้านเราจะทำสวยกว่า??

ตอนนี้กล้วยนั่งอยู่ใน Taxi อีกคันหนึ่ง ที่ขับตามหลัง Taxi คันที่พี่จิม นั่งอยู่ข้างหน้า
ในเมือง Hamamatsu อันห่างไกลจาก Tokyo ที่ไหนได้ แหล่งชช้อปปิ้ง ความบันเทิง
ก็มีเต็มพิกัด ไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่เลย ฝั่งขวามือนั่น ก็เป็น Shoping Mall ฝั่งซ้ายมือ
สีเหลืองๆนั่นคือ MEGA Donkey Hote (เมก้า ดองกี้ โฮเต้) พี่จิมบอกว่า เคยเข้าร้านนี้
ที่ Shinjuku ใน Tokyo เป็นห้างใหญ่ ขายสารพัดอย่างมากมาย ไม่เว้นแม้แต่ Sex Toy!!
ผมว่า สาขานี่ก็คงไม่ต่างกันแหงๆเลย เพียงแต่น่าจะใหญ่บิ๊กบึ้มกว่ากันเยอะ

นั่งไปเรื่อยๆ เจออีกละ ศูนย์ขาย Suzuki แต่ทำไม มันเงียบเชียบ แถมไม่มีโชว์รูมเลยแหะ
คือ Suzuki จะทำตลาดแปลกกว่าบริษัทรถยนต์รายอื่นๆ คือ อู่รถทั่วไป ก็สามารถขอเป็น
เอเยนต์จำหน่าย Suzuki หารายได้เสริมได้ หรือถ้าเป็นพ่อค้าที่เคยทำธุรกิจกับ Suzuki
มาในสมัยก่อนๆ ต่อมา ก็อาจทำไม่ไหว เลยเปลี่ยนมารับซื้อขาย สั่งออร์เดอร์กันแบบนี้
แทนได้ ไม่ต้องมีหน้าร้าน ก็ขายรถได้ เป็นเอเยนต์ อีกรูปแบบหนึ่งนั่นเอง ถ้าดูดีๆ
จะเห็นมีธงริ้วของ นิตยสาร และศูนย์รับซื้อขายแลกเปลี่ยนรถเก่า Car Sensor อีกด้วย

มันคล้ายๆกับวิธีขายของ เครื่องสำอางค์ AVON Misteen และ AMWAY เลยแหะ!!

Taxi มุ่งหน้าตรงมาเรื่อยๆ และจะพาเราขึ้นสะพานเหล็ก ข้ามทางรถไฟข้างหน้า…
แหม แค่นี้ต้องถึงกับทำสะพานข้ามทางรถไฟกันเลยเหรอเนี่ย

เปล่าหรอกครับ เขาจำเป็นต้องทำสะพานข้ามกันเลย เพราะทางรถไฟที่ว่าหนะ
มันเป็นอย่างที่เห็นข้างล่างนี่ละครับ…..!!! โอ พระเจ้า นี่มันอย่างกับชุมทางรถไฟ
ที่ย่านมักกะสันเลย บ้านใครอยู่แถวรางรถไฟนี่ เขาจะหนวกหูกันไหมนะ

พอลงสะพานข้ามทางรถไฟ ที่มีขนาดสวนกันสองเลน เต็มไปด้วยสนิมแทบจะทั้งสะพาน
ชนิดแค่ลงไปเดิน ก็อาจจะติดบาดทะยักได้ ลุง Taxi ก็พาเราตรงดิ่ง ไปตามบ้านเรือนผู้คน
เห็นค่า Meter ขึ้นแล้ว ก็ ใจหาย นี่ถ้าเป็นเมืองไทย ระยะทางแค่จากสถานีรถไฟ มาถึง
สำนักงานใหญ่ Suzuki นี้ ผมว่า มีราวๆ 70-80 บาท ไม่น่าเกินกว่านี้แน่ๆ

แล้วเราก็มาถึง สำนักงานใหญ่ของ Suzuki Motor จนได้ ค่า Taxi ราวๆ คันละ ไม่เกิน 1,700 เยน ครับ

เรามีโอกาส แวะเอาสัมภาระไปพักเอาไว้ในห้องประชุมของอาคารสำนักงานใหญ่
บรรยากาศในวันนั้น เราเดินถลารอนออกมาจากหน้าตึก ปะทะกับสายลมอันหนาวเย็น
พัดผ่านมาอย่างจัง ถึงกับหนาวสั่น งกๆๆๆ กันเลยทีเดียว

เราได้เยี่ยมชม พิพิธภันฑ์ Suzuki (Suzuki Plaza หรือ Suzuki Reikishikan)
ทั้งในส่วนที่จัดแสดงเกี่ยวกับ การพัฒนารถยนต์ (คลิกอ่านเรื่องราวทั้งหมดได้ที่นี่)

รวมทั้งยังได้เยี่ยมชมประวัติความเป็นมาของ รถยนต์ และจักรยานยนต์ Suzuki
ที่ชั้น 3 อีกด้วย (ลุงคนซ้ายมือ ทำไม หน้าคล้ายๆ คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ จังเลย แหะๆ)
เรื่องราวต่างๆ อ่านต่อได้ คลิกที่นี่ครับ

และ สัมภาษณ์พูดคุยกับ หัวหน้าวิศวกร โครงการพัฒนา Suzuki Swift กันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ก็ต้องถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกันหน่อย ที่ยืนอยู่ซ้ายสุดนั่นคือ พี่เอ แห่ง TOA Group คนที่ทำให้เรา
ได้มาถึงญี่ปุ่น ในครั้งนี้นั่นเองครับ

รายละเอียดการพูดคุย อ่านได้ใน FULL Review ทดลองขับ Suki SWIFT โดยพี่ J!MMY ครับ คลิกได้ที่นี่

เสร็จจากนี้ เราก็จะออกเดินทางไปชมโรงงาน Sagara Plant
อันเป็นโรงงานประกอบรถยนต์ Suzuki ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น
โดยใช้ รถตู้ Taxi แบบนี้นั่นเอง

ในญี่ปุ่น นอกจากรถ Taxi แบบธรรมดาทั่วไปอย่างที่เห็นในรูปข้างบนนั้นแล้ว
ยังมีรถ Taxi อีกหลายประเภท สำหรับรองรับความต้องการของลูกค้าต่างๆ
อย่าง Nissan Urvan คันที่เราใช้บริการนี้ ก็เช่นกัน ในญี่ปุ่น เรียก รถตู้ Urvan
ว่า Nissan Caravan

รถคันนี้ มีบันใด ซ่อนอยู่ใต้ประตูบานเลื่อนฝั่งซ้าย ดึงเปิดเลื่อนออกมาให้คนขึ้นลงได้
และโดยปกติแล้ว เมื่อถึงจุดหมาย คนขับจะเปิดประตู ลงจากรถ และมาเลื่อนบันใด ออกมา
เชื้อเชิญให้เราลงจากรถ อย่างสุภาพมากมาย

เมื่อดูภายในรถแล้ว จะพบว่า มีการติดตั้งระบบนำทางผ่านดาวเทียม GPS Navigation System
เอาไว้ด้วย อย่างจอของรถคันนี้ เป็นยี่ห้อ ECLIPSE ของบริษัท Mitsubishi มีวิทยุสื่อสาร
มี Meter เก็บเงิน รถ Taxi ประเภทนี้ ส่วนใหญ่ ถ้าต้องขึ้นทางด่วนกันบ่อยๆ จะมีการ์ด ETC
ซึ่งก็คล้ายระบบ เก็บค่าผ่านทางด่วน Easy Pass ในเมืองไทยนั่นเองครับ แต่เดี๋ยวคอยเล่าให้อ่าน

Hamamatsu เป็นเมืองเอกของ จังหวัด Shizuoka ะว่าไปแล้ว พอจะพบเห็นการทำเกษตรได้
ตามพื้นที่ห่างไกลออกไป เพียงแต่ ผมไม่คิดมาก่อนเหมือนกันว่า บนที่ดินซึ่งมีราคาแพง ของญี่ปุ่น
จะมีคุณป้าคนเนี้ย แกจะลงทุนปลูกผักส่วนครัว รั้วกินได้ ในพื้นที่ ซึ่งมีขนาดใหญ่พอให้ปลูกบ้านได้
อีก 1 หลังสบายๆเลยทีเดียว แบบนี้ แถมที่ดินผืนที่เห็น ยังตั้งอยู่ริมถนน ที่จะมุ่งหน้าไปยังสำนักงานใหญ่
ของ Suzuki อีกต่างหากแหนะ!

ระหว่างทาง เราก็ยังได้เห็นในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นอีกด้วย โน่นเลยครับ จอดอยู่ข้างหน้าเราแล้ว

พอคุณน้า Taxi แกขับไปขนาบข้างใกล้ๆ เราก็เจอเลยครับ Daihatsu Mira 660 ซีซี ปี 1990-1994
รุ่นย่อยพิเศษ Parco ทับอยู่บน Nissan March K11 รุ่นปี 1992 สองคันนี้คาดว่าจะถูกนำไปชำแหละ
เป็นอะไหล่เซียงกงนะครับ เห็นแล้วสงสารจัง (น้ำตาคลอ)

ที่ญี่ปุ่น เมื่อคุณซื้อรถมาใช้ได้ 3 ปี กฎหมายจะบังคับให้คุณนำไปตรวจสภาพ ที่เรียกว่า “ชาคัง”
และหลังจากนั้น ค่าตรวจสภาพ รวมทั้งภาษีต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ก็จะค่อยๆสูงขึ้นเรื่อยๆ
เพื่อบีบให้ประชาชน หันไปซื้อรถรุ่นใหม่ ซึ่งมีเทคโนโลยีที่ดีกว่า เครื่องยนต์ปล่อยมลพิษน้อยกว่า
และ Recycle ได้มากกว่า แต่เราก็ยังคงเห็น หลายๆบ้าน ยังใช้รถรุ่นเก่าๆอยู่ต่อไป ก็มีอีกเยอะครับ

Yanase เป็นดีลเลอร์จำหน่ายรถยุโรป หลากยี่ห้อ ทั้ง Mercedes-Benz Smart BMW Audi Volvo
Chevrolet Cadillac HUMMER Chrysler/Jeep/Dodge ปัจจุบัน ว่ากันว่า รถยุโรป และอเมริกัน
1 ใน 4 คันที่แล่นอยู่บนถนนในญี่ปุ่นตอนนี้ ขายโดย Yanase

พ่อของ Jiro Yanase ก่อตั้งบริษัท Yanase & Co. ขึ้นในปี 1915 เพื่อที่จะนำเข้า รถบรรทุก Chevrolet
จาก General Motors เข้ามาประกอบขายเอง ใน Tokyo หลังจากที่เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ ทั่วเขต
ที่ราบ Kanto (รวมถึง Tokyo ด้วย) ในปี 1923 ตัวของ Jiro เข้ามาช่วยกิจการของพ่อ เมื่อปี 1939 หลังจาก
กองทัพสมเด็จพระจักรพรรดิ์ สั่งให้ปิดกิจการบริษัทรถยนต์ต่างชาติ ทุกราย ทั้ง Ford และ GM ที่เพิ่งไป
ตั้งโรงงานในญี่ปุ่นได้ไม่กี่ปีนัก ด้วยเหตุผลด้านการทหาร

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 Jiro Yanase ได้ขึ้นเป็นประธานบริษัทของครอบครัว ในเดือนพฤษภาคม 1945
ขายแต่รถหรูทั่วๆไป จนกระทั่ง วันหนึ่ง ได้เข้าพบและรับประทานอาหารเย็นกับ Shigeru Yoshida
จุดประกายทำให้เขาเลือกจะนำเข้าแต่รถหรูๆแพงๆ มีจำนวนน้อยๆ เท่านั้น กลยุทธ์ที่ว่า เน้นการ
นำเข้า ด้วยราคาแพง รถยุโรป หรืออเมริกัน ที่หรูจริงๆ และเน้นขายแพง เป็นหลัก

แต่ แน่นอน Volkswagen ไม่ค่อยจะเห็นด้วย ก็เลยไปจับมือกับ Toyota เปิดโชว์รูมเครือข่าย DUO
ขึ้นมา เพื่อที่ จให้ Toyota ช่วยขายรถของตนให้ เล่นเอา Yanase เคืองมาก สั่งยกเลิกการขายรถเยอรมัน
ยี่ห้อนี้ในทันที แล้วก็ไปดึงเอา Opel เข้ามาปลุกปั้นต่อ ยอดขายอันที่จริงก็ดีวันดีขึ้น แต่ต่อมา พวกพนักงาน
ของ Yanase ก็ถูกสั่งให้หว่านล้อมลูกค้า Opel เพื่อขาย Trade-in รถตัวเอง เป็น Mercedes-Benz รุ่นใหม่
ทีแพงกว่า อีกทั้ง นโยบายของ GM ก็คือ ไม่ต้องการขาย Opel ใน Asia อีกต่อไป บทสรุปคือ พวกเขา
ฆ่าแบรนด์ Opel ทิ้ง ในญี่ปุ่น และตลาดอื่นๆโดยรอบทั้งหมด รวมทั้งไทยด้วย  หวังจะปั้น Chevrolet
ให้เป็น Mass Brand ตัวใหม่ ให้ได้

แต่ Yanase เองก็ลืมไปว่า การกระทำของ Volkswagen เท่ากับเป็นตัวอย่าง ให้แต่ละผู้ผลิต ตัดสินใจ
เข้ามาเปิดฉากการลงทุน สร้างเครือข่ายจำหน่ายของตัวเองได้เลย ดังนั้น ก็ทำให้ Yanase เริ่มจ๋อย
หมดท่า และ สุดท้าย Yanase เองก็กลายเป็นเพียง Mega Dealer เหมือนเนที่เคยเกิดขึ้นแล้ว
ในเมืองไทย

เขาจากโลกนี้ไปเมื่อ 13 มีนาคม 2008 ด้วยโรค Pneumornia ในวัย 91 ปี ณ โรงพยาบาล Tokyo
ลองเข้าไปคลำหาทางเล่นๆดูด้ครับที่ www.yanase.co.jp

ปั้มน้ำมันในญี่ปุ่น ไม่ได้มีแค่ยี่ห้อฝรั่งที่เราคุ้นเคยในเมืองไทยเท่านั้นครับ
หากแต่ยังมียี่ห้อแปลกๆ อย่างนี้ด้วยครับ เช่น KYGNUS ของบริษัท
KYGNUS SEIKI K.K. ซึ่งเมื่อลองเช็คในเว็บไซต์ของพวกเขา จะมี
น้ำมันออกเทน 100 ขายด้วย ชื่อ Alpha 100 ลองเข้าไปเดินเล่นได้ใน
kygnus.jp ไม่ต้องพิมพ์ www แต่ควรจะอ่านญี่ปุ่นเป็นนะครับ เพราะ
ไม่มีภาษาอังกฤษเลย

นั่งรถชมเมืองไปเรื่อยๆ จู่ๆ เจออีกแล้ว พื้นที่ขายรถมือสองของ ดีลเลอร์ Suzuki
ในท้องถิ่น มีพื้นที่นิดหน่อย จู่ๆ ก็เอารถมาวางขายกันอย่างนี้เลย

แต่ตัวสำนักงานหนะ อยู่ฝั่งตรงข้ามครับ ไม่มีอะไรสะดุดตา มากไปกว่า
Suzuki Palete SW สีขาว และ Wagonr-R สีดำที่จอดอยู่ ด้านหน้า 2 คัน

แต่พอเลยถัดไปอีกนิดเดียว อู้หู! เยอะไปหมดเลยครับคุณผู้อ่าน บรรดารถมือสอง
จอดอยู่ในลานโล่ง ตกแต่งด้วยธงริ้ว ในสไตล์พ่อค้าญี่ปุ่นยุคปัจจุบัน มีแม้กระทั่ง
Lancer Evolution VIII ก็ยังเอามาตั้งขายกันที่นี่เลยแหะ

ปั้มน้ำมัน ESSO ตกแต่ง ด้วย Corporate Identity เหมือนกับ ปั้ม ESSO ในเมืองไทยเลยแหะ
และยังเป็นแบบ Self Service คือ ไม่มีเด็กปั้มอำนวยความสะดวก ดังนั้น คุณต้องช่วยตัวเองครับ! 

ที่เห็นอยู่นี้คือ โชว์รูม Toyota แต่เป็น เครือข่ายจำหน่าย Toyopet
นี่ไงครับ ชื่อนี้ ยังไม่ตาย ยังมีใช้อยู่จนถึงทุกวันนี้ คนรุ่นคุณพ่อคุณแม่ผม
อาจจะยังพอจำได้ว่า Toyopet คือชื่อของ Toyota รุ่นแรกๆที่เข้ามาขายในเมืองไทย
แต่ทุกวันนี้ ชื่อนี้ จะใช้เฉพาะชื่อเครือข่ายจำหน่ายแบบนี้ โลโก้มาเป็นสีเขียว
เน้นขายรถยนต์ประเภทอนุรักษ์นิยมนิดนึง เช่น Mark-X Prius รถตู้ Alphard ฯลฯ

และโชว์รูมแห่งนี้ ก็มีศูนย์แลกเปลี่ยนซื้อขายรถมือสองเสร็จสรรพ
ในเมืองไทย Toyota บ้านเรา เรียก ศูนย์แลกเปลี่ยนซื้อขายรถ Used Cars
ของตัวเองว่า Toyota SURE แต่ในญี่ปุ่น เขาจะเรียกว่า U-Car

แต่ในเมือง Hamamatsu ชื่อ AIWA นั้นยังอยู่ครับ แต่เป็น บริษัทขายรถไปซะงั้น!
บริษัทนี้ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับ AIWA ที่ขายเครื่องเสียงนั่นหรอกครับ
แต่เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นมาใช้รู้จักกันในท้องถิ่นละแวกนั้นเฉยๆ เขาเน้นขายรถยุโรปกัน
เป็นล่ำเป็นสัน และมักเป็นรถยุโรปมือสอง

ฝั่งตรงข้ามเขาก็มีโชว์รูมครับ และเขายังเป็น ดีลเลอร์รายหนึ่งของ Mazda
ในเมือง Hamamatsu นี้ด้วย เว็บของพวกเขาก็มครับ www.aiwa123.com

และนี่คือ โชว์รูม MINI ของเมือง HAMAMATSU ภายใต้การกำกับดูแลของ BMW Japan
ส่วนการบริหาร แน่นอนว่าเป็นของนักลงทุนในท้องถิ่น ดูแล้วอย่างกับว่า อยู่ใน Los Angelis
มากกว่า จะอยู่ในเมืองอย่าง Hamamatsu ซะอย่างนั้นแหละ

กำลังสงสัยอยู่เลยว่า ทำไมถนนสายที่เรานั่งรถผ่านกันอยู่นี้ ถึงมีแต่โชว์รูมรถยนต์เต็มไปหมด
พอมาเห็นป้ายชื่อถนน ก็ไม่แปลกใจละ ป้ายชื่อถนสายนี้คือ Jidoshagai-dori ซึ่งแปลได้
คล้ายๆกับว่า เป็นถนนสายรถยนต์ เลย นั่นเอง หัวมุมถนนที่เห็นก็เป็นร้านขายจักรยานยนต์

หัวมุมถนน Jidoshagai-dori ที่เรามาหยุดอยู่รอสัญญาณไฟตรงนี้ เป็นสี่แยก ที่เยื้องกันไปมา
เวลารถแล่นมาจากฝั่งตรงข้าม ก็เลยดูคล้ายว่า รถที่เราแล่นไปนั่น กำลังจะพุ่งเข้าชนกับ
รถที่แล่นสวนมา ทั้งที่จริงๆแล้ว ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลยครับ

หัวมุมอีกฝั่งถนนหนึ่ง เป็น ปั้มน้ำมัน Shell มีป้ายเขียนภาษาญี่ปุ่นว่า Self
ซึ่งแปลว่า ให้ “ช่วยตัวเอง”….เปล่าครับ ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างน้านนน
แหม คุณผู้อ่านก็ รีบคิดลามกกันใหญ่เชียวนะ

มันแปลว่า ปั้มน้ำมันแห่งนี้ ไม่มีพนักบริการ หรือ เด็กปั้ม นั่นเอง คุณๆ ที่จะเติมน้ำมัน
ต้องขับรถเข้าไปจอดเทียบท่า เดินลงไปหาแคชเชียร์ บอกประเภทน้ำมัน และจำนวนเงิน
ที่ต้องการจะเติม แล้วค่อยเดินไปหยิบหัวจ่ายมาเสียบเติมที่รถของคุณผู้อ่านนั่นเอง
ก็เป็นวิธีการที่ใช้กันมานานแล้ว ในสหรัฐอเมริกา และบางประเทศในแถบยุโรป
แต่เพิ่งเริ่มมาใช้กันในญี่ปุ่น เมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง

หัวมุมอีกฝั่งถนนหนึ่ง เป็น ปั้มน้ำมัน Shell มีป้ายเขียนภาษาญี่ปุ่นว่า Self
ซึ่งแปลว่า ให้ “ช่วยตัวเอง”….เปล่าครับ ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างน้านนน
แหม คุณผู้อ่านก็ รีบคิดลามกกันใหญ่เชียวนะ

มันแปลว่า ปั้มน้ำมันแห่งนี้ ไม่มีพนักบริการ หรือ เด็กปั้ม นั่นเอง คุณๆ ที่จะเติมน้ำมัน
ต้องขับรถเข้าไปจอดเทียบท่า เดินลงไปหาแคชเชียร์ บอกประเภทน้ำมัน และจำนวนเงิน
ที่ต้องการจะเติม แล้วค่อยเดินไปหยิบัวจ่ายมาเสียบเติมที่รถของคุณผู้อ่านนั่นเอง
ก็เป็นวิธีการที่ใช้กันมานานแล้ว ในสหรัฐอเมริกา และบางประเทศในแถบยุโรป
แต่เพิ่งเริ่มมาใช้กันในญี่ปุ่น เมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง

ส่วน MEGA WORLD ด้านหลัง นั้น ดูเหมือนจะเป็นห้างขายสินค้าครับ

ฝั่งขวามือ ก็จะมีโชว์รูม Subaru ซึ่งเป็นภาพที่แปลกตาไปอีกแบบครับ เป็นโชว์รูม
ของบริษัท Shizuoka Subaru เขาขาย Porshce กับ Subaru ด้วยกันในโชว์รูมเดียวกันเลยแหะ
ดูแปลกตาไปอีกแบบ พอเข้าไปเช็คดูในเว็บไซต์ของพวกเขา www.shizuoka-subaru.co.jp
ท่าทางเจ้าของดีลเลอร์นี่ต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ เพราะว่า เพิ่งสร้างศูนย์ Porshce Center Hamamatsu
เสร็จหมาดๆเลย ลองเข้าไปดูในนั้นได้ครับ ส่วนเว็บของ Subaru ในญี่ปุ่นนั้น ก็คือ
www.subaru.jp

และนี่ไงครับ โชว์รูมเครือข่ายจำหน่ายหลัก TOYOTA ซึ่งปกติ จะขายรถยนต์รุ่นหลักๆ
จำพวก Crown Prius Estima Land Cruiser ทุกรุ่น รวมทั้ง Prado รถบรรทุก Dyna ฯลฯอีกมาก
การตกแต่งโชว์รูมของเขา จะมีรูปแบบ ประมาณนี้ (เว็บ Toyota ญี่ปุ่น คลิกที่ toyota.jp ไม่ต้องใส่ www)

นี่ก็เป็นโชว์รูม Honda อีกแห่งหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนจะใหญ่กว่าแห่งแรกที่พี่จิมถ่ายรูปให้ชมกันข้างบน
ตอนที่เราไปนั้น รถตู้ StepWGN รุ่นล่าสุด ทั้งรุ่นปกติ และรุ่น Spada เพิ่งเปิดตัวพอดี ในงาน Tokyo Motor Show
เขาเพิ่งเริ่มโปรโมทกันด้วยการนำ Ultra Man ทั้งหมด มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ในภาพยนตร์โฆษณาทางโทรทัศน์

แล้วในที่สุด ผมก็ได้เห็นโชว์รูม Suzuki ขนาดใหญ่แบบเป็นชิ้นเป็นอันจริงๆซะที
เป็นโชว์รูม เครือข่ายจำหน่าย Suzuki Arena ซึ่งเป็นเครือข่ายจำหน่ายขนาดใหญ่
ที่เมื่อก่อน จะทำตลาดรถในเครือ General Motors หรือ GM ไปพร้อมกันด้วย
แต่เดี๋ยวนี้ เหลือทำตลาดเอาไว้แค่รถยนต์ในกลุ่ม Suzuki เพียงอย่างเดียว
เช่นตอนนี้ ก็จอดกันเต็มลานเลย ดูไปดูมา มีแต่ K-Car 660 ซีซี ทั้งนั้น น่ารักเชียวครับ

ดูรายละเอียดของ รุ่นรถยนต์ Suzuki ที่ขายในญี่ปุ่นได้ที่ www.suzuki.co.jp

โชว์รูมนี้ ก็เป็นของ กลุ่ม AIWA Automobile อย่างที่เขียนเล่าไว้ข้างบนนั่นเอง
เป็นโชว์รูม Mazda Autozam AIWA ซึ่งก็เป็นหนึ่งในเครือข่ายจำหน่าย Autozam
ที่เหลืออยู่น้อยลงทุกที ในญี่ปุ่นนั่นเอง จะเน้นขายแต่ รถยนต์รุ่นหลัก และขายดี
ของ Mazda คือทั้ง Demio (Mazda 2) Axela (Mazda 3) รวมทั้ง รถเล็กในกลุ่ม
K-Car ที่ Mazda ซื้อาก Suzuki มาขายเอง ทั้ง Carol AZ-Wagon AZ-Offroad ฯลฯ
อันที่จริง มีเว็บของเขาอง แต่ในเมื่อ กดไปแต่ละลิงค์ ก็ยิงตรงเข้า www.mazda.co.jp
ทุกที ดังนั้น เข้าเว็บ Mazda ญี่ปุ่นไปนั่งดูเลยดีกว่ามั้งครับ

ส่วนนี่เป็นโชว์รูมของ Gulliver (กัลลิเวอร์) เป็นบริษัทซื้อขายรถยนต์มือสอง
ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นตอนนี้ โดยจะรับซื้อรถ หรือรับฝากขาย ทั้งผ่านโชว์รูมปกติ
กว่า 500 แห่ง และผ่านเข้าสู่ระบบประมูล ซึ่งมีศูนย์ประมูลรถ ประมาณ 150 แห่ง
ในญี่ปุ่น ภายใน 7-10 วัน ก็จะได้รับเงินสดทันที ถ้าอยากรู้ว่าเป็นอย่างไร ก็เข้าไป
อ่านต่อ ได้ที่นี่ www.glv.co.jp/company/en/ ในเว็บจะมีภาคภาษาอังกฤษด้วยครับ
และบริษัทนี้เขาก็เริ่มขยายตัว ไปตั้งสาขา ที่สหรัฐอเมริกา ใน Orange County
ที่เมือง Los Angelis รัฐ California มาตั้งแต่ปี 2004 แล้วด้วย

และโชว์รูมสุดท้ายที่ เราถายรูปมาให้ดูกัน นั่นก็คือ โชว์รูม Alfa Romeo Hamamatsu ครับ
จะเห็นว่า บรรดารถทั้งมือสอง และรุ่นใหม่ ของค่าย งูกินเด็ก และค่าย Fiat ก็จดเรียงแถวกันสลอนเลย

ที่ญี่ปุ่น Alfa Romeo Mi.To เขาขายกันแล้ว เมื่อไหร่บ้านเราจะได้เห็นวิ่งกันบ้างเสียทีนะ?
พี่จิมบอกว่า โชว์รูม Fiat และ Alfa Romeo นั้น ไม่ค่อยจะเห็นได้ง่ายนักในญี่ปุ่นครับ
เจอเมื่อไหร่ ก็ถ่ายรูปมาได้เลย

ฝั่งขวามือ เป็นสำนักงานเขต Hamamatsu Higashi พิพิธภัณฑ์อุตสาหกรรม Hamamatsu
และศูนย์สนับสนุนอุตสาหกรรมท้องถิ่น เราจะขับตรงไป ผ่านสี่แยก Tenryu ตามทางหลวง
หมายเลข 65 เพื่อไปขึ้นทางด่วนสาย Tomei กันครับ

ปั้มน้ำมันเชลล์ อีกแห่งหนึ่งที่เราขับผ่าน รู้สึกว่า ปั้มแห่งนี้ จะขายน้ำมันแพงกว่า ปั้มเชลล์ อีกแห่ง
กลางใจเมือง ที่เรานั่งรถผ่านกันมาก่อนหน้านี้ชัดเจน เบนซินธรรมดา ขายลิตรละ 126 เยน เบนซินพิเศษ
Hi-Octane ขายตั้งลิตรละ 137 เยน ส่วนดีเซล ขายตั้ง 105 เยน

นอกเหนือจากปั้มน้ำมัน Shell Esso และ Kygnus แล้ว ที่นี่ยังมีปั้มน้ำมัน ENEOS อีกด้วย
เป็นของบริษัท Nippon Oil Corporation มีเว็บไซต์ www.eneos.co.jp/english/

ส่วนปั้มแห่งนี้ คือ สถานีบริการน้ำมัน JOMO เป็นแบรนด์ อันดับรองๆในญี่ปุ่น
ของ บริษัท Japan Energy เว็บของพวกเขาก็มี www.j-energy.co.jp/english/

เรามาถึงด่านทางขึ้นทางด่วน Tomei กันแล้วครับ ประเทศญี่ปุ่นนี่ แทบจะเรียกได้ว่า
เป็นต้นตำรับของระบบเก็บค่าผ่าทางอัตโนมัติ เลยครับ ทีญี่ปุ่นเรียกว่า ETC
(Electronics Toll Control System) คือ วิธีการก็จะคล้ายๆกับระบบ Easy Pass ของ
การทางพิเศษแห่งประเทศไทยนั่นละ แต่ที่ต่างไปหน่อยก็คือ ผู้ขับขี่ที่ต้องการจะใช้ระบบนี้
ต้องซื้อบัตรฝัง SHIP  และเครื่องเสียบบัตร พร้อมระบบรับส่งสัญญาณในรถ ให้เรียบร้อย
กันก่อนเลย เวลาขับผ่านเข้าด่าน ใช้ความเร็ว ประมาณ 30 กิโลเมตร/ชั่วโมง ไม้กั้นก็จะกระดกขึ้นให้เอง
เมื่อมีการแลกเปลี่ยนสัญญาณข้อมูลจำนวนเงินคงเหลือในบัตรเรีบร้อยแล้ว ใช้จ่ายไปเท่าไหร่
ก็จะมีบิล ตามไปเก็บกันถึงบ้าน ในแต่ละเดือน

จ่ายค่าผ่านทางแล้ว เรามุ่งหน้าตรงไปยังเลนที่จะไปยัง Shizuoka

ลอดใต้ทางด่วนนี่ละ แล้วเข้าโค้ง 180 องศา ไปทางซ้าย

แล้วเราก็เข้าสู่ ทางด่วนสาย Tomei คราวนี้จะมุ่งหน้าต่อไปยัง ทางออก Sagara 

ระบบนำทาง Navigation System ของ Eclipse ในรถตู้ Taxi จะแสดงหน้าจอได้หลายแบบ
แต่เมื่อใกล้ทางแยก หรือทางลงทางด่วนต่างๆ จะแบ่งหน้าจอและแจ้งเตือนให้ผู้ขับขี่รู้ล่วงหน้า
ในเวลาเหมาะสมครับ ตอนนี้เราขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำอยู่

อ้าว! แล้วนั่นเกิดอะไรขึ้นทำไมคุณตำหนวดถึงเรียกล่ะ สงสัยจะขับรถเร็วเกินกำหนดนะครับ
จะว่าไป ภาพแบบนี้ สงสัยคงจะไม่ค่อยเกิดขึ้นเท่าไหร่นัก เพราะขนาด คุณ Keichi Suzuki จากทาง Suzuki
ที่เป็นไกด์นำทัวร์ ให้กับเราในวันนั้น ก็ยังหันไปมองเลยว่า เกิดอะไรขึ้นกับ Toyota Corolla Fielder Van คันนั้น
ลองเป็นเมืองไทยดูสิ คงได้เห็นกันจนชินตาเลยละ! โปรดสังเกตว่า รถตำรวจ คันนี้ เป็น Toyota Crown!!

สองข้างทางระหว่างที่เรานั่งไปก็จะเป็นเนินเขา
สลับกับที่ราบไปเรื่อยๆครับ แล้วก็จะมีบ้านคนเป็นระยะๆ

สะพานแขวน บ้านเรา หาได้ค่อนข้างยาก แต่ที่ญี่ปุ่น ไกลห่างจาก Tokyo ขนาดนี้ ก็ยังมีให้เห็นเลยครับ

ส่วนที่เห็นในภาพเขียวๆนั่น เป็นต้นชาเขียวครับ
ปลูกกันเยอะแยะมากมายและเป็นระเบียบครับ ดูสวยเชียว
เห็นแล้วอยากลงไปขโมยมากๆๆ

ตอนนี้ เราก็มาถึงใกล้กับทางออก Sagara แล้วครับ ทางด่วนในญี่ปุ่น จะมีป้ายบอกทางเป็นระยะๆ
กลัว ผู้ขับขี่จะหลง เพราะว่าถ้าหลุดจากทางออกไปแล้ว กว่าจะย้อนกลับรถมาได้ นั่นอาจหมายถึงว่า
ต้องขับเลยไปยังอีกเมืองหนึ่งก่อนเ แล้วค่อยขึ้นทางด่วนย้อนกลับมา กันเลยทีเดียว เพราะหากใช้
เส้นทางลัดเลาะระหว่างเมือง ก็อีกนานกว่าจะถึงจุดหมาย ระบบ Navigation System จึงต้องแม่นยำมาก

พอเบี่ยงออกซ้าย ก็เข้าทางโค้งขวา ลอดใต้ทางด่วนมา จะพบกับ ด่านเก็บค่าผ่านทาง Sagara-Makinohara
ซึ่งปกติแล้วในญี่ปุ่น มักจะเก็บค่าผ่าทาง ทั้งในช่วงขาเข้า และช่วงขาออก 2 ครั้ง ขับไปไกลแค่ไหน
ก็จ่ายไปตามนั้น

ผ่านด่านเก็บเงินแล้ว เลี้ยวโค้งออกมาทางซ้าย ก็จะเจอทางแยก เลี้ยวขวาไปอ่าว Shizunami 

พอมองไปฝั่งขวา อ้าว! ป้ายบอกทาง ไปโรงงาน Sagara อยู่ตรงนี้พอดี! ดูเหมือนเราต้องเลี้ยวขวากันละครับ

พอรถแล่นไปได้เรื่อยๆ เราก็…เจออีกแล้วๆๆ โชว์รูม Suzuki จะเยอะไปไหนเนี่ย
แต่ดูเหมือนว่า จะเป็นบ้านคน ดังนั้น น่าจะเป็นเอเยนต์รายย่อย ในท้องถิ่นมากกว่า
แหม ทำป้ายหน้าบ้านซะอลังการงานสร้างเลยทีเดียว

ว่าแล้วเชียว ว่าต้องเป็นเอเยนต์ธรรมดา เพราะมี Suzuki Every Wagon 660 ซีซี จอดเด่นเป็นสง่าอยู่หน้าบ้านคันเดียวจริงๆด้วย

เส้นทางในช่วงนี้ เป็นทางโค้งต่อเนื่องกันนิดหน่อย ไปตามไร่ชา และบ้านเรือนเกษตรกร ทางโค้งทาด้วยสีแดง ให้ระมัดระวังกัน

ในท้องถิ่นห่างไกลแบบนี้ ถ้าไม่มีร้านสะดวกซื้อ เห็นที่ต้องขับรถถ่อไปไกลแน่ๆ
ส่วนใหญ่ ในร้านสะดวกซื้อตามต่างจังหวัดนั้น มักจะมีที่จอดรถขนาดใหญ่โตกว่าในบ้านเราเยอะ

พอมาถึงทางแยก ก็มีป้ายบอกให้เราเลี้ยวซ้าย….มีป้ายเป็นระยะๆเลยทีเดียว

ถึงแล้ว! ปากทางเข้า โรงาน Sagara!!

นี่แค่พวกเรากำลังเดินทางผ่านเข้าไป ก็เห็นบรรดารถที่เพิ่งผลิตเสร็จ จอดอยู่เรียงรายมากมาย ทั้ง Grand Vitara/Escudo และ Splash

ส่วนกองนี้ มีแต่ Splash กับ Chevrolet MW-Wagon

หากอยากชมเรื่องราวของโรงงานประกอบรถยนต์ Suzuki Sagara Plant กันต่อ อดใจรอกันอีกนิดครับ
พี่จิม กำลังเตรียมเรื่องราว มาทำเป็นบทความให้อ่านกันอยู่ อีกไม่นานครับ

แต่ตอนนี้ ขอตัดภาพข้ามมายัง ช่วงขากลับ ตอนที่เราจะมุ่งหน้าเข้ากรุง Tokyo เลยก็แล้วกัน

17.00 น.

เราออกเดินทาง จากโรงงาน Sagara มุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุด
ที่สามารถขึ้นรถไฟ Shinkansen ได้ เพราะถ้าจะให้ไปที่สถานี Hamamatsu
คงไม่ทันการณ์แน่ๆ

รถคันข้างหน้าเรานี้ Made in Thailand นะครับ จำได้หรือเปล่า
Honda City ZX นั่นเอง แต่ที่ญี่ปุ่น ขายในชื่อ Honda Fit ARIA

โดยเราจะนั่งรถย้อนเส้นทางกลับไปยังทางด่วนสาย Tomei อีกครั้งหนึ่ง

บรรยากาศของทางด่วนสาย Tomei ในตอนใกล้พลบค่ำ 

พอลงทางด่วนมาได้ ก็เจอสี่แยก เราจะเลี้ยวขวา และลัดเลาะเพื่อไปถึงสถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุด

หลังจาก เวลาผ่านไป ราวๆ 5-7 นาที หลังลงทางด่วน เราก็มาถึงสถานีรถไฟแห่งนี้จนได้

ตรงหัวมุมทางแยก ก็จะมี ศูนย์รถเช่า ของ Toyota อยู่ เรียกว่า Toyota Rent a Car
ศูนย์รถเช่าของบริษัทผู้ผลิตรถ ส่วนใหญ่จะตั้งใกล้ๆ สถานีรถไฟ สนามบิน เพื่อให้
ลูกค้ามาใช้บริการได้สะดวก อีกทั้ง ยังเป็นวิธีหนึ่ง ที่ช่วยให้ลูกค้า มีโอกาส ทดลองขับ
รถรุ่นที่ตนกำลังจะซื้อ ใช้งานกันในสภาพจริงๆ อีกทั้ง ยังเป็นวิธีหมุนเวียนรถใหม่
ที่ผลิตออกมาได้อีกช่องทางหนึ่งด้วยครับ ทั้ง Toyota Nissan Mazda ก็เลยทำธุรกิจนี้
ในญี่ปุ่น กันสนุกไปเลย

ผมกับพี่จิม จำไม่ได้แล้วว่าสถานีแห่งนี้มีชื่อว่าอะไร แต่ จุดเด่นอยู่ที่ การมีสามเหลี่ยมปิระมิดตั้งตระหง่ายหน้าอาคารสถานีกันเลย

เมื่อเดินเข้าไป ทางขวามือ จะเป็นทางไปห้องน้ำ และร้านขายของชำร่วย 

บริเวณนี้ เป็นห้องจำหน่ายตั๋วรถไฟ Shinkansen ครับ ปรากฎว่า เรามาช้าไป 2-3 นาที ต้องรอขบวนรถไฟต่อไปอีก 25 นาที

ดังนั้น ระหว่างนี้ ผมก็เลย สำรวจดูบริเวณรอบๆสถานีรถไฟกัน นี่คือตู้จำหน่ายตั๋วรถไฟท้องถิ่นครับ 

พอเข้าไปดูใกล้ๆ หน้าตาก็คล้ายกับเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติทั่วไปในระบบรถไฟของญี่ปุ่นนั่นเอง แต่เป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมดเลย ถ้าไม่ได้อยู่ใน Tokyo หรือเมืองท่องเที่ยวใหญ่ๆ

ส่วนตารางที่เห็นนี้ คือตารางเดินรถไฟท้องถิ่น สาย Tokaido ครับ ตอนถ่าย พี่วิชาเขาถามว่า “จะถ่ายทำไมเนี่ย ไม่ใช่ตาราง Shinkansen ซะหน่อย” (อ้าว! แหะๆ) 

เมื่อใกล้เวลาแล้ว เราก็จะเดินขึ้นไปยังชานชาลา ป้ายในสถานีรถไฟส่วนใหญ่บอกชัดเจนครับ ไม่ต้องกลัวหลง

บรรยากาศของสถานีรถไฟ ตอนเย็น นี่มันสวยยยย จังเลยแหะ ยิ่งตอนแสงอาทิตย์ใกล้อัสดงด้วยแล้ว มันได้อารมณ์เหมือนกันนะเนี่ย

พอหันกลับมามองทางซ้ายมือ เราก็พบว่า ชานชาลาของสถานีแห่งนี้ ยาวมากๆ ยาวกว่า สถานี BTS ในบ้านเราแน่ๆ 

และที่สถานีนี้เองที่ผมได้เห็นอะไรที่ถือว่าเป็นที่สุดของแจ้จริงๆ และไม่คิดว่าจะได้เห็นมาก่อน
นั่นก็คือ ภาพวินาที ที่รถไฟ Shinkansen 2 ขบวน วิ่งสวนกันแทบจะในทันที พร้อมๆ กัน

คุณผู้อ่านลองนึกภาพตามผมนะครับ ก็คือผมกำลังยืนรอขบวนรถไฟอยู่นี่ล่ะ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียง
ขบวนรถไฟ Shinkansen ขบวนแรก ในรอบหลายนาที วิ่งมาจากซ้ายมือของผม แล้วผ่านหน้าไป
อย่างรวดเร็ว แต่ในช่วงเวลาห่างกันไม่ถึง 3 วินาที ก็มี Shinkansen อีกขบวนหนึ่ง วิ่งมาจาก
ทางขวามือของผม พุ่งทะยานผ่านหน้าไปพวกเราไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน

ผมเห็นแล้วแบบ พระเจ้า สุดสุดไปเลย มันยากจะบรรยายครับ ตอนที่ รถแต่ละขบวน
วิ่งผ่านไป ผมรู้สึกได้ถึงความมีพละกำลังมหาศาลอันน่าเกรงขาม ของรถไฟทั้ง 2 ขบวนนั้น
และผมเข้าใจแล้วละครับว่า เสียงที่เราได้ยินในช่วงแรกที่เดินทางกัน ในขณะวิ่งลอดเข้าไปในอุโมง
และมีเสียงการแหวกกระแสลม นั้น ทำไมถึงดังเหลือเกิน ก็ขนาดเรายืนกันอยู่ริมชานชาลา
เสียงตอนขบวนรถแหวกอากาศ ยังดังขนาดนี้เลย

สถานีแห่งนี้ แม้จะมีการรักษาความปลอดภัยตามมาตรฐานของสถานีรถไฟญี่ปุ่นทั่วไป
แต่ เขาก็ไม่ต้องมามียามคอยเป่านกหวีด ป้องกันไม่ให้ผู้โดยสารไปยืนใกล้รางจนเกินไป
เหมือนอย่างที่ BTS บ้านเราต้องมี จะว่าไป ในแต่ละปี สถิติ คนที่กระโดลงไปฆ่าตัวตาย
บนชานชาลาของสถานีรถไฟในญี่ปุ่น มีอยู่เรื่อยๆ แต่ทุกฝ่ายก็พยายามป้องกันปัญหานี้กันเต็มที่

เมื่อมองลงมาจากชานชาลา จะเห็นภาพอีกฝั่งหนึ่งของเมืองเล็กๆแห่งนี้ มีรถไฟท้องถิ่น และโรงแรมแบบ Bussiness Hotel ให้บริการด้วยครับ 

ในที่สุด Shinkansen ขบวนที่เรารอคอย ก็มาถึงแล้วคร้าบบบบ แล้วพี่ๆทั้งสี่คน Mr.Ymanoi
และ Oku-san รวมทั้งผม ก็เข้าไปนั่งใน ขบวนรถ เพื่อมุ่งหน้าเข้าสู่ Tokyo กันครับ

ตลอดการเดินทาง พี่เอ ก็เล่าเรื่องราวต่างๆมากมายให้เราฟัง ซึ่งหลายๆเรื่อง ก็ทำให้ผม
ได้เรียนรู้จากประสบการณ์อันล้ำค่า ในการทำธุรกิจ ของพี่เอ มาไม่น้อยเลยทีเดียว
เป็นโอกาสอันดีมากๆๆๆๆ ที่ไม่อาจหาได้จากที่ไหนง่ายๆ จริงๆ

ขบวนรถไฟ Shinkansen วิ่งเร็วมากๆ เพียง 1 ชั่วโมงหลังจากนั้น เราก็มาถึง Tokyo แล้ว
จากนี้ ต้องเดินขึ้นบันไดเลื่อน ที่ชานชาลาไป แล้วยังต้องเดินไปอีกไกลพอสมควร
สภาพของผู้คน ที่ Tokyo นั้น เร่งรีบกว่าทั้งใน Nagoya และ Hamamatsu มากๆๆๆๆ
ต้องเร่งเดิน เร่งแซง เร่งเบียด อย่างกับจะรีบไปแข่ง F-1 กันที่ไหนงั้นละ

และนี่คือ สถานีรถไฟ JR Shinnagawa ที่เรามาถึงครับ (พวกเราเดินออกมา
ตรงแถวๆ คำว่า JR ด้านซ้ายของรูปนี้นั่นเอง) ดูจากรูปข้างบน เหมือนสถานี
แห่งนี้ ไม่ใหญ่โตเท่าใดนัก ถ้ามองจากแค่ในรูปนะครับ

แต่ถ้าลองมายืนดูในมุมกว้างกว่านี้สักหน่อย ก็จะเห็นว่า ตัวอาคารสถานีนั้น
รวมทั้ง ร้านอาหาร ร้านหนังสือ และอื่นๆอีกมากมาย รวมทั้งห้างสรรพสินค้าด้วย
มีขนาดใหญ่มากๆ 

หากยืนจุดเดียวกัน แต่มองไปทางขวา ก็จะเห็นกลุ่มอาคารสำนักงานมากมาย สำนักงานใญ่ของ Canon ก็ตั้งอยู่ตรงนี้ มีแต่ ตึก ตึก และตึก

ทั้ง 3 รูป ข้างบนนั้น พี่จิม เขาถ่ายจาก ฝั่งโรงแรมที่เรายืนอยู่ อันเป็นจุดหมายของเราในคืนวันนี้
ใช่ครับ โรงแรม Shinnagawa Prince Hotel ซึ่งเป็นโรงแรมที่ มีขนาดค่อนข้างใหญ่โตมาก
โรงแรมแห่งนี้ ตั้งอยู่ติดกัน และมีส่วนทางเดินเล็กๆ เชื่อมต่อกับ อาคารสำนักงานของ Sony
ใน Shinnagawa อีกด้วย ได้ยินมาว่า ข้างบนนี้มีพิพิธภัณฑ์อะไรสักอย่าง แต่เราก็ไม่ได้ไปดูกัน

อาคารที่เราจะพักกัน เป็นอาคารหลังเก่า เพราะเราจะนอนแยกห้องกัน (ผมทนเสียงกรนพี่จิม ไม่ไหวแล้วจริงๆ T_T)

ด้านหน้าทางเข้าโรงแรม มีครบเลยครับ ทั้งร้าน McDonalds ที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า “มาคุโดนารุโดะ” (-_-‘)
และร้าน Seven-Eleven อันเป็นที่พึ่งยามดึกได้อย่างดี เพราะเราก็ซื้อน้ำดื่มและขนมจุกจิก ขึ้นไปกินบนห้อง
กันจากที่นี่นั่นแหละครับ Seven-Eleven ในญี่ปุ่น บางแห่ง จะมีเครื่องถ่ายเอกสาร Digital เอาไว้บริการด้วย
และในร้านสะดวกซื้อส่วนใหญ่ จะมีการ์ตูนโป๊ติดเรต ขายบนแผงหนังสือในร้านอีกต่างหาก เรียกว่า
ขายกันโจ๋งครึ่มเลยทีเดียว

จากทางเดินหน้า Seven-Eleven ที่เห็น ก็จะทะลุมายัง ทางเข้าหลักของโรงแรมครับ

พี่จิม เขาเคยมีความหลังกับโรงแรมแห่งนี้อยู่ครั้งหนึ่ง เมื่อตอนมาญี่ปุ่นกับ Honda ช่วง Tokyo Motor Show 2007
ตอนนั้น เขาพามารับประทานอาหารเย็นกันที่ ร้าน Hapuna ในโรงแรมแห่งนี้ละครับ และเจ้าตัวบอกว่า อาหาร
อร่อยใช้ได้เลยทีเดียว เป็นบุฟเฟต์ อยากกินกุ้งมังกร ก็มีให้กิน แต่เสียดายว่า คราวนี้ ผมไม่ได้ไปกินที่นี่เลย
ถ้ามีโอกาสมาญี่ปุ่น คราวหน้า คงต้องหาทางมากินให้ได้

แต่ตอนนี้ เมื่อเข้าประตูหลักของโรงแรมแล้ว (ฝั่งขวาของรูป) ถ้าจะไปร้าน Hapuna แค่เดินเลี้ยวขวาจากหน้าประตู
ก็เจอเลย แต่เราเดินมาทางซ้ายมือครับ พี่จิมหันหลังกลับไปถ่ายรูปนี้ ตอนที่เรากำลังเช็คอิน เข้าพักกันอยู่

เมื่อเช็คอินเรียบร้อย เราก็ขึ้นลิฟต์ เข้าห้องพักกันละครับ ในเมื่อเราจะได้นอนห้องเดี่ยว แยกห้องกัน
ดังนั้น ห้องจะมีขนาดเล็กนิดหน่อย มีทางเดิน ค่อนข้างแคบ อย่างที่เห็น (รูปนี้ ถ่ายจากหน้าประตูลิฟต์
ปลายสุดทางเดินอีกฝั่งของอาคาร เป็นบันไดหนีไฟ)

ไปที่ไหน ผมก็ต้องเจอ เจ้าตู้ขายเครื่องดื่มอัตโนมัตินี่อยู่เต็มไปหมด ไม่เว้นแม้แต่ บนโรงแรมแห่งนี้ ก็ยังต้องเจอ
แต่ เจ้าตู้สี่เหลี่ยมๆ นั่น ผมก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร แต่ว่ากันว่า อาจจะเป็นตู้กด สำหรับจ่ายเงินค่าชมช่อง TV แบบ
Paid Per View ซึ่ง เดาว่า ส่วนใหญ่ น่าจะเป็นหนังติดเรตทั้งหลายมั้ง อันนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกันแหะ ฮี่ๆๆ

พอเปิดประตูเข้าห้องพัก ก็เจอห้องนอนขนาดเล็ก (แต่พี่จิมบอกว่า ขนาดใหญ่กว่ากับ Guest House
แถว ถนนข้าวสาร หรือถนนพระอาทิตย์ บางแห่ง นิดหน่อย) ห้องสะอาดสะอ้านมากครับ แอร์ก็เปิดไว้
ในอุณหภูมิกำลังเหมาะ ไฟในห้องมี ไม่สว่างจ้าเกินไป มีไดร์เป้าผมติดหราอยู่บนกำแพง
มีกระจกสำหรับแต่งตัว และโต๊ะทำงาน อยู่ในจุดเดียวกัน มุมในสุดของห้อง เป็นห้องน้ำ
และหน้าต่างช่องกระจึ๋งเดียว สำหรับมองทะลุวิวทิวทัศน์ได้เล็กน้อย พอให้รู้ว่ายังอยู่บนโลก ไม่ได้อยู่ในแคปซูล

เดินเข้ามาดูสภาพห้องจากมุมด้านในสุด จะเห็นว่า ตู้เสื้อผ้า อยู่ติดประตูห้องเลย
TV ในญี่ปุ่นตอนนี้ เป็นแบบ Digital TV กันเกือบจะหมดแล้ว เพราะเขาจะเลิกออกอากาศ
ในระบบอนาล็อกแบบเดิม ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า มีโทรศัพพท์ภายใน ตู้เย็นขนาดเล็ก
โคมไฟขนาดปกติ และไฟฉายสำรอง ซ่อนไว้ที่ตู้เก็บของหลังหัวเตียง

อันนี้เป็นรูปมุมต่ำ ของรูปข้างบนนะครับ ที่นี่ มี Internet Wi-Fi ให้ใช้ครับ และจะเรียกเก็บในบิลค่าใช้จ่ายของห้อง

ส่วนห้องน้ำนั้น มีขนาดเล็กกระทัดรัดเสียเหลือเกินจริงๆ ไม่รู้จะเล็กกันไปไหน
มีอ่างอาบน้ำขนาดเล็ก ซึ่ง เหมาะจะเข้าไปยืนอาบน้ำมากกว่าจะเข้าไปนอนแช่ในอ่าง

ห้องน้ำตามโรงแรมในญี่ปุ่นสมัยนี้ ส่วนใหญ่ จะใช้วิธี ตีตู้พลาสติกขึ้นมา
คล้ายกับพลาสติกที่เราเห็๋นในตู้เย็น หรือรถห้องเย็น แล้วช่างก่อสร้าง
ก็จะบุพื้นที่โดยรอบ ด้วยกระเบื้องปูผนัง ซึ่งมีเหตุผลง่ายๆคือ
ระยะหลังๆมานี้ ห้องน้ำในญี่ปุ่น จะถูกเชื่อมการทำงานของสุขภัณฑ์
กับระบบไฟฟ้ามากขึ้น อย่างน้อย ก็ที่ฉีดล้างก้นอัตโนมัตินั่นละ ดังนั้น
จึงต้องมีการเดินสายไฟ ให้เรียบร้อย และป้องกันความชื้น อันอาจจะเกิด
กระแสไฟรั่ว เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ได้

และที่นี่เอง ที่เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ผมจะได้ใช้ ชักโครกแบบอัตโนมัติ กันล่ะครับ !

ชักโครกอัตโนมัติเป็นอย่างไร รูปร่างหน้าตา ของตัวโถ มันก็ไม่ได้แตกต่างไปจากชักโครก
แบบปกติ ที่เราคุ้นเคยกันมาตั้งแต่เล็ก ถูกไหมครับ? แต่สิ่งที่ทำให้มันต่างออกไป ก็อยู่ที่นี่
รีโมทควบคุมระบบฉีดล้างทำความสะอาดแบบอัตโนมัติ ซึ่ง มันก็อัตโนมัติจริงๆแหละครับ 

รีโมทควบคุมจะติดอยู่ที่ผนังในระยะที่มือเอื้อมถึงได้พอดี มีปุ่ม SPRAY คือปุ่มกดให้
ฉีดน้ำทำความสะอาด BIDET อันนี้สำหรับคุณสุภาพสตรีในการถ่ายเบา ส่วน
WATER PRESSURE อันนี้เลือกความแรงของน้ำที่ฉีดออกมา และปุ่ม STOP
คือสั่งหยุดทำงานนั่นเอง

การทำงานของชักโครกหรรษา จะเริ่มขึ้น ก็ต่อเมื่อมีคนนั่งอยู่ ถ้าหากว่าไม่มีคนนั่ง
เซ็นเซอร์ก็จะตรวจจับว่าไม่มีคนนั่ง มันก็จะไม่ทำงาน แต่ผมลองเล่นดูละ
เมื่อกดปุ่ม SPRAY ปุ๊บ จะมีแท่งยื่น….ลงมาแล้วก็มีหัวฉีดน้ำอยู่ที่ปลาย
มันจะฉีดน้ำออกมาทำความสะอาดก่อน ถ้ามีคนนั่งอยู่ มันจึงจะเริ่มฉีดล้าง
ตามที่โปรแกรมไว้ในลำดับถัดไป พอทำงานเสร็จ หรือเมื่อเราสั่งกดปุ่ม STOP
หัวฉีดที่ว่าก็จะเลื่อนเก็บเข้าไปที่เดิม ผมเห็นชักโครกระบบนี้มีขายที่บ้านเราด้วย
ไม่ทราบว่าคุณผู้อ่านท่านใดใช้อยู่บ้างครับ ถ้าจำไม่ผิดเคยเห็นของ Toshiba
ราคา 25,000 บาท  อันที่จริง ก็มีของยี่ห้อ TOTO ขายด้วยเช่นกัน แต่ราคา
แพงน่าดูชมเลยทีเดียวละ (รูปห้องทั้งหมด ถ่ายในห้องพี่จิม ส่วนรูปรีโมท ถ่ายในห้องที่ผมพักครับ)

ห้องพักของพวกเรา มีหน้าต่างขนาดเล็ก พอให้มองออกไป เห็นถนนด้านหน้าโรงแรม
และสถานีรถไฟ Shinnagawa ฝั่งตรงข้าม ที่เราเพิ่งมาถึงเมื่อสักครู่นี้ นั่นเอง

หลังจากขึ้นไปเก็บของแล้ว อีกประมาณ 15 นาทีพี่พี่ทั้งสี่คน Mr.Yamanoi  Mr.Oku และผม
ซึ่งกลับมาโตเกียวกับพวกเราด้วย ก็ลงมาเจอกันที่ล็อบบี้ของโรงแรม เพื่อไปทานอาหารค่ำกัน

ตอนที่เดินลงมา เราเดินผ่านร้านขายเสื้อผ่าแห่งหนึ่ง ดูเผินๆ ก็ไม่มีอะไร
แต่มาสะดุดตา ตรงชื่อร้านนั่นละครับ มันอ่านว่า “TOPKAPI” ซึ่งถ้าอ่านใน
ภาษาไทย ก็จะอ่านได้ว่า “ท็อป-กะปิ”

คาดว่าเสื้อผ้าร้านนี้ คงเค็มปี๋ หรือไม่ก็เจ้าของร้าน น่าจะเค็มใช้ได้แน่ๆเลยละ

ในซอยเดียวกับทางเดินทะลุไปยังโรงแรมที่พัก เราเจอร้านชาบู ชาบูแห่งนี้
ที่ด้านในสุดทางเดินเลยครับ ทาง Mr.Yamanoi กับ Oku-san เขาขอเป็นเจ้าภาพ
ในมื้อนี้

อาหารมื้อค่ำรสชาติถือว่าดีเลยครับ แต่ ก็มีรายการผิดความคาดหมายไปนิดนึง
เพราะว่า ทางคนญี่ปุ่น เขาเห็นพวกเราเป็นคนไทย น่าจะกินเผ็ดได้ เลยสั่ง
รายการอาหารมาอย่างนึง ซึ่ง มีน้ำซุป ที่ออกแนวเผ็ดหน่อย คนญี่ปุ่นบอกว่า
อันนี้ เผ็ดมากนะ

แต่ ผมกับพี่จิม เราไม่ได้ชอบทานเผ็ดเนี่ยสิ งานก็เลยเข้า เพราะพี่วิชา
มีรายการท้าทายกึ่งเอาจริงว่า งานนี้ ต้องซดให้หมดนะ อย่าให้เขาดูถูกว่า
เราเป็นคนไทย ทำไมกินเผ็ดมาได้ ผมกับพี่จิม ก็เลย เอาวะ สักหน่อยก็แล้วกัน
กินเสร็จ พี่จิม เขาก็ถึงกับเหงื่อตกท่วมเป็นน้ำตกไนแองการา เลยทีเดียวเชียว

หลังจาก กินอิ่มแล้ว ชาวญี่ปุ่นทั้ง 2 ก็ขอลากลับขึ้นรถไฟ เข้าบ้านไปพักผ่อน
เราก็ยังคงเดินเล่นให้อาหารย่อย รอบๆโรงแรม ให้คุ้นชินบรรยากาศอีกนิดนึง
ก่อนจะเข้านอน

พอดีไปเจอ Nissan Teana รุ่นที่แล้ว เป็น Taxi เลยถ่ายเก็บมาให้ดูกันครับ
ว่ารถอะไรก็ตามในญี่ปุ่น ก็มีคนจับเอามาทำ Taxi ได้หมด แม้กระทั่งรถตู้

ถนนที่เราเดินเล่นกันอยู่ชื่อ ถนนสาย Dai-ichi Keihin ส่วนนี่ก็เป็น อาคาร โรงแรมเก่า
ที่ชื่อว่า Keihin Hotel ตั้งอยู่ด้านหน้าโรงแรม Shinagawa Prince Hotel ที่เราพักนั่นเลย
เมื่อผมเข้าไปนั่งค้นข้อมูลในอินเตอร์เน็ตเพิ่มเติม เลยได้รู้ว่า อาคารที่เห็นนี้ เป็นโรงแรม
ที่เก่าแก่ที่สุด ในย่าน Shinagawa เพราะสร้างมาตั้งแต่ ปี 1871 อันเป็นปีแรกของ สมัย Meiji !!
และมีการปรับปรุงเพียง 2 ครั้ง ครั้งแรกคือ ปี 1930 และครั้งที่ 2 ในปี 1960 พี่จิมเล่าว่า
เมื่อปี 2007 ที่มาเดินดูเมือง แถวละแวกนี้ โรงแรมแห่งนี้ ยังเปิดบริการอยู่ แต่มาคราวนี้
ทั้งโรงแรม และร้านอาหาร ด้านล่างทั้งหมด ปิดตัวลงไปเรียบร้อยแล้ว อย่างน่าเสียดาย

อาคารหลังนี้ ดูจะกลายเป็นของหายากในญี่ปุ่นไปเหมือนกัน เพราะเป็นอาคารเก่าแก่
และเป็นรูปแบบอาคารโบราณ ที่หาดูไม่ค่อยจะได้แล้วในสมัยนี้ ไม่รู้ว่าหลังจากนี้
เขาจะทำอะไรกับอาคารหลังนี้กันก็ไม่รู้ เห็นมีป้ายปิดประกาศเอาไว้อยู่ อ่านก็ไม่ออก
ว่าเขาเขียนไว้ว่าอะไรบ้าง

คืนแรกที่ Tokyo ผมคิดว่า เมืองแห่งนี้ เป็นเมืองที่มีเสน่ห์ในตัวของมัน ผมออกจะสงสัยในตอนแรกว่า
เมืองนี้มันมีเสน่ห์อย่างไร เพราะหันไปทางไหนก็มีแต่ตึกๆๆและตึก หันไปทางไหนก็เจอแต่ผู้คนซึ่งรีบเร่ง
ที่จะไปทำธุระของตัวเองกัน โดยมีเวลาเป็นตัวแปรสำคัญในการทำกิจกรรมต่างๆ รถไฟก็จะต้องเข้าเทียบ
ชานชาลาในแต่ละสถานีให้ตรงเวลา ดูแล้ววุ่นวายใช้ได้ทีเดียว แต่พอมาคิดๆดูอีกที นี่แหละ คือเสน่ห์
อีกอย่างหนึ่ง ของเมืองนี้ครับ

————————————–///——————————————–

ปล. จากผู้เขียน ถึงคุณผู้อ่าน
– เนื่องจาก เช้าวันถัดจากนี้ คืองาน Tokyo Motor Show 2009 ผมคงไม่เล่าอะไรเพิ่มเติม
เพราะพี่จิม เขียนเอาไว้ละเอียดหมดแล้ว ในบทความ พาชมงาน ดังนั้น คุณผู้อ่าน สามารถ
คลิกอ่านต่อได้ ตาม Link ท้ายบทความนี้

– ตอนต่อไป จะพาคุณผู้อ่าน ไปชมทัศนียภาพยามค่ำคืน ของ ย่าน Shibuya
บรรยากาศในการเดินทางตอนกลางวัน และ ไปชมย่าน Shinjuku กันอีกนิดหน่อยครับ

– หลังจากนี้ พี่จิมมี่ จะมีบทความ ทดลองขับ Suzuki SX-4 บนถนนในกรุง Tokyo กันด้วย
รวมทั้ง กล้วยเอง ก็จะมีบทความ พาชม Mega Web โชว์รูมรถยนต์ขนาดใหญ่ที่สุดของ Toyota
มาให้อ่านกันอีกด้วย ในคอลัมน์อื่น ที่ต่างออกไป โปรดติดตามอ่านกันได้ครับ ที่นี่ Headlightmag.com

————————————————————————————————————

Spacial Thanks :
ขอขอบคุณ :

บริษัท TOA Paint (ประเทศไทย) จำกัด

โดย คุณ วนรัชต์ ตั้งคารวะคุณ (พี่เอ)
ประธานกรรมการบริหาร

คุณวิชา เจ็งเจริญ
Senior Manager
Automotive Bussiness Department

และ คุณชลธี คชา
ผู้จัดการทั่วไป

———————————————————————————–

บทความที่เกี่ยวข้อง และขอแนะนำเข้าไปอ่านเพิ่มเติม

Tokyo Motor Show 2009
เปิดประตูสู่โลกของ Suzuki ที่ Hamamatsu ตอน 1
เปิดประตูสู่โลกของ Suzuki ที่ Hamamatsu ตอน 2 (The History of Suzuki)
Yokoso Japan สวัสดีญี่ปุ่น 2009 ตอน 1  
Yokoso Japan สวัสดีญี่ปุ่น 2009 ตอน 2
 
———————————————————————————–

ชยากร บุญมา (BnN : BaNaNa)
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ทั้งหมดเป็นผลงานของผู้เขียน และ J!MMY
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน
www.headlightmag.com
22 พฤษภาคม 2010

Copyright (c) 2009 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in
www.Headlightmag.com
May 22nd,2010

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่