Hybrid vs เครื่องยนต์สันดาปภายใน

นี่คือโจทย์ที่คนในวงการรถยนต์ต้องเจอเสมอเมื่อคนอ่านตั้งคำถามว่า รุ่นไหนน่าเล่น และสื่อมวลชนยานยนต์แต่ละท่านก็มีแนวทางในการให้ความเห็นที่แตกต่างกัน มีทั้งท่านที่เปิดโอกาสให้กับขุมพลังไฮบริด โดยมองว่าเป็นสะพานเชื่อมอันเหมาะสมระหว่างรถยนต์พลังไฟฟ้าล้วน บางท่านมองว่าไฮบริดไม่ใช่คำตอบในการช่วยลดมลภาวะอย่างแท้จริงเพราะยังสามารถปล่อยไอเสียและ CO2 จากปลายท่อได้อยู่ ในขณะที่ท่านอื่นๆ ไม่ชอบ และไม่มีวันชอบรถไฮบริดมากไปกว่ารถเบนซิน/ดีเซล

สำหรับผมเองนั้น แม้ในความชอบส่วนตัว ผมจะนิยมรถที่ไม่แบกถ่านมากกว่า แต่หากให้เลือกระหว่างรถไฮบริดรุ่นที่มีสมรรถนะอัตราเร่งดี กับรถเครื่องยนต์เบนซินที่มีพลังอ่อนด้อยกว่า ผมมักจะโดนความแรงครอบงำเสมอ เช่น ถ้าให้เลือกระหว่าง Camry 2.0 G และ Camry Hybrid ผมมักจะเลือกขับอย่างหลัง แต่เวลาแนะนำกับผู้อ่าน ผมมักจะให้ดูเงื่อนไขอื่นประกอบ และมักพบว่าในท้ายสุด รถไฮบริดประหยัดน้ำมันกว่าจริง แต่ไม่ใช่ทางเลือกที่ประหยัดเงินเสมอไป

ในช่วงที่เว็บไซต์ Headlightmag เพิ่งเปิดใหม่นั้น รถไฮบริดยังเปรียบเสมือนมนุษย์ต่างดาวที่ซ่อนในร่างคน คลาน หรือแล่นอย่างเงียบเชียบไปตามท้องถนน เป็นของแปลกที่น่าตื่นตาตื่นใจอยู่พักใหญ่ไม่ว่าจะเป็น Prius หรือ Camry ที่นับเป็นตัวเปิดโลกรถถ่านให้กับสังคมไทย และทำหน้าที่ของมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากไม่นับว่าบางคันโดนทั้งเรื่องแบตเตอรี่เสื่อม ปั๊ม ABS พัง หรือองค์ประกอบไฮบริดอื่นๆชำรุด (ไม่ได้เป็นทุกคัน แต่อย่างน้อยเพื่อน และน้องที่ใช้อยู่ก็มีเจอกันบ้าง)

และเมื่อพิจารณาร่วมกับราคาขายต่อ ซึ่งตอนป้ายแดงต่างกันครึ่งล้าน แต่ผ่านไป 5-6 ปี ราคาตอนคิดจะขายกลับอยู่ในระดับที่เท่ากัน นี่คือสิ่งที่ผมมักชี้ชวนให้คุณผู้อ่านลองกดเครื่องคิดเลขคำนวณดีๆก่อนตัดสินใจซื้อเสมอ ว่าค่าน้ำมันที่เซฟได้ เมื่อคิดเทียบกับค่าบำรุงรักษาที่สูงกว่า และราคาขายต่อที่ร่วงราวยุงโดนตบตายคาขาคาเข่า หักลบกันแล้วคุ้มหรือไม่

แม้ว่าดูแล้วไม่น่าจะมีอนาคต แต่กลับกลายเป็นว่าอัตราส่วนยอดขายของรถไฮบริด เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน เมื่อครั้งที่ผมได้ไปลองขับ Honda Accord รุ่น 1.5 ลิตรเบนซินเทอร์โบที่เชียงใหม่เมื่อเดือนมิถุนายน Accord Gen 10ใหม่ มียอดจองสะสมรวมกันประมาณ 2,800 คัน โดยที่รุ่นย่อยขุมพลังไฮบริด สามารถทำอัตราส่วนยอดขายได้ถึง 50% และในวันนี้ (5 สิงหาคม 2019) ที่ทีม Honda ประเทศไทยมีรถ Accord Hybrid พร้อมให้เราทดสอบที่จังหวัดกระบี่ ยอดขายสะสมของ Accord เพิ่มเป็น 4,500 คัน

…และรุ่น Hybrid กับ Hybrid TECH ยังทำยอดจองร่วมกันคิดเป็น 50% ของทั้งหมดได้เหมือนเดิม แถมมีแนวโน้มจะได้อัตราส่วนเพิ่มขึ้น เพราะนี่ขนาดรถเพิ่งทยอยขึ้นโชว์รูมได้แค่ 2 สัปดาห์เท่านั้น หมายความว่าคนที่จองไปก่อนหน้านี้ เซ็นเอกสารไปเลยโดยที่ยังไม่ได้ลองขับรถด้วยซ้ำ ซึ่งส่วนหนึ่งก็อาจเป็นเพราะว่า Honda เทอุปกรณ์ดีๆอย่างระบบนำทาง ล้ออัลลอยลายสวย 18 นิ้ว ระบบ Honda CONNECT และ Honda SENSING ไปให้รุ่นไฮบริดทั้งหมด ทิ้งรุ่น 1.5 TURBO ไว้กับออพชั่นแค่พอจำเป็นเพื่อทำราคาให้ต่ำจนใกล้เคียง Camry 2.0 G

ดังนั้น ในวันนี้ การโต้เถียงระหว่าง Hybrid vs สันดาปภายในจะยังหาบทสรุปไม่ได้ แต่เราจะมาหาคำตอบว่า “ถ้าหากคุณชอบรถออพชั่นครบๆ แต่ต้องถูกบังคับให้เลือกขุมพลังไฮบริด..แล้ว Accord Hybrid จะยังมีความน่าใช้แค่ไหน และถ้าต้องเทียบกับรุ่น 1.5 TURBO มีอะไรต่างกันบ้าง และเทียบกับคู่แข่งอย่าง Camry Hybrid แล้ว จะเป็นอย่างไร”

สำหรับท่านที่ยังไม่ได้อ่านบทความ First Impression รีวิว ทดลองขับ Honda Accord 1.5 TURBO ท่านสามารถคลิกอ่านได้ที่ลิงค์นี้

IMPROVEMENT CONCEPT

ในทริปทดสอบครั้งนี้ คุณ Tetsuya Miyahara ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมวิศวกรพัฒนา Accord Hybrid จากประเทศญี่ปุ่น และทีมงาน ได้ให้เกียรติมาเล่าเรื่องเบื้องหลังของ Accord Hybrid ใหม่ ซึ่งผมคงไม่ต้องสาธยายเรื่องที่เป็นศัพท์การตลาดสวยหรูให้คุณผู้อ่านฟัง แต่สามารถสรุปความได้ว่า

  • วิธีการพัฒนารถ เริ่มต้นจากการฟังสิ่งที่ลูกค้าเก่าชมหรือด่า และพยายามแก้ไขปัญหาส่วนที่ส่งผลกระทบต่อการขับขี่และการใช้ชีวิตกับรถ ซึ่งไม่ได้เพียงแค่วิจัยในญี่ปุ่นเท่านั้น พวกเขายังส่งทีมงานมาสอบถามความพึงพอใจที่ลูกค้า Accord Hybrid Gen. 9 ชาวไทยมีต่อรถของพวกเขา
  • ลูกค้าส่วนใหญ่ของทั้งโลก รู้สึกพึงพอใจในสมรรถนะอัตราเร่งของขุมพลังเดิมอยู่แล้ว และเช่นเดียวกันกับอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ดังนั้นจึงไม่มีการพัฒนาขุมพลังไฮบริดแบบพลิกเมฆแปรสมุทร แต่หันไปปรับปรุงจุดเล็กจุดน้อยเพื่อลดแรงเสียดทานการทำงานในระบบ
  • สิ่งที่ลูกค้าตัวจริงบ่นกันก็คือ อยากให้เสียงการทำงานของเครื่องยนต์เบาลง และในเรื่องการขับขี่นั้น ก็อยากให้ตัวรถมีช่วงล่างกับพวงมาลัยที่ “Stable” (มั่นคง และมั่นใจในยามขับ) มากขึ้นกว่าเดิม
  • นอกจากนี้ ลูกค้า Accord Hybrid Gen. 9 ยังอยากให้รถคันใหม่ของพวกเขามีเนื้อที่จุใต้ฝากระโปรงท้ายมากขึ้น ไม่โดนเบียดเบียนโดนแบตเตอรี่มากเกินไป

สิ่งที่เหลือ จะเป็นด้านการออกแบบ รูปทรง ภายนอก และภายใน ซึ่งรุ่น Hybrid จะถูกพัฒนาในกรอบเดียวกับ Accord เครื่องยนต์เบนซินรุ่นอื่นๆ

Honda Accord Hybrid ใหม่ มีขนาดตัวถังยาว4,894 มิลลิเมตร กว้าง 1,862 มิลลิเมตร สูง 1,450 มิลลิเมตร ความยาวของฐานล้อเท่ากับ 2,830 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อคู่หน้า (Front Track) 1,588 มิลลิเมตร คู่หลัง (Rear Track) 1,603.2 มิลลิเมตร (ระยะ Track ล้อของรุ่น TURBO EL จะอยู่ที่ 1,600/1,610.2 มิลลิเมตร) ถังน้ำมันของรุ่น Hybrid จะมีขนาดลดลงจากรุ่น TURBO จาก 56 ลิตร ลดลงเหลือ 48.5 ลิตร น้ำหนักตัวถังรุ่น Hybrid TECH ตัวท้อปอยู่ที่ 1,568 กิโลกรัม หนักกว่ารุ่น TURBO 104 กิโลกรัม

ส่วนคู่แข่งอย่าง Toyota Camry ใหม่ ซึ่งมีขนาดตัวถังยาว 4,885 มิลลิเมตร กว้าง 1,840 มิลลิเมตร สูง 1,445 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,825 มิลลิเมตร กล่าวคือ Accord  เป็นรถใหญ่กว่า ทั้งยาว ทั้งกว้าง ทั้งสูงกว่า แต่ทั้งหมดคือต่างกันด้านละ 5-12 มิลลิเมตรเท่านั้น หากมองรถทีละคันโดยไม่นำมาจอดข้างกัน รูปทรงของ Accord จะหลอกตาคุณว่ามันเล็กลิ่มเตี้ยกว่า น้ำหนักขึ้นชกของ Camry Hybrid 2.5 HV Premium จะอยู่ที่ 1,650 กิโลกรัม

หน้าตาของเจ้า Accord Hybrid นั้น จะดูหล่อเหลากว่ารุ่น TURBO EL ด้วยล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้วลายใบพัด 5 ก้าน ไฟตัดหมอกหน้า LED รวมถึงกันชนกับกระจังหน้าที่มีการเว้าช่องสำหรับติดตั้งกล้องส่องหน้ารถ และเรดาร์สำหรับระบบ Honda Sensing ตบท้ายในรุ่น TECH ตัวท้อป เพิ่มซันรูฟกระจก และสปอยเลอร์หลังอันเล็กชนิดที่ว่าถ้าไม่ใส่มาให้ก็ไม่มีใครว่าหรอก

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เพิ่มเข้ามาก็ส่งผลให้ Accord Hybrid ยิ่งดูมีความคล้ายสปอร์ตซีดานมากกว่าเดิม แถมดูทรงหลังคาเผินๆ จะมีความคล้าย Audi A7 Sportback แฝงอยู่ แนวเหมือนพวกรถยุโรป Coupe 4 ประตูที่พวกเศรษฐีชอบซื้อ แต่ในความเป็นจริงตัวรถของ Accord นั้นไม่ได้เตี้ยเลย สูงกว่า Camry เสียอีก และหลังคาจริงๆก็ไม่ได้เตี้ย

จริงๆแล้วเจ้า Gen 10 นั้นเกือบจะเรียกได้ว่าสวยยกคันแล้ว แต่กลับทำไฟท้ายให้ดูประหลาด จะสปอร์ตก็ไม่ใช่ จะหรูก็ยิ่งไม่ใช่ ออกแนวยียวนกวนโอ๊ย น่าจะไปอยู่ในรถเล็กมากกว่า จริงๆแล้วหากปรับทรงไฟท้ายใหม่ ใส่แผงทับทิมยาวซ้ายจรดขวาแบบ Porsche แล้วลบติ่งวงเล็บอันล่างออก ผมว่าคราวนี้น่าจะสวยจบ

กุญแจของ Honda Accord Hybrid ใหม่ เป็นแบบ Smart Key ที่ด้านหนึ่งจะทำเป็นสีน้ำเงินสวย บ่งบอกความรักโลกในตัวคุณ   มีรูกุญแจซึ่งคุณสามารถถอดกุญแจโลหะออกมาจากตัวกระเปาะของ Smart Key แล้วเอามาไขได้ในกรณีที่ถ่านหมด นอกจากนี้คุณยังสามารถกดเปิดฝาท้ายได้จากรีโมท

เช่นเดียวกับ Honda Civic เจ้า Accord ใหม่นี้ มีระบบ Remote Engine Start แค่กดล็อครถก่อน 1 ที แล้วก็กดปุ่มลูกศรวนค้างเอาไว้ 3 วินาที รถก็จะสตาร์ทเครื่องเปิดแอร์ไล่ความร้อน รอคุณให้เข้ามาที่รถ แต่หลังจากนั้นจะขับออกไปเลยไม่ได้นะครับ ต้องเหยียบเบรกแล้วกดปุ่มสตาร์ทก่อนเพื่อให้รถรับทราบว่าเจ้าของตัวจริงมาถึงแล้ว บางคนอาจจะมองว่าไม่จำเป็น แต่ในวันที่จอดกลางแจ้ง มันก็ช่วยให้ชีวิตสบายขึ้นครับ และเป็นอุปกรณ์อย่างหนึ่งที่ Accord  มี แต่ Camry  ไม่มี

ทั้งนี้ เวลาเราปลดล็อครถ ก็จะปลดทุกประตูพร้อมกัน ไม่สามารถไปเซ็ตได้ว่าจะให้ปลดล็อคเฉพาะคนขับเมื่อกด 1 ที ปลดทุกบานเมื่อกด 2 ที Honda บอกว่าเขาเซ็ตมาอย่างนี้เพราะคนไทยส่วนมากชอบแบบนี้มากกว่า ส่วนตัวผมคิดว่า..แล้วจะมีจอกลางแบบมัลติฟังก์ชั่นไว้ทำปลาแอนโชวี่อะไรถ้าเราไม่สามารถปรับตั้งค่าในเรื่อง Basic แค่นี้ได้ล่ะครับ

เบาะนั่งคู่หน้าปรับด้วยไฟฟ้า ฝั่งคนขับสามารถปรับได้ 8 ทิศทาง แล้วยังมีปุ่มปรับดันหลัง ซึ่งสามารถปรับตำแหน่งการดันสูง/ต่ำได้ด้วยพร้อมระบบบันทึกความจำตำแหน่งเบาะ 2 Position ซึ่งไม่ได้ลิงค์เข้ากับตำแหน่งส่องของกระจกมองข้างอย่าง Camry แต่ Accord ชดเชยให้ด้วยการมีระบบเลื่อนถอยเบาะให้โดยอัตโนมัติเมื่อดับเครื่องเพื่อให้ลุกเข้าออกได้ง่าย ซึ่งผมลองแล้ว มีจริง และช่วยให้ลุกออกได้ง่ายขึ้น แต่ฝั่งคนนั่งปรับได้แค่ 4 ทิศทาง ปรับสูง/ต่ำไม่ได้ ทั้งที่รถระดับนี้น่าจะทำได้แล้ว (Camry สามารถปรับได้ครับ)

สำหรับความสบายของตัวเบาะ พูดยากว่า Accord ชนะ Camry หรือไม่ เพราะต่างก็มีเบาะรองนั่งและพนักพิงหลังที่สบายสำหรับคนตัวใหญ่ผิดปกติ ความต่างจะอยู่ที่ Accord มีปีกข้างเบาะใหญ่กระชับข้างลำตัวมากกว่า Camry เล็กน้อย ส่วนพนักพิงศีรษะนั้น Accord จะดันมาข้างหน้ามากกว่า Camry แต่ตัวหมอนพิงมีลักษณะลู่รับส่วนคอ กว้าง และที่สำคัญ นุ่มเหมือนเอาหัวอิงแขนแฟนที่เป็นคนเจ้าเนื้อหน่อยๆ อบอุ่นสบายคอเช่นเดียวกับ CR-V

เบาะหลัง ติดตั้งเอาไว้ในตำแหน่งที่กำลังดี ไม่ได้ถูกกดจนเตี้ยมากแบบ Civic ทำให้พอนั่งจริงๆแล้วสบายเข่ากว่า เบาะรองนั่งมีความยาวกว่า Accord รุ่นที่แล้ว พนักพิงหลังตอนล่างดุนหลังดีขึ้น แต่เนื้อที่บริเวณเหนือศีรษะกลับดูเหมือนน้อยลง ถ้าผมนั่งแบบตัวตรงๆ หัวผมจะชนกับหลังคาก่อนที่จะไปแตะหมอนรองศีรษะ เหมือน Camry ใหม่เด๊ะครับ พนักพิงหลังดูเหมือนจะเอนมากกว่า Camry เพียงเล็กน้อย แต่ในภาพรวม Camry เป็นรถที่ถ้านั่งหลังเกือบตรงแล้วจะสบายกว่า ในขณะที่ Accord นั้นจะสบายก็ต่อเมื่อคุณนั่งเหมือนเตรียมจะหลับ ไถลก้นไปข้างหน้ามากหน่อย นั่นก็เลยทำให้พื้นที่วางขาที่ยาวกว่า Camry ดูไม่ค่อยช่วยให้สบายขึ้น

อย่างไรก็ตาม ไม้เด็ดของ Camry HV Premium คือเบาะหลังที่เอนได้ ในขณะที่ของ Accord ติดตายตัว นอกจากนี้ Toyota ยังมีม่านหลังไฟฟ้ามาให้ แม้จะเปิด/ปิดยากเพราะต้องเข้าฟังก์ชั่นบนจอ MID ในหน้าปัด แต่ของ Accord ไม่มีม่านที่กระจกบานหลังเลย เหตุผล? ทีม Honda บอกว่า เขาวิจัยมาแล้วว่าลูกค้าไทยติดฟิล์มกันร้อนเกือบทุกคน ดังนั้นม่านหลังก็ไม่จำเป็น (เอาเลยพี่ เอาให้สุด)

สิ่งที่เพิ่มเข้ามาสำหรับรุ่น Hybrid ที่รุ่น 1.5 TURBO ไม่มี นอกจากสวิตช์สำหรับให้คนนั่งหลังสามารถปรับเลื่อนเบาะคู่หน้าได้แล้ว ตรงใต้ช่องแอร์ด้านหลัง รุ่น Hybrid จะมีช่องเสียบชาร์จ USB เพิ่มมาให้อีก 2 ช่องด้วย

ส่วนห้องเก็บของด้านท้ายรถนั้น สารภาพครับว่าลืมถ่ายรูปมา แต่ตัวเลขที่ทางวิศวกรแจ้งมา คือมีความจุ 573 ลิตร เท่ากับรุ่น 1.5 TURBO เด๊ะ ที่ทำได้แบบนี้ เพราะชุดแบตเตอรี่ ถูกย้ายไปอยู่ข้างใต้เบาะหลังเรียบร้อยแล้ว

บรรยากาศภายในของ Accord Hybrid TECH ก็เกือบจะเหมือนกับรุ่น TURBO คือไม่แพรวพราวอลังการ ลายไม้ที่เลือกใช้ก็เป็นลายไม้สีน้ำตาลเกือบดำกลืนไปกับแดชบอร์ด เป็นลายไม้ด้านแบบที่ไม่สวยเท่าไหร่นัก มันขึ้นอยู่กับว่าคุณเลือกภายในสีอะไรด้วยอีกต่างหาก เพราะถ้าเป็นภายในดำปุ๊บ..มันจะดูแทบไม่ต่างจากรุ่น TURBO เลย แต่ในรุ่น Hybrid TECH จะมีเบาะสีชาชักให้ในรถที่สีภายนอกเป็นสีเข้ม พอใส่เบาะกับภายในสีนี้ปุ๊บ กลายเป็นว่ามันน่ามองขึ้น และผมว่าผมไม่ได้คิดไปเอง คนอ่านท่านที่มี BMW เมื่อมาเห็นรูปที่ผมถ่ายข้างบนก็พูดทำนองเดียวกันว่า “มันดู BMW แบบญี่ปุ่นๆดี”

อย่างไรก็ตาม ปัญหาของ Accord Gen 10 ใหม่ ก็คือคอนโซลกลางที่กว้างขึ้นกว่าของ Gen 9 เบียดกินพื้นที่เข่าซ้ายเข้ามาพอสมควร คนผอมๆคงไม่รู้สึกอะไร แต่ผมรู้สึก และคิดว่ามันยังมีวิธีออกแบบให้ดูสวยและนั่งสบายได้โดยไม่เบียดขา แต่ในเรื่อง Ergonomics ข้ออื่น ทำได้ดี สวิตช์ต่างๆไม่กระจัดกระจายเกินควร วางตำแหน่งให้ใช้งานได้ง่าย จอกลางก็อยู่ในระดับสายตา แดชบอร์ดกดลาด ให้ความรู้สึกถึงทัศนะวิสัยที่โปร่งโล่งในขณะที่แดชบอร์ดของ Camry ดูจะตระหง่านท้าทายสายตาคนขับ

แผงบังแดดของรุ่น Hybrid TECH จะต่างจากรุ่น 1.5 TURBO EL ตรงที่ กระจกแต่งหน้าขนาดเล็กลง..แต่มีไฟแต่งหน้ามาให้แล้ว (จะย้อนกลับไปด่ารุ่น TURBO ที่ราคาทะลุล้านสี่แล้วยังงกแม้กระทั่งไฟแต่งหน้าก็คงจะเสียเวลา)

จากตำแหน่งขับขี่มองไปรอบๆ สิ่งแรกที่เห็นคือพวงมาลัยทรงเดียวกับรุ่น 1.5 TURBO แต่จะมีปุ่มสำหรับปรับการแสดงผลจอ HUD และปุ่มสำหรับปรับตั้งการทำงานของระบบ Adaptive Cruise Control และระบบรักษารถให้วิ่งในเลน (LKAS) เพิ่มเข้ามา ส่วนบนแผงประตูนั้นมีสวิตช์กระจกไฟฟ้า (เป็นแบบ One Touch คู่หน้า) มีสวิตช์ปรับกระจกมองข้างและล็อคประตู ส่วนปุ่มสำหรับกดเปิดฝาท้าย ไม่ต้องไปมองหาข้างๆเบาะนะครับ มันอยู่บนประตูเนี่ยล่ะ

ถัดมาบนแดชบอร์ดใต้ช่องแอร์ขวา จะพบกับ Panel ชุดสวิตช์ที่ “เต็มพื้นที่” กว่ารุ่น TURBO มาก โดยจากเดิม จะมีสวิตช์ปรับความสว่างแสงไฟหน้าปัด สวิตช์กด TRIP METER และสวิตช์ปิดการทำงานระบบ Traction Control แต่ในรุ่น Hybrid TECH จะเพิ่มปุ่มเปิด/ปิดเซนเซอร์หลัง ปุ่มตั้งค่าระบบความปลอดภัย Honda SENSING ปุ่มเปิด/ปิดเสียงสังเคราะห์ภายนอก (ใช้เพื่อให้คนเดินถนนได้ยินรถเราก่อนจะเดินมาชน) และปุ่มสำหรับปรับการส่องสะท้อนของจอ HUD (ขึ้น/ลงได้ แต่ซ้าย/ขวาไม่ได้)

ก้านไฟเลี้ยวอยู่ขวามือ ไฟหน้าเป็นแบบอัตโนมัติ และสามารถหมุนเพื่อ “OFF” ปิดไฟหน้าหมดได้ ปลายก้านเป็นปุ่มกดสำหรับระบบ LaneWatch ที่ฉายภาพในจุดบอดด้านซ้ายของรถขึ้นจอกลาง ส่วนก้านปัดน้ำฝนอยู่ด้านซ้าย เป็นที่ปัดน้ำฝนแบบอัตโนมัติ และปลายก้านจะมีปุ่มสำหรับเปิดฟังก์ชั่นกล้องรอบคัน

ส่วนบนคอนโซลกลางนั้น สวิตช์หลายอย่างถูกยุบรวมเอาไปรวมอยู่ที่จอกลางซะเยอะ สวิตช์ที่เหลือจึงมีแค่ของระบบปรับอากาศ ส่วนพวกโหมดการขับเคลื่อน เบรกมือ และ Auto Brake Hold จะไปกองอยู่แถวๆเกียร์ สิ่งที่แตกต่างจากรุ่น TURBO EL ก็มีช่องวางโทรศัพท์พร้อม Wireless Charger และสวิตช์สำหรับ EV Mode หลังคันเกียร์เท่านั้น

ชุดแผงมาตรวัด มาสไตล์คล้ายกันกับรุ่น TURBO โดยซีกซ้ายจะเป็นจอสีขนาด 7 นิ้ว ส่วนมาตรวัดความเร็ว จะเป็นแบบอนาล็อก เข็มจริง เรืองแสงจากด้านหลัง

เรื่องความง่ายในการอ่านค่า ไม่มีปัญหาครับ ผมรู้สึกว่า Font ตัวเลขของหน้าปัด Accord ดูแบบผ่านๆอ่านง่ายกว่าของ Camry ด้วยซ้ำ แต่ก็เหมือนกับรถญี่ปุ่นทั่วไปอยู่อย่างคือ แม้ว่าคุณจะสามารถเลือกดูเมนูหรือค่าต่างๆได้หลายอย่างบนจอ แต่วิธีการจัดวางข้อมูลต่างๆดูเหมือนใช้ความเป็นจอสีไม่คุ้ม มีพื้นที่บนจอเหลือว่างๆเยอะ Config เองก็ไม่ได้มากนัก และไม่มีฟังก์ชั่นการโชว์ความเร็วเป็นตัวเลข เข็มน้ำมันและอุณหภูมิที่ขึ้นเป็นเม็ดเล็กๆนั่นก็สังเกตยาก

ในรถรุ่น Hybrid จะไม่มีมาตรวัดรอบ ซึ่งไม่จำเป็นนักหรอกเพราะรถมันไม่มีเกียร์เป็นลำดับเฟือง และตอนซัดตึง พระเอกในการขับเคลื่อนก็เป็นมอเตอร์ไฟฟ้าอยู่แล้ว สิ่งที่ได้มาแทนคือมาตรวัดแสดงการใช้พลังงาน (Power/Charge) และมีฟังก์ชั่นต่างๆเพิ่มตามมา ไม่ว่าจะเป็นเข็มทิศ ที่จะเปลี่ยนเป็นการโชว์ศรนำทางเมื่อเปิดใช้ระบบนำทางและระบุที่หมาย หรือจะปรับเป็นอนิเมชั่นโชว์ Energy Flow (ชาร์จ/ป้อนกำลัง/เครื่องยนต์ติด/มอเตอร์ส่งพลังขับ) และจอโชว์ระบบ Active Safety ของ Honda SENSING

สิ่งที่เพิ่มเข้ามาสำหรับรุ่นท้อป Hybrid TECH คือ Head Up Display (HUD-ฉายข้อมูลขึ้นบนกระจกหน้า) โดยยิงเป็น Projector ขึ้นมาจากบนแดชบอร์ด สามารถกดปุ่มแถวๆแผงใต้ปุ่มสตาร์ทเพื่อปรับวิธีการโชว์ค่าได้ 4 แบบตามรูป และจะขึ้นลูกศรชี้ทาง ในกรณีที่เปิดใช้ระบบนำทางและระบุจุดหมายไปแล้ว

จอกลางของ Accord มีขนาด 8 นิ้ว โตเท่ากันกับ Camry 2.5 HV Premium สวิตช์ควบคุมต่างๆบนจอจะเป็นปุ่มจริงกับลูกบิด ซึ่งทำให้ดูไม่ไฮโซเหมือนจอของพวก BMW อันที่จริง Honda Civic ที่เปิดตัวปี 2016 นั้นก้าวหน้าจนไปใช้สวิตช์แบบสัมผัสคล้าย Touch Screen แล้ว แต่พอรุ่นไมเนอร์เชนจ์ ก็กลับเป็นปุ่มจริงแทน Accord ใหม่ก็เดินตามนั้น ผมไม่มีปัญหากับการเป็นปุ่มแบบ Physical button แถมยังชอบเพราะโอกาสพังมันน่าจะยาก

จอนี้จะแสดงค่าได้หลายอย่าง รวมถึงใช้เพื่อการปรับตั้งค่าต่างๆของรถ สิงที่เพิ่มมาในรุ่น Hybrid TECH ได้แก่

  • ระบบนำทาง
  • ฟังก์ชั่น Honda CONNECT
  • จอแสดง Energy Flow
  • กล้องรอบคัน 360 องศา และฟังก์ชั่นสำหรับการถอยรถจอดอัตโนมัติ

ชุดเครื่องเสียงและมัลติมีเดียของ Accord Hybrid นั้น เป็นเวอร์ชั่น Premium Sound System รองรับ AppleCarPlay/Android Auto มาพร้อมลำโพง 10 ตัว (รุ่น TURBO มี 8 ตัว) พร้อมซับวูฟเฟอร์ แต่ไม่มีช่องใส่ CD หรือ DVD มาให้ คุณภาพเสียงเท่าที่ลองฟังดูด้วยเพลงเซ็ตเดียวกันกับตอนที่ลองเครื่องเสียงรุ่น TURBO รู้สึกว่าเสียงเบสแน่นขึ้นมาก และมีมิติลึกตื้นของเสียงที่กังวานกว่าอย่างชัดเจน แต่ไม่ว่าจะปรับอย่างไร ผมพบว่ารายละเอียดของเสียงช่วงที่อยู่ระหว่าง ต่ำกับกลางจะหายไปเยอะ แต่จากเสียงกลางถึงสูง เก็บรายละเอียดได้ครบ

นอกจากนี้ จอกลางของ Accord ยังทำหน้าที่โชว์ภาพให้ระบบ LaneWatch ซึ่งเมื่อคุณเปิดไฟเลี้ยวซ้าย หรือกดปุ่มที่ปลายก้านไฟเลี้ยว มันจะฉายภาพในมุมอับของกระจกส่องข้างด้านซ้ายให้ดูเต็มๆตา เป็นสิ่งที่ผมชอบมากกว่าระบบเตือนรถในจุดบอดที่กระพริบเป็นไฟดวงเล็กๆเสียอีก เพราะคุณสามารถเห็นด้วยตาคุณเองได้อย่างชัดเจน เสียดายแค่ว่ามันมีแค่ข้างซ้ายเท่านั้นแหละครับ

มีผู้สื่อข่าวรุ่นพี่ถามทีมวิศวกรว่า ทำไมไม่ใช้ระบบ Blind Spot Monitoring แบบที่เจ้าอื่นเขาใช้ล่ะ ทำไมไม่ติดมาให้ ก็ได้รับคำตอบว่า ทีมวิจัย Honda ลองถามลูกค้าโดยให้เลือกระหว่าง LaneWatch กับ BSM ลูกค้าชอบอย่างแรกมากว่า

 

ระบบช่วยจอดรถ พร้อมระบบช่วยเบรก – Honda Smart Parking Assist System

หนึ่งในไฮไลท์ของอุปกรณ์ที่ Accord Hybrid TECH ให้มา ก็คือเจ้าสิ่งนี้ และแม้มันจะดูไฮเทคแค่ไหนก็ตาม อย่าลืมว่าระบบนี้ มีคำว่า “Assist” อยู่ในชื่อระบบ แปลว่ามันไม่ได้ทำงานได้ผล 100% ทุกสภาพ ทุกกรณีนะครับ มันยังมีโอกาสที่จะถอยชนรถหรือสิ่งกีดขวางอย่างอื่นได้ ถ้าตัวคุณเองไม่คอยสังเกตระวังด้วย ส่วนวิธีการใช้ มีดังนี้ครับ

STEP 1 ขับมายังบริเวณที่ต้องการจะจอด แล้วเริ่มเปิดระบบขั้นแรก (ทำได้เลยแม้จะยังไม่เห็นจุดที่จะจอด) โดยการเปิดโหมดใช้งานระบบกล้อง 360 องศา ซึ่งสามารถทำได้ 2 วิธีคือ 1) กดจากจอกลาง หรือ 2) กดปลายก้านปัดน้ำฝนที่เขียนว่า CAMERA ตามในภาพนั่นล่ะครับ

STEP 2 เข้าเกียร์ D และกดปุ่มรูปที่มีพวงมาลัยกับอักษร P บนจอกลาง

STEP 3 เลื่อนรถไปข้างหน้า มองหาที่จอด

STEP 4 เมื่อระบบเริ่มทำงาน คุณสามารถเลือกได้ว่าจะจอดแบบ ถอยหลัง (เข้าซอง) หรือ จอดแบบแนวขนาน (ทางเท้า) ส่วนปุ่ม “ออกรถ” เอาไว้ใช้ได้ในกรณีที่จอดอยู่ข้างทางเท้าแล้วมีรถจอดประชิดหน้า/หลังและต้องการให้ระบบ Smart Parking ช่วยนำรถออกจากช่องจอดให้ (คุณไม่จำเป็นต้องถอยรถเข้าซองนั้นด้วยระบบ Smart Parking ก่อนหน้า)

STEP 5 สังเกตกรอบสีเขียวบนจอด้านขวา เส้นประคือเส้นกรอบที่ระบบคิดว่า “น่าจะจอดได้” แต่ยังไม่แน่ใจว่าใช่ช่องจอด เพราะไม่มีเส้นที่ชัดเจน แต่ถ้าเป็นกรอบสีเขียวเป็นเส้นทึบ แปลว่าตรงนั้นมีโอกาสที่จะจอดได้สูงกว่า เพราะระบบสามารถจับเส้นช่องจอดได้ แต๊บนิ้วไปยังบริเวณที่ต้องการจะจอด จากนั้น ให้กด “เริ่มต้น” (ณ จุดนี้ เกียร์ต้องอยู่ D และเท้าต้องเหยียบเบรกไว้)

STEP 6 ทำตามคำสั่งของระบบบนหน้าจอ ระบบจะสร้างเส้นสมมติเป็นกรอบสีน้ำเงิน แล้วบอกให้ขับไปตรงนั้นตรงนี้ โดยสิ่งที่คุณต้องทำให้รถ คือ เข้าเกียร์ D หรือ R และค่อยๆปล่อยเบรก ส่วนพวงมาลัยนั้น ไม่ต้องแตะ รถจะหมุนให้เอง

ในกรณีที่พบสิ่งกีดขวาง และมีโอกาสชน รถจะเบรกเองโดยอัตโนมัติได้ แต่ก็อย่างที่บอก ความเป็นระบบช่วยเหลือ (Assist) อย่าไปชะล่าใจครับ เงื่อนไขที่จะทำให้ระบบทำงานผิดพลาดได้มันมี ความไม่ประมาท คือสิ่งที่ดีที่สุด

 

***รายละเอียดทางวิศวกรรม***

ขุมพลังขับเคลื่อนของ Accord Hybrid มีชื่อทางการตลาดว่า “SPORT HYBRID i-MMD” [intelligent Multi-Mode Drive] อันประกอบด้วยเครื่องยนต์เบนซิน ซึ่งทำหน้าที่ทั้งชาร์จไฟ และขับเคลื่อนรถ กับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว 1 ตัวทำหน้าที่สร้างพลังขับเคลื่อน อีกตัวเป็น Generator สร้างกำลังไฟ

เครื่องยนต์เบนซินที่ใช้ มีรหัสว่า “LFB1” แบบ 4 สูบ Atkinson Cycle ขนาด 2.0 ลิตร 1,993 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 81.0 x 96.7 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 13.5 : 1 กำลังสูงสุด 145 แรงม้า ที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 175 นิวตันเมตร ที่ 3,500 รอบ/นาที

ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว AC Synchronous Permanent Magnet Electric Motor มีพละกำลัง 184 แรงม้า ที่ 5,000 – 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 315 นิวตันเมตร ที่ 0 – 2,000 รอบ/นาที

เมื่อเครื่องยนต์ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า จะได้พละกำลังรวม 215 แรงม้า ที่ 6,200 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ E-CVT มีการปรับปรุงใหม่เป็นเจเนอเรชั่นที่ 3 อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นตัวเลขพละกำลังจะพบว่ามันไม่ต่างไปจากเดิมเท่าไหร่นัก ก็เพราะส่วนหลักของระบบ ก็คือขุมพลังจาก Accord Hybrid Gen.9 ตัวไมเนอร์เชนจ์ ที่นำมาปรับปรุงต่อและปรับจูนใหม่นิดหน่อยให้ทำงานได้นุ่มเรียบเงียบเสียง และประหยัดเชื้อเพลิงกว่าเดิมไม่มาก เพราะลูกค้า Gen.9 ไม่บ่นเรื่องอัตราสิ้นเปลืองเท่าไหร่อยู่แล้ว Honda จึงมองว่าขุมพลังนี้ “ยังไปต่อได้”

เมื่อเทียบกับ Camry Hybrid จะเห็นได้ว่าเครื่องยนต์ของ Toyota นั้นมีพลัง 174 แรงม้า..มากกว่า Honda แต่ถ้าดูที่มอเตอร์ไฟฟ้า ของ Camry มีเพียง 120 แรงม้าและแรงบิดสูงสุดจากมอเตอร์ก็มีน้อยกว่า คือแค่ 202 นิวตันเมตร เพราะปรัชญาในการทำระบบไฮบริดที่่ต่างกันระหว่างสองค่าย

ระบบส่งกำลัง เป็นแบบ e-CVT ซึ่งไม่น่าจะเรียกว่าเป็นเกียร์..ก็เพราะว่ามันไม่มีเฟืองหรือถ้วยพูลเลย์กับสายพานแบบเกียร์ CVT ที่เรารู้จักกัน อันที่จริง คำว่า e-CVT ก็คือการทำงานร่วมกันของมอเตอร์ เครื่องยนต์ และชุดตัดต่อกำลังนั่นล่ะครับ ให้ดูตามภาพแผนผังระบบขับเคลื่อนข้างบนนี้ได้เลยเพราะต้องอธิบายแบบรวมๆ

  • มอเตอร์ขับเคลื่อน (Motor) สามารถหยุดการทำงานได้ตามเงื่อนไขของแต่ละโหมด และสามารถชาร์จไฟกลับแบตเตอรี่ได้
  • มอเตอร์สร้างไฟฟ้า (Generator) รับแรงปั่นจากเครื่องยนต์มาสร้างพลังไฟป้อนไปที่มอเตอร์ขับเคลื่อน
  • เครื่องยนต์ (Engine) รับหน้าที่ทั้งการหมุน Generator เพื่อสร้างไฟ และสามารถเป็นต้นกำลังขับเคลื่อนโดยส่งแรงบิดไปถึงเพลาขับโดยตรง บริหารงานโดยบุญเลี้ยง ..ไม่ใช่สิ..โดยชุด Lock-up Clutch ตัดต่อกำลัง

นอกจากนี้ ถ้าคุณเห็น Paddle Shift -/+ ที่พวงมาลัย นั่นก็ไม่ใช่ปุ่มสำหรับการเล่นเกียร์ลากรอบครับ แต่มีเอาไว้เพิ่มหรือลดแรงหน่วงของมอเตอร์ไฟฟ้าโดยอาศัยรูปแบบ Paddle Shift เพื่อให้คนที่เคยขับแต่รถเบนซิน/ดีเซลที่มีเกียร์ให้เล่น สามารถเข้าใจได้ง่าย ถ้าเรากด ” – ” มอเตอร์ไฟฟ้าจะหน่วง ให้ผลคล้ายกับการที่เราเปลี่ยนลงเกียร์ต่ำในรถเครื่องยนต์สันดาปภายใน หรือถ้ากด ” + ” รถก็จะไหลไปได้มากขึ้น

ระบบนี้มีผลต่อการสร้างแรงหน่วงเท่านั้นนะครับ ไม่มีผลใดๆต่อพลังเครื่อง การที่คุณไปกด – สองสามครั้งเพราะนึกว่ามันจะเหมือนการลงเกียร์ต่ำ กระแทกคันเร่งออกแล้วรถจะพุ่งดีขึ้น ทางวิศวกรยืนยันครับว่าไม่มีผลต่ออัตราเร่ง ถ้าอยากเร่งดีกดแล้วพุ่ง กดโหมด SPORT พอครับ

 

เมื่อระบบทั้งหมดทำงานรวมกัน จะมีนิสัยการทำงานแบ่งออกเป็น 3 โหมด

  • EV Drive Mode – มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นตัวขับเคลื่อนรถ เครื่องยนต์ดับสนิท Generator ไม่ทำงาน การชาร์จไฟกลับตอนเบรก ทำโดยมอเตอร์ไฟฟ้าตัวขับเคลื่อน คุณสามารถกดสั่งรถให้เข้า EV Mode บังคับไม่ให้เครื่องติดก็ได้ แต่โดยปกติ ณ บางจุด รถจะทำตัวเป็น EV เมื่อแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน 1.3 kWh มีไฟเหลือเพียงพอ
  • Hybrid Drive Mode – ในโหมดนี้เครื่องยนต์จะทำงาน และมอเตอร์ก็ทำงาน บนจอ Energy Flow ในรถจะเห็นว่าทั้งเครื่องและมอเตอร์ติดทั้งคู่ แต่ทั้งนี้ การที่เครื่องยนต์ติดและเร่งรอบตามคันเร่ง ก็เพื่อหมุนปั่นไฟ Generator ล้วนๆครับ หน้าที่การขับเคลื่อนรถ เป็นของมอเตอร์ 100% ซึ่งโหมดนี้จะทำงาน เมื่อกดคันเร่งหนักๆ เรียกพลังเยอะๆ
  • Engine Drive Mode – มอเตอร์ไฟฟ้า และ Generator จะไม่ทำงาน รถจะเคลื่อนที่หรือรักษาความเร็วไว้ด้วยพลังจากเครื่องยนต์ที่ส่งไปยังเพลาขับล้วนๆ โหมดนี้จะถูกใช้เมื่อวิ่งด้วยความเร็วปานกลางถึงสูง โดยรักษาความเร็วแบบคงที่ ณ จุดที่ถ้าใช้ EV Mode แล้วไฟจะหมดเร็วเกินไป

คุณไม่สามารถล็อคให้รถ ทำงานในแบบ Hybrid Drive หรือ Engine Drive ด้วยตัวเองได้ ระบบ Power Control Unit จะเลือกให้ว่าแบบไหนเหมาะกับการขับของคุณในขณะนั้น

จะเห็นได้ว่า วิธีแยกความต่างในแนวคิดไฮบริด ของ Camry กับ Accord นั้นง่ายมาก Toyota ใช้เครื่องยนต์เป็นพระเอก มอเตอร์เป็นพระรอง เวลากดคันเร่ง 100% ทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์มีบทบาทในการขับเคลื่อน ส่วน Honda นั้น มอเตอร์ขับเคลื่อน เป็นพระเอก เครื่องยนต์เป็นพระรอง พลังจากมอเตอร์จึงสูงกว่า Toyota ในขณะที่พลังจากเครื่องนั้นสู้ Toyota ไม่ได้เลย และเวลากดคันเร่ง 100% จะมีแต่มอเตอร์เท่านั้นที่เอาพลังขับไปส่งถึงล้อได้ เข้าใจกันนะครับ

 

โครงสร้างตัวถังของ Accord ใหม่นั้น จะเรียกว่า All-new ก็ยังไม่น่าจะพูดได้เต็มปาก ผมถามวิศวกรและได้คำตอบว่า มีบางส่วนที่ยังยกมาจาก Accord Gen.9 หรือ Civic FC แต่หลายส่วนก็พัฒนาขึ้นใหม่ จะพูดว่าเป็น New Platform แต่ไม่ใช่ Everything is new น่าจะเข้าใจ ยกตัวอย่างเช่น รูปทรงของปีกนกหน้า คนละเรื่องกับของเดิม เปลี่ยนจากทรงตัว A เป็นทรง L แทน

ส่วนประกอบหลัก และจุดสำหรับรับแรงบิดตัวถัง เปลี่ยนใหม่หมด จนทำให้ตัวถังมีแรงต้านการบิดในแนวระนาบข้าง Bending Rigidity (เหมือนหักป๊อกกี้) เพิ่มขึ้น 24% และแรงต้านการบิดแนวตามยาว Torsional Rigidity (เหมือนบิดผ้าเช็ดตัว) เพิ่มขึ้นถึง 32% และยังได้อานิสงส์เป็นจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำลงจากรถรุ่นเดิมอีก 5 มิลลิเมตร สำหรับรถไฮบริดที่ย้ายแบตเตอรี่ไปวางใต้เบาะหลัง อัตราส่วนการกระจายน้ำหนักก็ดีขึ้น จากเดิมในรุ่น TURBO หน้า 61% หลัง 39% เปลี่ยนเป็น 60 และ 40% ในรุ่นไฮบริด

อาจจะดูเหมือนน้อยนิด แต่ผลในการขับขี่จริงอาจไม่น้อยอย่างที่ 1% ควรรู้สึก

ระบบบังคับเลี้ยว เป็นพวงมาลัย แบบ Dual Pinion แปรผันอัตราทดเฟืองพวงมาลัยได้ พร้อม Power ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า Variable Gear Ratio Electric Power Steering (EPS) ปรับจูนการตอบสนองใหม่ให้ต่างจากรุ่นเดิม โดยใน Gen.9 การตอบสนองเวลาหมุนจะไวเท่ากันตลอดช่วงการหมุน แต่ในรุ่นใหม่นี้ ช่วงหักซ้ายขวานิดๆ จะไม่ไวมาก แต่พอเริ่มเกิน 45 องศา อัตราทดพวงมาลัยจะยิ่งไวขึ้น นอกจากนี้วิศวกรยังปรับน้ำหนักของพวงมาลัยใหม่ ให้ยังคงความเบาเวลาวิ่งที่ความเร็วต่ำไว้ แต่เพิ่มน้ำหนักต้านมือที่ความเร็วสูง

ระบบกันสะเทือน แบบอิสระ 4 ล้อ ด้านหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท ปีกนกรูปตัว L ส่วนด้านหลังเป็นแบบมัลติลิงค์ มีเหล็กกันโคลงมาให้ทั้งด้านหน้าและหลัง ในขนาดที่แตกต่างกัน แต่บ้านเรายังไม่ได้ช่วงล่างปรับไฟฟ้า Adaptive Shock Absorber แบบของรุ่นสูงๆในตลาดอเมริกา อย่างไรก็ตาม โช้คอัพแบบธรรมดาใน Accord ก็ได้รับการปรับปรุงให้มีบาลานซ์เทไปทางการขับขี่แบบสปอร์ตมากขึ้น แต่ยังไม่ทิ้งความนุ่มนวลเพื่อเอาใจกลุ่มลูกค้าหลัก

สิ่งที่ต่างจากรุ่น TURBO ก็คือ โช้คอัพและสปริง ซึ่งของรุ่น Hybrid นั้นจะเซ็ตมาให้แข็งขึ้นเพื่อให้รับกับน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น 104 กิโลกรัม โดยทีมเซ็ตช่วงล่างตั้งใจให้รถมีความมั่นคง แน่นแบบดูดถนน ขจัดอาการดีดดิ้นที่ไม่จำเป็นออก การที่โช้คอัพกับสปริงแข็งขึ้นก็เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้เท่านั้น ไม่ได้มุ่งหวังให้รถช่วงล่างหนืดแข็งเทโค้งดีแบบรถสปอร์ตแต่อย่างใด ส่วนพวงมาลัยไฟฟ้านั้นเป็นชุดเดียวกัน และไม่ได้มีการปรับตั้งค่าใดๆใหม่

ระบบห้ามล้อเป็นดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ จานเบรกคู่หน้ามีครีบระบายความร้อน เส้นผ่าศูนย์กลาง 12.3 นิ้ว ส่วนจานเบรกคู่หลัง เป็นแบบ Solid ธรรมดา เส้นผ่าศูนย์กลาง 11.1 นิ้ว มาพร้อมสารพัดตัวช่วย ไม่ว่าจะเป็นระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-Lock Braking System) ระบบปรับแรงดันน้ำมันเบรก ตามน้ำหนักบรรทุก EBD (Electronic Brake Force Distributor) และระบบควบคุมเสถียรภาพ VSA (Vehicle Stability Assist)

ล้ออัลลอยของรุ่น 2.0 Hybrid และ Hybrid TECH จะเป็นแบบเดียวกัน คือลายใบพัด 18 นิ้ว ปรับขนาดยางให้ต่างจากรุ่น TURBO โดยเป็นยางขนาด 235/45 และยังเปลี่ยนยี่ห้อ/รุ่นยางเป็น Yokohama Advan db ที่เน้นนุ่มเงียบ ผลิตจากเมืองจีน (รุ่น TURBO เป็นล้อ 17 นิ้ว ยาง 225/50 Michelin Primacy 3st

***การทดลองขับ***

ครั้งที่แล้ว กับรุ่น TURBO ทาง Honda พาไปลองเส้นทางขุนเขาที่เชียงใหม่ มาคราวนี้ เปลี่ยน Location เป็นปักษ์ใต้ โดยเริ่มจากโรงแรมเชลซี จังหวัดกระบี่ วิ่งบนถนนสายรองพักใหญ่ก่อนเข้าถนนเพชรเกษม จากนั้นวิ่งตรงยาวๆไปจนถึงสามแยกคลองมะรุ่ย เข้าสู่ถนนหมายเลข 1002 ไปจบที่ร้านชมวิว จังหวัดพังงา แล้วก็วิ่งกลับ ระยะทางรวม 153 กิโลเมตร ผมอยู่ในรถ Hybrid TECH สีขาวหมายเลข 2 จับคู่กับน้องโค้ก พีรพัฒน์จาก Autostation ผู้ซึ่งมาจากคนละวัย แต่ใจรัก BNK48 เหมือนกัน คุยกันรู้เรื่อง (ตอนขับรถยังเปิด Jabaja ไปด้วยเลยเอ้า)

เส้นทางนี้ มีส่วนผสมของโค้งกว้างความเร็วสูง โค้งแคบความเร็วปานกลาง มีโค้งหักศอกน้อยหน่อย รวมถึงมีส่วนที่เป็นพื้นราบน้อยมาก จะมีวิ่งขึ้นและลงทางลาดอยู่เกือบตลอด ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการพยายามจับเวลาอัตราเร่ง เพราะจะทำได้แค่บางช่วงเท่านั้น ตัวเลขที่ได้มาจึงไม่ชัวร์ แต่ก็ต้องทำ เพราะเชื่อว่าหลายคนอยากรู้

การทดสอบอัตราเร่ง

เราทดสอบในมาตรฐานที่แตกต่างจากที่พี่ J!MMY ทดสอบตามปกติ เนื่องจากบรรทุกน้ำหนักมากกว่า และใช้น้ำมันแกสโซฮอล 91 ซึ่งทาง Honda เติมไว้ ลำพังแค่ผมคนเดียวก็หนักจะเท่า J!MMY กับเติ้งแล้ว ส่วนน้องโค้กที่เพิ่มเข้ามา ตัวน่าจะเบากว่าน้าเต้ย นิธิ ท้วมประถมที่นั่งกับผมตอนจับเวลารุ่น 1.5 TURBO ประมาณ 20-30 กิโลกรัม

0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

โหมดปกติ 8.6 วินาที / โหมด Sport 8.3 วินาที (รุ่น 1.5 TURBO ทำได้ 9.54 และ 8.79 วินาทีตามลำดับ)

80-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

มีโอกาสลองโหมด Sport แค่สองครั้ง เวลาเฉลี่ยออกมาอยู่ที่ 6.2 วินาที (1.5 TURBO โหมด Sport ได้ 5.66 วินาที)

ในย่านความเร็วหลัง 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเป็นต้นไป เข็มความเร็วยังไหลอย่างต่อเนื่อง และดูเหมือนจะเร่งจาก 140-160 ได้เร็วกว่ารุ่นเดิม ความเร็วสูงสุดที่ทำได้ในทริปนี้คือ 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งกว่าจะถึงจุดนั้นได้ต้องแช่นานพอดู เพราะหลังจาก 160 เป็นต้นไป ความเร็วเพิ่มช้ามาก

เมื่อเทียบกับรุ่น TURBO อัตราเร่งช่วงกระทืบออกตัวของรุ่น Hybrid ดีกว่ากันแบบคนละเรื่อง แรงดึงหลังติดเบาะมาทันควันสไตล์รถถ่าน กระปรี้กระเปร่าจนไม่รู้สึกเลยว่าเจ้า Hybrid นี่หนักกว่ารุ่น TURBO 104 กิโลกรัมและต้องลากล้อกับยางที่ขนาดโตกว่า เมื่อกดคันเร่งแบบจุ่ม 50% รุ่น Hybrid จะดึงแรงกว่าและไปแบบเงียบๆ เสียงเครื่องยนต์เบากว่ารุ่นเดิมแบบรู้สึกได้ แต่จะครางหวิงหวิงหวิงหวิงคล้าย Suzuki Swift ตอนเกียร์พัง อารมณ์ซิ่งเลยลดทอนไปหน่อย และในบางครั้ง เมื่อกดคันเร่ง 90-100% จะรู้สึกว่ารถมีอาการหน่วงชั่วครู่ แก้ไขได้โดยกดโหมด Sport คันเร่งจะทำตัวดุขึ้น กดปุ๊บเอะอะก็จะดึง สะใจนักแล

อย่างไรก็ตาม เมื่อรุ่น TURBO แล่นผ่าน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเป็นต้นไป เข็มความเร็วจะไหลดีกว่า ตรงไหนที่ Hybrid ได้ 180 ตัว TURBO ก็น่าจะมีประมาณ 195-200 สบายๆ แรงดึงไม่โหด แต่ดึงดีตลอดปีตลอดชาติ

แล้วถ้าเทียบกับ Camry Hybrid ล่ะ? Accord น่าจะชิงป้ายหลัก 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ก่อน แต่ช่วง 100-180 นั้น Camry ทะยานไปดีกว่ามากจนไม่ต้องใช้นาฬิกาจับก็รู้สึกได้ ใน Camry ผมอยากเห็น 180 เมื่อไหร่ ก็กดคันเร่งแล้วรอแป๊บเดียว

เสร็จจากเรื่องพละกำลัง ก็ลองมาดูเรื่องช่วงล่างกันต่อ แล้วก็ไม่ผิดหวังครับ ในรุ่น Hybrid เจนเนอเรชั่นที่แล้ว มีช่วงล่างที่ดีประมาณนึง ไม่ถึงกับประทับใจ แต่ในตัว Hybrid รุ่นใหม่นี้ ต้องบอกว่าทำได้ดีเกินคาด บุคลิกสปอร์ตขึ้น มั่นคงขึ้นชัดเจน ช่วงล่างหน้ามีความมั่นคง ควบคุมการยุบและยืดตัวได้ดีขึ้น ส่วนช่วงล่างหลัง ถ้าวิ่งทางตรง ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าเป็นในโค้งแล้วพื้นไม่เรียบ ก็จะยังไม่อาการส่ายไปมาในแนวระนาบหลงเหลืออยู่

หากเทียบกับรุ่น 1.5 TURBO มันอาจจะไม่ต่างกันอย่างที่คาด ผมรู้สึกว่าเวลาวิ่งทางตรงความเร็วสูง รุ่น Hybrid จะมีช่วงล่างที่นิ่งและแน่นกว่า และในยามสาดโค้ง ผมคาดไว้ว่าน่าจะสู้รุ่น TURBO ไม่ได้ แต่ยางขนาด 235 กับแก้มที่เตี้ยลงนิดๆ และแบตเตอรี่ที่วางไว้ใต้เบาะหลัง ผสมรวมออกมาเป็นการเข้าโค้งที่ลงตัวชนิดที่ถ้าให้ขับบนภูเขาเล่นโค้งแข่งกันผมว่ารุ่น Hybrid ไล่ฆ่ารุ่น TURBO ได้ทุกดอก ความต่างจะอยู่ที่ หากเป็นโค้งหักศอกมากๆ และมาเร็วมากๆ รุ่น TURBO ที่ตัวเบาจะเลี้ยวคล่องกว่านิดๆ แต่ถ้าเป็นโค้งรัศมีกว้างแบบ 100R หรือกว้างกว่านั้น Hybrid กลับดูจะเกาะมั่นใจกว่า

สิ่งเดียวที่จะสู้รุ่น TURBO ไม่ได้ก็คือบนถนนขรุขระในช่วงความเร็วต่ำ และเมื่อเจอกับถนนกระเทาะ/ลูกระนาดปูนชันๆเล็กๆ ความสะเทือนที่เข้ามาในห้องโดยสารจะมีมากกว่า แต่ก็เพียงเล็กน้อยพอให้รู้สึกได้เท่านั้น ส่วนถ้าให้เทียบกับ Camry Hybrid ผมรู้สึกว่า Camry เซ็ตสปริงกับโช้ค และบาลานซ์ตัวถังได้ดีกว่า แต่ Accord ได้ยางที่กว้างทำให้ยึดเกาะได้ดีกว่า การเทียบคู่ในรุ่นไฮบริดนี้ ผลที่ได้ไม่ต่างกันเท่าสมัย Accord 1.5 TURBO vs Camry 2.5G เพราะครั้งนั้น Accord เสียเปรียบทั้งช่วงล่างและยางทุกประตู

พวงมาลัยมีน้ำหนักเบากำลังงามที่ความเร็วต่ำ และเพิ่มความตึงมือขึ้นได้ดีที่ความเร็วสูง ขับ 140-160 ไม่เครียด และไม่ว่อกแว่กมาก รุ่น Hybrid ที่ยางกว้างขึ้น 10 มิลลิเมตร ก็ส่งผลทำให้น้ำหนักพวงมาลัยมากกว่ารุ่น Turbo แต่อยู่ในระดับที่กำลังดี ทำให้ขับเล่นโค้งสนุกขึ้น

ส่วนแป้นเบรก มีน้ำหนักเบาเท้า มีความรู้สึกแบบฟองน้ำๆ คล้ายแรงต้านเท้าแบบสังเคราะห์ ไม่เป็นธรรมชาติแบบรถเบนซินที่มีหม้อลมเบรกไฮดรอลิก แต่สิ่งนี้ก็คือข้อจำกัดของรถไฮบริดส่วนมากที่เราเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว ข่าวดีก็คือในบรรดารถไฮบริดทั้งหลาย แป้นเบรกของ Accord จัดว่ามีความแรงในการจับ แปรผันตามน้ำหนักกดของเท้าได้ดี เสถียร และต่างจาก Camry ตรงที่ไม่ค่อยพบอาการเบรกไหลหรือเดี๋ยวไหลเดี๋ยวหน่วง เรียกได้ว่าตลอดทริปที่ขับ แทบไม่เจอเลยดีกว่า สงสัยต้องไปลองอีกรอบในสภาพการจราจรติดขัดอากาศร้อนๆ

สำหรับเรื่องอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงนั้น เราไม่ได้มีโอกาสนำรถไปเติมเต็มถังแล้ววิ่ง 110 นิ่งๆ แบบการทดสอบของพี่ J!MMY จึงทำได้แค่เพียงสังเกตจากจอ TRIP COMPUTER ของรถ และจะบอกว่าในทริปนี้ “ซัดแหลก” กันเกือบตลอดเส้นทางทุกคน ทำให้ได้ตัวเลขประมาณ 13 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งดูเหมือนโหด แต่จะบอกว่าตอนขับรุ่น 1.5 TURBO ที่เชียงใหม่ เราซัดกันไม่โหดเท่าทริปนี้ ก็ยังได้ตัวเลข 8.7-10.2 กิโลเมตรต่อลิตร

ดังนั้นเรื่องความประหยัด มันประหยัดกว่าตัว TURBO แน่ล่ะ ผมคาดคะเนไว้ว่าประมาณ 30% ในสภาพการขับที่แตกต่างกัน ถ้าคุณใช้ในเมืองมาก ความเร็วไม่ค่อยเกิน 60 รถก็มีโอกาสในการใช้ EV Mode เพื่อการขับเคลื่อนได้เยอะ อัตราสิ้นเปลืองก็จะดีขึ้นทันตาเห็น แต่ถ้าวิ่งทางไกล เกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เครื่องยนต์จะเป็นตัวสร้างและส่งกำลังไปที่ล้อตลอดเวลา อัตราการสิ้นเปลือง ก็จะเหมือนกับรถ 2.0 ลิตรเบนซินที่มีเครื่องยนต์ซึ่งจูนมาเพื่อให้ประหยัดเป็นพิเศษ ไม่มีปาฏิหารย์ใดๆไปกว่านั้น

ส่วนเรื่องการเก็บเสียง Accord Hybrid ก็มีระบบ Active Noise Control ที่ปล่อยคลื่นเสียงออกมาจากลำโพงเพื่อกลบเสียงรบกวนบางอย่างออกไป รุ่น 1.5 TURBO ก็มีระบบนี้ครับ และมันก็คล้ายกันกับของรถยุโรปใหม่ๆหลายรุ่น  วิศวกรญี่ปุ่นอธิบายว่าพวกเขาได้เพิ่มขั้นตอนการพ่นโฟมเก็บเสียงหนาขึ้นรอบคัน ทั้งพื้นล่าง บริเวณรอยต่อห้องเครื่องยนต์ รวมแล้ว 11 จุด แม้แต่ล้อ 18 นิ้วของรุ่น Hybrid ข้างในล้อยังมีแถบยางปุ่มไวซับเสียงอีกต่างหาก

ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ Accord Gen 10 ใหม่เก็บเสียงจากพื้นล่างของรถได้ดีกว่ารุ่นเดิมมาก ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมา Honda เป็นรถที่มักเก็บเสียงท่อนล่างห่วยมาเสมอ การเก็บเสียงลมก็ทำได้ดี เสียงลมที่กรีดเข้ามาตามกรอบประตูเบากว่า Camry และในภาพรวมทั้งห้องโดยสาร Accord ก็เงียบกว่ากันแบบรู้สึกได้

***สรุปการขับเบื้องต้น***

รถใหญ่ไฮบริด ขับสนุกในโค้ง ช่วงล่างดีกว่าที่คาด มีลูกเล่นเยอะ ปรับช่วงล่างอีกหน่อยจะสู้คู่แข่งได้ดีขึ้น

Accord Hybrid นับเป็นพัฒนาการที่ก้าวหน้าไปกว่ารถรุ่นเดิม และมันทำให้ Accord กลายเป็นรถที่สามารถขับขี่ทางไกลได้สนุกสนาน เล่นโค้ง หมุนพวงมาลัยแล้วรู้สึกเอ็นจอยไปกับมันมากกว่าที่เราเคยพบตั้งแต่เจนเนอเรชั่นที่ 7 โน่น

เรื่องช่วงล่าง ทำได้ดีกว่ารุ่นเดิมโข ไม่สะเทือนบ้าบอคอแตก แต่ให้ประสิทธิภาพในการเกาะถนนที่ดี คุณอาจจะไม่รู้สึกว่ามันต่างจาก Camry Hybrid TNGA เลยถ้าขับมันไปตรงๆหรือเข้าโค้งยังไม่แรงพอ แต่ถ้าเหวี่ยงแรงจริง Accord จะยังคุมท้ายไม่นิ่งเท่า Camry ซึ่งน่าจะเป็นวิธีการออกแบบช่วงล่างหลังและเซ็ตโช้คอัพ แต่ถ้าพูดถึงการยึดเกาะ (ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับการยุบและคืนตัวของช่วงล่าง) ปรากฏว่า Accord ที่ใช้ยางแก้มเตี้ย หน้ากว้างกว่า Camry 20 มิลลิเมตร สามารถตีตื้นเอาคะแนนขึ้นมาได้เช่นกัน

เรื่องพลังและอัตราเร่ง ความที่ใช้ขุมพลังเดิมๆ ปรับเปลี่ยนน้อยมาก ทำให้อัตราเร่งออกมาไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่ ตีนต้นและช่วงออกตัวจะดึงดีกว่า Camry ด้วยความที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นพระเอก และมอเตอร์ของ Accord ก็มีแรงขับสูงกว่าของ Camry มาก แต่พอช่วงหลังจาก 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงไป Camry น่าจะทิ้ง Accord หายไปแบบไม่เห็นฝุ่น

 

 

อีกสิ่งหนึ่งที่จะละเลยไม่ได้ ก็คงเป็นเรื่องความสบาย และความหรูหราในห้องโดยสาร คนที่จ่ายเงินล้านแปดทอนพันเดียวย่อมต้องคาดหวังเรื่องเหล่านี้ และทั้ง Accord กับ Camry ก็มีความคล้ายกัน คุณได้จอกลางขนาดใหญ่ เครื่องเสียงที่อัปเกรดขึ้นจากรุ่นปกติ เบาะนั่งปรับไฟฟ้าพร้อมระบบความจำ ซันรูฟ ระบบไฟสูงอัตโนมัติ ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ Cruise Control แบบมีเรดาร์ปรับความเร็วตามรถคันหน้าอัตโนมัติ (ของ Honda มี Low Speed Follow: แก้ไขเพิ่มเติม) รวมถึง Head Up Display

สิ่งที่จะแตกต่างกันคือออพชั่นปลีกย่อย ที่มีแนวทางเป็นของตัวเองระหว่าง 2 ค่ายนี้

Accord Hybrid TECH ดูเหมือนทำมาเอาใจวัยรุ่นและคนที่ชื่นชอบเทคโนโลยีแบบ IT จึงใส่อุปกรณ์เหล่านี้มา

  • Remote Engine Start
  • กล้อง 360 องศา
  • ระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติ
  • Honda LaneWatch

Camry 2.5 HV Premium ดูเหมือนจะเอาใจเจ้านายนั่งหลัง จึงมีสิ่งเหล่านี้

  • เบาะหลังแบบปรับเอนได้ด้วยไฟฟ้าพร้อมสวิตช์ควบคุมบริเวณที่เท้าแขน
  • เครื่องปรับอากาศแบบ 3 โซน คนนั่งหลังแยกปรับอุณหภูมิได้
  • ถุงลมนิรภัยต่างหากสำหรับประตูหลัง รวมทั้งคันมี 9 ใบ (Accord มี 6 ใบ)

ส่วนบรรยากาศห้องโดยสารนั้น Accord จะดูสปอร์ต มีความคล้าย BMW ปนๆก้ับ Mazda ให้ความรู้สึกโปร่งตาเวลาขับ แต่วิธีการเลือกวัสดุที่มาตกแต่ง..บอกเลยว่าจืดสนิทถ้าไม่ใช่ว่าซื้อรถคันที่มีภายในเป็นเบาะสีชาชัก ในขณะที่ Camry คอนโซลจะเป็นบั้งๆดูแปลกๆ แอบโบราณ และไม่ดูหรูหราเท่ารุ่นเก่า แต่อย่างน้อย ลักษณะของวัสดุที่เลือกและการตกแต่งก็ทำให้มันดูมีค่าสมราคาล้านแปดมากกว่า

แล้วถ้าให้เทียบกับรุ่น TURBO ล่ะ?

แน่นอนครับว่าไม่มี 1 คำตอบที่เหมาะสำหรับทุกคน ผมถึงต้องตอบยาว และเป็นเหตุให้มีนิสัยชอบเขียนบทความยาวๆ จนบางคนทนอ่านไม่ไหว เขาอาจจะชอบคำตอบคำเดียวสั้นๆ แต่ไม่ต้องการความรู้ความเข้าใจอะไร..แต่ไม่ใช่กับผม

คำตอบแนวทางแรก..บางคน ซื้อรถใหญ่เพราะต้องการออพชั่น และรังเกียจรถที่ออพชั่นไม่เป็นไปตามราคารถ ถ้ามาในกรณีนั้น เชิญเล่นตัว Hybrid หรือ Hybrid TECH ได้เลยครับ เพราะอุปกรณ์และการตกแต่งในรุ่น TURBO นั้น ด้อยมากเรื่องลูกเล่น คิดได้ไงเนี่ยรถราคาจะล้านห้าแต่ออพชั่นน้อยกว่า Civic RS

คำตอบแนวทางที่สอง…หลายคนซื้อรถไฮบริดเพราะตัวเลขประหยัดน้ำมัน…ถ้าเป็นผม ผมจะลองควักเครื่องคิดเลขมาคำนวณเล่นๆก่อน ข้อมูลทุกอย่าง เรารู้ แต่ชอบลืมคิดกัน ผมลองยกตัวอย่างให้ เช่นผมนี้ ปีนึงใช้รถส่วนตัวแค่ราว 30,000 กิโลเมตร ผมรู้ว่าราคาน้ำมัน Gasohol E10 อยู่ที่ 27.5 บาทต่อลิตร และทราบว่า..ภายใต้ตีนและมือของผม Accord Turbo จะกินน้ำมัน 9 กิโลลิตร และ Hybrid ได้ 13 กิโลลิตร

ดังนั้นเมื่อกดเครื่องคิดเลขดู ปีนึงวิ่ง 30,000 กิโลเมตร ..ถ้าเป็นรุ่น TURBO ผมจะต้องใช้น้ำมัน 3,333 ลิตร และถ้าเป็นรุ่น Hybrid ก็จะใช้น้ำมัน 2,307 ลิตร แปลงค่าเป็นเงิน ก็คูณไปสิครับ 3,333 x 27.5 เท่ากับค่าน้ำมันปีละประมาณ 91,000 บาทสำหรับรุ่น TURBO และปีละประมาณ 63,000 บาทสำหรับรุ่น Hybrid

สมมติว่าผมเอารุ่น 2.0 Hybrid ตัวรองก็ได้ ราคา 1,639,000 บาทของมัน แพงกว่ารุ่น TURBO อยู่ 164,000 บาท ผมจะต้องใช้รถไปเกือบ 6 ปีกว่าที่เงินที่ได้จากการประหยัดน้ำมันจะคืนทุนส่วนต่าง ผมมีเวลาได้กำไรจากค่าน้ำมันอีกแสนเศษๆแล้วพอพ้นปีที่ 10 ไป ถ้าไม่มีอะไรเสีย ผมจะต้องขายออกในราคาที่ไม่ต่างจากตัว TURBO แต่ถ้ามีอะไรเสียหลังปีที่สิบ มันย่อมไม่ใช่หลักหมื่นแน่ กลายเป็นว่าผมขาดทุนหรือเสมอตัว

รถไฮบริด ซื้อ 5 ปีขาย ราคาก็ร่วงเร็ว ครั้นใช้ยาวจนหมดวารันตีก็มีความเสี่ยงอยู่ดี ผมถึงบอกว่าแทนที่จะเซฟ กลับกลายเป็นเสีย แต่ทั้งนี้คุณต้องไปคำนวณโดยใช้อัตราสิ้นเปลืองและตัวแปรที่ต่างกัน มันยังมีทางที่รถไฮบริดจะคุ้มค่ากว่า โดยเฉพาะถ้าคุณใช้ในเมืองมากๆและต้องขับเป็นระยะทางมากกว่าปีละ 30,000 กิโลเมตร

 

คำตอบแนวทางที่สาม

สำหรับคนไทยหัวใจวัยรุ่น ชอบขับรถแรง เร็ว ชอบแต่งรถเป็นชีวิตจิตใจ ระหว่างออพชั่นกับความแรงคุณเลือกอย่างหลัง แต่คุณแค่กำลังสงสัยว่าถ้าออกตัว TURBO มาจะโดน Hybrid แซงให้เสียหน้าหรือเปล่า อันนี้ตอบได้เลยว่า คุณไปตัว TURBO เถอะครับ เงินส่วนที่เหลือจากการไม่เอารุ่น Hybrid นั้น แม้มันจะเสก Honda SENSING หรือ Adaptive Cruise ให้คุณไม่ได้ แต่อย่างน้อย ล้อและยางสวยๆ ช่วงล่างแต่งที่โหลดตรงใจคุณ บริการปรับความแรงเครื่องมีอยู่เยอะแยะ ลำพังแค่รีแมพอย่างเดียว Accord Turbo ก็เขี่ย Hybrid ทิ้งได้ตั้งแต่หลัง 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงสบายละครับ

และแนวทางสุดท้าย สำหรับผู้ที่มองแบบเศรษฐศาสตร์..ก็คงต้องเป็นตัว TURBO เช่นกัน เพราะตอนซื้อ ก็ราคาถูกกว่า ตอนคิดจะขาย เชื่อสิ ตั้งโพสท์ปุ๊บ ไปง่ายกว่ารุ่น Hybrid แน่นอน ไม่ว่า Honda จะวารันตีแบตเตอรี่ 10 ปี วารันตี Hybrid Component 5 ปี หรือเทคโนโลยีจะไปไกลขนาดไหน “ความเชื่อ” เกี่ยวกับความแพงในการซ่อมและเปลี่ยนระบบไฮบริดจะยังคงอยู่จนกว่าจะมีใครสักคนมาพิสูจน์อย่างจริงใจ ว่ามันไม่แพงกว่ารถรุ่นเดียวกันที่เป็นเครื่องสันดาปภายใน นอกจากนี้ การที่มีอุปกรณ์และของเล่นน้อยชิ้น แน่นอนครับ คนใช้รถยาว 10-20 ปีรู้ ของเล่นเยอะ ก็เท่ากับมีจุดให้เสียเยอะ

ในทางตรรกะ จะเห็นได้ว่าเหตุผลส่วนใหญ่จะชี้นำไปว่า เลือกรุ่น TURBO เถอะ แต่ก็อีกครั้ง ใครกันบ้างที่ชอบรถใหญ่ยาวเกือบ 5 เมตร แต่ไม่ถามหาออพชั่น ใครบ้างจะเอารถใหญ่มาแต่งซิ่งโดยไม่สนลิสต์อุปกรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อ Civic RS ถูกกว่ามาก มีของเล่นครบทุกอย่าง โมฯได้เหมือนกับ Accord แค่ภายในมันแคบกว่าและคลาสของรถต่ำกว่า

นั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำไม เวลารุ่นน้องถามว่า ถ้าเป็นพี่ พี่จะเลือกอะไรระหว่าง Accord Turbo กับ Accord Hybrid ผมมักจะตอบว่า

“ถ้าเป็นพี่ พี่ไม่เอาทั้งคู่ กูเอา Civic RS ไปเลย นั่งได้ขับได้เหมือนกัน แรงเท่ากัน เหลือเงินแต่งต่อได้อีกบาน ปกติขับก็ขับคนเดียว นานๆจะมีคนนั่งหลังจะเอารถใหญ่บ้านบึ้มไปทำไมวะ”

ดังนั้น ถ้าไม่อยากได้คำตอบกวนส้นแบบนี้จากผม คุณผู้อ่านครับ รบกวนอย่าถาม ว่าเป็นพี่ พี่เลือกอะไร นะครับ อิอิ

 

—–/////—–

 


ขอขอบคุณ / Special Thanks to :

ฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท Honda Automobile (Thailand) จำกัด

สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน Pan Paitoonpong
ลิขสิทธิ์ภาพถ่ายรถยนต์ เป็นผลงานของผู้เขียน/Honda ประเทศไทย/Honda of America ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com  8 สิงหาคม 2019

Copyright (c) 2019 Text and Pictures. Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited. First publish in www.Headlightmag.com  8 August 2019

แสดงความคิดเห็นบนเว็บบอร์ดของ Headlightmag ได้ คลิกที่นี่