ขึ้นชื่อว่าเป็น Volvo ก็ย่อมหนีไม่พ้นจุดขาย “ระบบความปลอดภัย” แน่นอน นั่นก็ทำให้พวกเราไม่ค่อยแปลกเท่าไรเลยว่า
ทำไม Volvo ถึงยังพอเอาตัวรอดกับสถานการณ์การแข่งขันด้านการตลาดรถยนต์ที่รุนแรงมาก เพราะชื่อแบรนด์ Volvo
มันฝังไว้ในความทรงจำว่ามันต้องเป็นรถที่ปลอดภัยแน่นอน
เมื่อเร็ว ๆ นี้ Volvo ได้จัดสัมมนาความปลอดภัยบนท้องถนน Volvo’s Road towards 2020 ขึ้นที่กรุงเทพฯ โดยเชิญ
ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยจากสวีเดน และประเทศไทยเข้าร่วมนำเสนอข้อมูล โดย Volvo ได้เน้นถึงเป้าหมายไปสู่
วิสัยทัศน์ปี 2020 ในการพัฒนาเทคโนโลยี ที่ทำให้ไม่มีผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บสาหัสในรถยนต์ Volvo รุ่นใหม่นับตั้งแต่ปี
ค.ศ. 2020 เป็นต้นไป
“เพราะรถถูกขับเคลื่อนโดยคน เบื้องหลังทุกสิ่งที่Volvo ทำ ทั้งที่ผ่านมาในอดีตและในอนาคต คือ หลักการความ
ปลอดภัย”
นับตั้งแต่ผู้ก่อตั้ง Volvo มร. อัสซาร์ กาเบรียลสัน และ มร. กุสตาฟ ลาร์สัน กล่าวประโยคข้างต้นไว้เมื่อมีการก่อตั้งบริษัท
มาจนถึง 88 ปีให้หลัง ทุก ๆ คำพูดถูกถ่ายทอดเป็นการกระทำอย่างชัดเจน จากพันธะสัญญาแรกเริ่มที่ให้ความสำคัญกับ
ทุกชีวิต ไม่ว่าจะเป็น ผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร หรือผู้ร่วมใช้ถนน ปัจจุบัน Volvo ยังคงความเป็นแบรนด์ต้นแบบด้านความ
ปลอดภัย ด้วยเทคโนโลยีในรถรุ่นต่างๆ ที่ถูกพัฒนาให้ดีขึ้นเป็นลำดับ
ปณิธานสูงสุดของ Volvo คือการผลิตรถอัจฉริยะที่ไม่เกิดการเฉี่ยวชนใดๆ แต่สำหรับอนาคตอันใกล้ Volvo ได้
ตั้งเป้าหมายไว้ว่าในปีค.ศ. 2020 จะต้องไม่มีผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บสาหัสในรถ Volvo รุ่นใหม่
แม้จะเป็นเป้าหมายที่เป็นสิ่งที่บรรลุได้ยากยิ่ง แต่ Volvo ก็ได้เตรียมเส้นทางและกระบวนการไปสู่จุดนั้น การศึกษาข้อมูล
การจราจรและการวิจัยอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง รวมทั้งพฤติกรรมการขับขี่ ช่วยให้สามารถออกแบบรถที่ปลอดภัย แม้
เมื่อเกิดการชนที่รุนแรง นอกจากนี้ยังมีทั้งระบบความปลอดภัยและระบบช่วยการขับขี่ ที่ป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุและ
ลดทอนความเสียหายและการบาดเจ็บ เมื่อไม่สามารถหลีกเลี่ยงการชนได้
ดร. ล็อตต้า ยาค็อบสัน หัวหน้าทีมอาวุโสด้านเทคนิค แผนกป้องกันการบาดเจ็บ จากศูนย์ความปลอดภัย Volvo
ประเทศสวีเดน ได้นำเสนอข้อมูลที่น่าสนใจ เกี่ยวกับประวัติและวิวัฒนาการเกี่ยวกับความปลอดภัยในรถยนต์ Volvo และ
อุปกรณ์ความปลอดภัยหลากหลายรายการที่ Volvo คิดค้นขึ้นเป็นรายแรกในโลก ซึ่งในจำนวนนี้ สิ่งที่มีชื่อเสียงมากที่สุด
คือการคิดค้นเข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด ซึ่งช่วยรักษาชีวิตคนหลายล้านคนมาแล้วทั่วโลก
นอกจากนี้ ดร. ล็อตต้ายังได้แนะนำ “IntelliSafe” ซึ่งเป็นชุดของนวัตกรรมอันชาญฉลาด เช่น Park Assist ระบบช่วย
จอดขนานขอบทางอัตโนมัติ City Safety ซึ่งช่วยป้องกันการชนขณะขับความเร็วต่ำสำหรับรถ จักรยาน และคนเดินถนน
Adaptive Cruise Control with Queue Assist ช่วยประมาณการทิ้งระยะห่างจากรถคันหน้าอย่างปลอดภัย และใน
การจราจรที่เคลื่อนตัวช้ามีฟังก์ชั่นหยุดรถและออกตัวอัตโนมัติ ด้วยความเร็วที่พอดีกับรถคันหน้า จึงขับสบายแม้ในยามรถ
ติด Collision Warning ระบบเตือนป้องกันการชนและช่วยเบรคอัตโนมัติสำหรับคนเดินถนน รถจักรยาน หรือแม้แต่รถ
คันอื่นที่กำลังเข้ามาในทางของVolvo และLane Keeping Aid ระบบแจ้งเตือนเมื่อรถเริ่มวิ่งออกนอกเส้นแบ่งช่อง
ทางเดินรถ
สำหรับรถ Volvo ในประเทศไทย ในปีหน้าเมื่อรถ Volvo XC90 ใหม่ มาถึงประเทศไทย จะเป็นการยกระดับความ
ปลอดภัยสู่มาตรฐานที่สูงขึ้นไปอีก เช่น เข็มขัดนิรภัยที่นั่งคู่หน้าและแถวที่สองจะปรับได้หลายระดับเพื่อให้ทั้ง”ความ
ปลอดภัยและความสบายสูงสุด” นอกจากนี้ยังมีระบบที่ปรับปรุงขึ้นสำหรับการรับแรงชนด้านหลัง และการวิ่งออกนอกช่อง
แบ่งจราจรที่ดีกว่าเดิม นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มระบบเบรคอัตโนมัติในสถานการณ์รถวิ่งตัดหน้าที่สี่แยก
ดร. ล็อตต้ากล่าวทิ้งท้ายว่า “นวัตกรรมและทุกสิ่งที่ Volvo ทำ ก็เพื่อไม่ให้มีการชนเกิดขึ้น และเพื่อให้ความตั้งใจนี้ประสบ
ความสำเร็จ Volvo จะดำเนินการแต่เพียงผู้เดียวไม่ได้ ต้องอาศัยแนวร่วม 3 ฝ่าย มาประสานความร่วมมือกัน คือ ผู้ผลิต
รถยนต์แบรนด์ต่างๆ ต้องสร้างรถที่ระบบความปลอดภัย สามารถทำงานเต็มประสิทธิภาพในสถานการณ์ต่างๆ หน่วยงาน
ภาครัฐที่เกี่ยวข้องต้องออกกฏหมายและสร้างถนนและสาธารณูปโภคที่เกี่ยวข้องตามหลักวิชาการ และผู้ใช้รถใช้ถนน
จะต้องเคารพกฏหมาย มีวินัยในการขับรถรวมทั้งช่วยดูแลชีวิตกันและกัน”
การยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยและสร้างความตระหนักรู้
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอุบัติเหตุบนท้องถนนสูงเป็นอันดับต้นๆของโลก มีผู้เสียชีวิตจากการนี้ราว 20,000 คน/
ปี Volvo มีความตระหนักในปัญหานี้ของสังคมไทยมาตั้งแต่อดีต ในปีพ.ศ. 2546 ได้ร่วมโครงการกับธนาคารโลกและ
องค์การระหว่างประเทศหลายหน่วยงานในการจัดตั้งศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย โดยได้ลงนามในบันทึกข้อตกลง
เป็นเวลา 3 ปีกับภาครัฐ เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้จาก Volvo Cars Safety Centre สวีเดน ให้กับศูนย์วิจัย
แห่งนี้ ซึ่งจะช่วยป้อนข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์สู่ผู้มีอำนาจหน้าที่ภาครัฐ ให้สามารถวางกรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้องและ
วางแผนแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุดยิ่งขึ้น มาในปีนี้Volvo ได้จัดเวทีเชิญผู้เชี่ยวชาญของไทย มาให้ข้อมูลด้านอุบัติเหตุ
รถยนต์ เพื่อกระตุ้นเตือนความสำคัญเรื่องนี้แก่สังคมไทยอีกครั้ง
ในงานสัมมนา มีแขกรับเชิญพิเศษ 2 ท่าน คือ รศ. ดร. กัณวีร์ กนิษฐ์พงศ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย
และนายแพทย์อนุชา เศรษฐเสถียร เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ
รศ. ดร. กัณวีร์ กล่าวว่า”สิ่งที่พบในปัจจุบันกับเรื่องปัญหาอุบัติเหตุทางถนนในประเทศไทย คือความรุนแรงของอุบัติเหตุที่
เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้คนไทยเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนเป็นจำนวนมาก ความรุนแรงของอุบัติเหตุทางถนน เกิดจากปัจจัย
3 ประการ ได้แก่ ประการแรก ความเร็ว (Speed) ของรถยนต์ รถกระบะ และรถโดยสารสาธารณะ ประการที่สอง การไม่
ใช้อุปกรณ์นิรภัย (No Restraint System) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการละเลยไม่คาดเข็มขัดนิรภัย และการไม่ใช้หมวกกันน็อค
และประการที่สาม การพุ่งชนวัตถุอันตรายข้างทาง (Roadside Hazards) ซึ่งเมื่อรถเสียหลักหลุดออกนอกถนน เกิดการ
ปะทะกับเสาไฟฟ้า ต้นไม้ หลักกิโลเมตร หรือแม้แต่พลิกคว่ำ ทำให้เกิดอุบัติเหตุรุนแรงได้ ถ้าเราสามารถจัดการกับสาม
ปัจจัยข้างต้นได้ ก็จะสามารถลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนในประเทศไทยได้อย่างมีนัยสำคัญ”
นายแพทย์อนุชา เศรษฐเสถียร เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ กล่าวว่า”ในสายงานทำให้ต้องเจอกับการ
เสียชีวิตจากอุบัติเหตุหรือภัยพิบัติต่างๆ ตลอดเวลา แต่หนึ่งในสาเหตุหลักของความสูญเสียก็คือ อุบัติเหตุบนท้องถนน”
ตามข้อมูลสถิติ มีคนไทยที่ออกจากบ้านแล้วไม่ได้กลับไปหาครอบครัว 50 คนต่อวัน ด้วยเหตุจากเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบน
ถนน ผู้โดยสารในรถประจำทางทั้งรถแบบทัวร์หรือรถตู้ต้องเสียชีวิตจำนวนมาก เพียงเพราะคนขับหลับในหรือเพราะ
อุปกรณ์เบรกมีปัญหาแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ป้องกันได้ ประเทศไทยยังปล่อยให้มีรถวิ่งด้วยความเร็วสูงผ่ากลางชุมชนซึ่งเหยื่อ
ความเร็วมีทั้งผู้ใหญ่และเด็ก หนึ่งในสามของคนบาดเจ็บถูกนำส่งห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลคือคนเมาสุรา และเตียงในห้อง
ICU ต้องรองรับผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถยนต์ แทนที่จะใช้ดูแลผู้ป่วยขั้นรุนแรงจากโรคต่างๆได้อย่างเต็มที่ ส่วน
รถพยาบาล รถกู้ชีพ ก็เป็นส่วนหนึ่งของการถูกเฉี่ยวชน โดยมีอุบัติเหตุราว 60 ครั้งต่อปี และสูญเสียบุคลากรหน่วยกู้ชีพ
ประมาณ 20 คน/ปี ขณะปฏิบัติหน้าที่
ผลจากอุบัติเหตุทางถนนที่ทำให้อวัยวะได้รับบาดเจ็บถาวร หรือเกิดการทุพพลภาพ ทำให้พวกเขาเหล่านี้ไม่สามารถ
ประกอบอาชีพและดำเนินชีวิตได้ตามปกติ และในบางกรณีต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดเวลาจากครอบครัว
ทั้งหมดนี้ก่อให้เกิดความเสียหายทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว และสังคม
“ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าอุบัติเหตุทางถนนเป็นปัญหาสำคัญ ที่ผู้ผลิตรถ ผู้ออกแบบก่อสร้างถนน ผู้คุมกฏหมาย
นักการเมือง นักวิชาการ นักพัฒนาและผู้ใช้รถ ใช้ถนนในประเทศไทย จำเป็นต้องประสานความร่วมมือกัน รีบหาทางคืน
ความสุขบนถนนโดยด่วน ก่อนต้องโทร 1669 เรียกใช้หน่วยกู้ชีพ”นายแพทย์อนุชา เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน
แห่งชาติ กล่าวทิ้งท้าย
งานสัมมนาในครั้งนี้ เป็นการยืนยันอีกครั้ง ถึงความมุ่งมั่นของ Volvo ในการสร้างความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน
สำหรับผู้ขับขี่ ผู้โดยสารและทุกชีวิตบนท้องถนน เทคโนโลยีต่างๆ ถูกคิดค้นขึ้น เพื่อให้การเดินทางสู่จุดหมายปลอดภัย ทุก
สิ่งที่กล่าวมาข้างต้น คือเส้นทางมุ่งสู่จุดหมาย ไม่ให้มีผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บร้ายแรงในรถยนต์ Volvo รุ่นใหม่ในปี ค.ศ.
2020