การรำลึกถึง McLaren M1A, M1B และ M1C รถถนนที่แปลงมาจากรถแข่งอย่าง Group 7 ในช่วงปลายยุค 1960 ได้นำไปสู่การเปิดตัว McLaren Elva รถถนนเวอร์ชั่นดิบเพราะไม่มีหลังคา และกระจกบังลมหน้ามาให้ เพื่อให้สัมผัสอรรถรสแห่งการขับขี่ ไปกับขุมพลัง V8 4.0 ลิตร เทอร์โบคู่
จุดเด่นของ McLaren Elva คือการไม่มีกระจกบานหน้าและหลังคา ทั้งยังมีการนำ Active Air Management System (AAMS) มาใช้เป็นครั้งแรก โดยติดตั้งไว้ด้านหน้ารถเพื่อบริหารลมที่มาปะทะ ให้ไม่มารบกวนผู้ขับขี่ จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องใส่หมวกกันน็อค ทั้งนี้ ยังมีกระจกบานหน้าให้ติดตั้งเพิ่มได้
เปลือกตัวถังช่วงหลังมีการยกระดับขึ้นให้รับกับพนักพิงศีรษะ ด้านท้ายยังมีสปอยเลอร์หลังและดิฟฟิวเซอร์แบบ active ด้วย ห้องโดยสารตกแต่งด้วยโทนสีเข้ม ผสานระหว่างสีเทาดำและสีดำ เข้ากับเบาะสีน้ำตาล มาตรวัดเป็นแบบดิจิตอล พวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้าน ด้านแผงควบคุมถูกควบรวมเอาไว้ ในหน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่
McLaren Elva ใช้เครื่องยนต์เบนซิน แบบ V8 ขนาด 4.0 ลิตร เทอร์โบคู่ พร้อมดัดแปลงใหม่ด้วยการใช้ อ่างน้ำมันเครื่องแบบแห้ง และ วัสดุลดน้ำหนัก กำลังสูงสุด 815 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 800 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ ส่งกำลังผ่านระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ด้านสมรรถนะมีดังนี้
- อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ต่ำกว่า 3 วินาที
- อัตราเร่ง 0 – 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 6.7 วินาที (ไวกว่า McLaren Senna)
McLaren Elva ถือเป็นรถยนต์ที่มีน้ำหนักเบาที่สุดเท่าที่ค่ายเคยทำมา เนื่องจากนำคาร์บอนไฟเบอร์มาใช้ทำแชสซีส์และตัวถัง รวมไปถึงเบาะนั่งด้วย ส่วนระบบเบรกเป็น Carbon Ceramic นอกจากนั้น ยังมีล้อน้ำหนักเบาให้เลือก 2 ลาย ระหว่าง 5 ก้าน และ 10 ก้าน ทั้งหมดมาพร้อมกับยาง Pirelli P Zero Corsa
McLaren Elva เปิดตัวในวันที่ 13 พฤศจิกายน ในฐานะรถยนต์สั่งทำผลิตจำนวนจำกัด 399 คัน คาดว่าจะเริ่มต้นส่งมอบได้ในช่วงปลายปี 2020 ด้านราคาจำหน่ายเริ่มต้นซึ่งยังไม่รวม ภาษีนำเข้าของประเทศไทยอยู่ที่ 1,690,000 ดอลล่าร์สหรัฐ (ราว 51,071,000 บาท)