รหัสของแรงจาก Hyundai ในนาม N Performance Division ฟังดูไม่ใช่ของแปลกอะไรถ้าไปปรากฏในรถสปอร์ต แต่สิ่งที่ Hyundai ออสเตรเลีย ทำกลับตรงกันข้าม เพราะพวกเขาดันไปจับคู่กับ Hyundai H-1 ซ้ำยังไม่ได้ตกแต่งแค่สิ่งที่ตาเห็น แต่ยังเปลี่ยนขุมพลังที่พกกำลังมามากกว่า 400 แรงม้า พร้อมตั้งชื่อให้ใหม่ว่า Hyundai iMax N Drift Bus
Hyundai iMax N Drift Bus ถือกำเนิดขึ้นหลัง Hyundai ออสเตรเลีย ทำโพลใน Social Media ว่าอยากเห็นรหัส N ในรถยนต์รุ่นใดเป็นลำดับถัดไป และผลที่ออกมาคือ Tucson เป็นอันดับ 1 ตามมาด้วย iMax หรือ H-1 บ้านเรา เป็นอันดับ 2 ทางบริษัทจึงมองว่าการเอา Tucson มาทำโลกจะไม่จดจำ เพราะมันธรรมดาเกินไป
นอกจากนั้น บริษัทยังได้รับแรงบันดาลใจจากการโพสต์ภาพ i-Max N ที่ตัดต่อขึ้นโดย Hyundai เยอรมนี เพื่อหลอกคนในวัน April Fool’s ที่ผ่านมาด้วย ทีมงานจึงนำมาต่อยอดให้ความเป็นจริง ในรูปแบบของรถตู้ดัดแปลงพิเศษหนึ่งเดียว ที่มอบประสบการณ์การดริฟท์ให้กับผู้ขับขี่ ไปพร้อมกับการบรรทุกผู้โดยสาร 7 คน ในเวลาเดียวกัน
Hyundai iMax N Drift Bus มาในสีฟ้า N Performance Blue อันเป็นเอกลักษณ์ของรหัส N เสริมด้วยชุดแต่งรอบคันทั้งชายกันชนหน้าหลัง, สเกิร์ตข้าง, ดิฟฟิวเซอร์หลัง และสปอยเลอร์หลังคาพร้อมไฟเบรก ส่วนล้อมีขนาด 19 นิ้ว หยิบยืมมาจาก i30 N ปิดท้ายด้วยท่อไอเสียออก 2 ฝั่ง
ห้องโดยสารตกแต่งใหม่ทั้งหมด มาในโทนสีดำ เสริมด้วยพวงมาลัย N Steering Wheel หุ้มหนังดำเดินด้ายสีแดง พร้อม Paddle Shift, เบาะคู่หน้าแบบ N Sport หุ้มหนังแท้และหนังกลับ ปรับไฟฟ้า 12 ทิศทาง, เบาะแถวที่ 2 – 3 หุ้มด้วยวัสดุเดียวกับเบาะหน้า และผ้าหลังคาสีดำ ด้านประโยชน์ใช้สอยรองรับ 8 ที่นั่ง ขนทีมงาน pit crew ไปได้ทั้งทีม และยังมีความจุบรรทุกสัมภาระ 842 ลิตร ให้ขนยางไป burn เล่นสบายๆ
ขุมพลังของ Hyundai iMax N Drift Bus เป็นเครื่องยนต์เบนซิน แบบ V6 ขนาด 3.5 ลิตร เทอร์โบคู่ กำลังสูงสุด 402 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 555 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ที่ Hyundai พัฒนาขึ้นเอง ส่งกำลังผ่านล้อคู่หลัง ทำอัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ต่ำกว่าพิกัด 5 วินาที ช่วงล่างเป็นโช๊คอัพไฟฟ้าปรับระดับได้ ส่วนระบบเบรกเป็นของ N Performance เช่นกัน
บริษัททิ้งท้ายว่า แม้ Hyundai iMax N Drift Bus จะไม่ใช่รถยนต์ที่ผลิตขายหรือนำไปจดทะเบียนได้ แต่ได้บรรลุเป้าหมายในการพิสูจน์ให้เห็นว่า Hyundai ออสเตรเลีย มีความมุ่งมั่นในการพัฒนารถยนต์ ที่เน้นสมรรถนะการขับขี่สำหรับนักขับ และยังสามารถขนคนเป็นจำนวนมากได้ในเวลาเดียวกัน หลังจากนี้ รถตู้คันดังกล่าวจะลงแข่งในรายการ Clubsprint Class, Flying 500 และ Drifting Cup อีกด้วย