คำแนะนำก่อนอ่าน
1. ไม่ได้เขียนเพื่อให้แข่งกันอ่านแบบ Endurance ดังนั้นไม่ต้องรีบครับ ไม่ต้องอ่านแบบ
รวดเดียวจบ หรือถ้ายาวไป ก็ไว้ค่อยกลับมาดูใหม่เรื่อยๆหรือเอากลับมาอ่านเวลาต้องการ
รู้อะไรสักอย่างเพิ่มเติม
2. ที่เห็นในบทความ จะมีเฉพาะรุ่น WRX และ WRX STi นะครับ รุ่นธรรมดา 1.5, 1.8, 2.0
จะไม่ได้รวมอยู่ในบทความนี้..ทำไมไม่รวม..ถ้ารวมแล้วคงเขียนจบปลายๆปีครับ
พร้อมแล้ว ขอเชิญ ภูมิใจนำเสนอเพื่อคนรักซูฯครับผม
Pan Paitoonpong
.
– – – – – – – – – – – – – – – –
Subaru เป็นค่ายที่สร้างชื่อเสียงจากการสร้างรถขับเคลื่อนล้อหน้ามาก่อน ชาวไทยอย่างเรา
หากเป็นรุ่นคุณพ่อหรือคุณปู่ มักจะนึกถึงรถตระกูล Leone ไฟหน้า 2 และ 4 ดวงจากยุค
70s ซึ่งใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า (และวางยางอะไหล่ไว้ในห้องเครื่อง) ในยุคที่เส้นทาง
ตามภูเขายังไม่พัฒนานั้น ผู้ใหญ่เขาเล่าให้ฟังว่าบนเส้นทางโหดๆที่รถญี่ปุ่นทั่วไปขับแล้ว
ไม่มั่นใจ Subaru รุ่นเก่าๆที่ขับเคลื่อนล้อหน้านั้นทั้งขับมันส์ เร็ว และให้ความมั่นใจใน
เสถียรภาพการทรงตัว แต่ในญี่ปุ่นนั้น Subaru เริ่มคิดค้นพัฒนาการเอาระบบขับเคลื่อน
สี่ล้อมาใช้ในรถเก๋งตั้งแต่ยุค 60s แล้ว ในปี 1972 พวกเขาก็สร้าง Subaru Leone ขับเคลื่อน
4 ล้อออกมา กลายเป็น “รถยนต์นั่งส่วนบุคคลสัญชาติญี่ปุ่นรุ่นแรก” ที่ตะกายสี่เท้า
คุณสมบัติที่ดีเหล่านั้นได้ถูกปรับปรุงพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนกลายมาเป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ
ที่จับคู่กับเครื่องยนต์แบบสูบนอน “Symmetrical All-Wheel-Drive” กลายเป็นเอกลักษณ์ที่
ทุกคนจดจำมาจนวันนี้
สำหรับคนรุ่น Generation X และ Y นั้น Subaru รุ่นหนึ่งที่พอเอ่ยชื่อแล้วนักเลงรถ
จะต้องร้องอ๋อทันทีก็คือ Impreza โดยเฉพาะรุ่น WRX และ WRX STi ที่ได้อาศัย
ทักษะการทำรถขับสี่เทอร์โบจากรุ่น Legacy ปี 1989 มาประยุกต์ใช้กับรถยนต์ขนาดเล็ก
ที่มีน้ำหนักเบาระดับเดียวกับ Toyota Corolla และ Honda Civic จนประสบความสำเร็จ
ในการแข่งขันแรลลี่ทั่วโลก และกลายเป็นรถที่ให้การขับขี่สนุกสนานคุ้มค่าในราคาที่
คนฐานะปานกลางในแต่ละประเทศสามารถหามาครอบครองได้ไม่ยากจนเกินไป
ทั้ง Impreza และ Mitsubishi Lancer Evolution ได้สร้างลัทธิความนิยมในรถแบบ
Pocket Rocket ตัวเล็กหมัดหนักที่พาผู้คนจำนวนมากเข้าถึงความเร็วและแรงจีในระดับที่
มีแต่รถสปอร์ตชั้นดีจากยุโรปที่ราคาสูงเท่านั้นที่ให้ได้
เวลานั้นหมุนผ่านไปเร็ว และในโลกของคนที่รัก Subaru เทอร์โบขับสี่นั้น พวกเขาอาจ
ลืมไปเลยว่ามันเป็นเวลากว่า 22 ปีแล้วที่ชื่อ WRX เกิดมาบนโลกใบนี้ โมเดลล่าสุด
ที่เพิ่งเผยโฉมไปในปีที่แล้วก็เป็นเครื่องยืนยันเจตนารมย์ของ Subaru ว่าอย่างน้อย
นักเลงรถที่ชื่นชอบบูชาลัทธิดาวลูกไก่จะยังมี WRX ใหม่สดจากโชว์รูมให้เห็นไป
อย่างน้อยสัก 3-4 ปี
ผมเองก็มีความรู้สึกรักในรถอย่าง Impreza และ Legacy ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะรถคันแรก
ที่พ่อซื้อให้คุณแม่ขับพาผมไปเรียนตั้งแต่ตอนอนุบาลนั้น มันคือ Leone ท้ายลาดสี่ตา
รุ่น 1600ST ปี 1979 สีดำคาดสติกเกอร์ 3M รอบคัน จากนั้นเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น นั่นคือ
ช่วงที่ Legacy Turbo และ Impreza Turbo ถูกนำเข้ามาขายในไทย มันกลายเป็น
ความฝันของผมว่า “สักวันกูเนี่ยล่ะต้องเป็นเจ้าของรถพวกนี้ให้ได้” และตอนนั้นผมก็
ไม่ทราบหรอกครับว่าจะได้เป็นเจ้าของกับเขาจริงๆอีก 18 ปีให้หลัง..แต่ส่วนมากผม
จะได้สัมผัส Impreza โดยความเอื้ออารีย์ (แกมโดนบังคับ) ของรุ่นพี่รุ่นน้องในกลุ่ม
ที่สนิทกันพอจะให้ได้ลองหลายต่อหลายรุ่น นี่คือรถรุ่นแรกๆที่สอนให้ผมรู้จักคุณประโยชน์
ของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่สามารถวิ่งได้ดีในหลากหลายสภาพถนน สามารถกดคันเร่ง
ออกจากโค้งได้โดยไม่มีอาการสะบัดสะบิ้ง เป็นรถรุ่นแรกที่สอนผมว่าการเอาพละกำลัง
ลงสู่พื้นได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยนั้น มีความสำคัญไม่แพ้การโมดิฟายเพิ่มพลังเครื่องเลย
ในวาระนี้ ผมจึงขอนำเสนอเรื่องราวโดยสังเขปของ Impreza WRX และ STi
หลายต่อหลายรุ่นที่ผ่านมาให้ชาว Headlightmag ได้อ่าน ได้รับรู้ และสำหรับหลายท่าน
มันอาจเป็นโอกาสอันดีในการหวนนึกถึงวันคืนอันแสนสุขระหว่างคุณกับ Subaru คันเก่ง
ก่อนที่วันเวลา วัยวุฒิ และความจำเป็นอื่นๆในชีวิตจะพาคุณไปหา SUV หรือซาลูนหรูๆ
อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เรามาย้อนอดีตกัน ณ บัดนี้เลยดีกว่าครับ
.
First Generation-PURE SPORTS SEDAN
Subaru เปิดตัว Impreza ครั้งแรกในวันที่ 22 ตุลาคม 1992 และเริ่มส่งมอบให้ลูกค้าจริงๆใน
เดือนถัดมา ชื่อ Impreza นั้นถูกคิดค้นขึ้นมาแทนชื่อรุ่น Leone เพื่อแสดงถึงความใหม่สดทั้ง
เรื่องการออกแบบและวิศวกรรม ดีไซน์ภายนอกของรถได้รับอิทธิพลมาจากสรีระร่างของ
หงษ์ที่กำลังบิน แม้แต่วิธีการออกเสียงชื่อของมัน (ในสำเนียงของคนญี่ปุ่น) ยังสร้างความรู้สึก
เด้งดีมีชีวิตชีวา เพราะในขณะที่หลายคนจะออกเสียงว่า อิม-เพรส-ซ่า หรือ อิม-เพรย์-ซ่า
การออกเสียงที่แท้จริงแบบคนญี่ปุ่นจะเป็น “อิม-เพร็ท-ซ่ะ”
แรกเริ่มเดิมที รถรุ่นนี้ถูกสร้างออกมาเพื่อเป็นรถบ้านใช้ง่ายขับสบาย แต่มีจุดเด่นที่ระบบ
ขับเคลื่อนสี่ล้อซึ่งมีประโยชน์มากในหลายประเทศที่มีภูมิอากาศหลากหลายและสภาพถนน
คาดเดาไม่ได้ หัวใจหลังของการสร้าง Impreza อยู่ที่ความทนทาน ไม่จุกจิก ใช้แบบลืมๆ
ได้เช่นเดียวกับ Honda Civic (ซึ่งหัวหน้าโครงการพัฒนารถรุ่นนี้บอกเองว่านั่นคือคู่แข่ง
ที่เขากลัวที่สุด) คิดดูก็แล้วกันว่าในช่วงแรก ทีมผู้บริหารบางคนยังเสนอให้เปลี่ยนมาใช้
เครื่องยนต์แบบ 4 สูบเรียงเพื่อประหยัดต้นทุนลงด้วยซ้ำ แต่ข้อเสนอนี้ก็ถูกเขี่ยตกโต๊ะไป
และยังมาพร้อมกับความคิดใหม่ที่ว่า “เออ นั่นสิ แล้วทำไมเราไม่สร้าง Impreza รุ่นแรงๆ
ออกมาซะเลยล่ะ?” จากเดิมที่จะมีแค่หงษ์บ้านไว้ให้พ่อบ้านแม่บ้านขับใช้งาน ก็กลายเป็นว่า
มีหงษ์ติดหอยถือกำเนิดขึ้นในห้องโปรเจคท์ของ Subaru ซึ่งในช่วงเวลานั้น Mitsubishi
Lancer Evolution ยังเป็นวุ้นอยู่ พวกเขาจึงเล็งเทียบกับ Nissan Pulsar GTi-R โดยมี
Skyline GT-R R32 เป็นรถ Benchmark ในการปรับแต่งองค์ประกอบในการขับขี่ด้วย
ช่วงล่าง? ไม่มีปัญหา เพราะยกชุดแม็คเฟอร์สันสตรัทจาก Legacy มาใส่ แค่อาจมีช่วงล่าง
บางจุดที่ต่างกัน แต่จุดยึดต่างๆเหมือนกัน..โช้คกับสปริงนั้นใส่กันได้เลยด้วยซ้ำ
เครื่องยนต์หรือ? ไม่ใช่เรื่องยากเลย ในเมื่อพวกเขามีเครื่อง EJ20 Turbo จาก Legacy RS
อยู่แล้ว แค่นำเครื่องนั้นมาปรับแต่งเพิ่ม เปลี่ยนกลไกวาล์วจากแบบรองชิมเป็นแบบไฮดรอลิก
และเปลี่ยนเทอร์โบเป็น TD04H พร้อมกับปรับช่วงล่างและระบบเบรกให้รองรับกับพลังที่เพิ่มมา
WRX รุ่นแรกจึงถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับพลัง 240 แรงม้า ซึ่งได้รับกระแสตอบรับอย่างดีเยี่ยม
มากกว่าที่ทางผู้บริหารค่ายดาวลูกไก่คาดเอาไว้มาก ขนาดตัวรถที่เล็กและเบากว่า Legacy
ก็เป็นคุณลักษณะอันดีเยี่ยมที่นำไปสานต่อให้กลายเป็นรถแข่งแรลลี่ WRC ได้ด้วย
และโชคดีที่พวกเขาตัดสินใจไฟเขียวให้โครงการนี้ และพัฒนารถแข่งออกมาทันกับ
ช่วงเวลาที่ Mitsubishi เปลี่ยนรถแข่งของพวกเขาจาก Galant VR-4 เป็น Lancer พอดี
ส่วนเวอร์ชั่น Production นั้น ทาง Subaru ก็เอาไปวิ่งจับเวลาในสนาม Nurburgring
และได้ตัวเลข 8 นาที 28.93 วินาที ..มันอาจจะไม่ได้เร็วมากถ้าเทียบกับรถแรงสมัยนี้
แต่อย่าลืมว่าในปี 1992 นั้น M5/500E ยังมีม้าแค่ 300 กว่าตัว ไม่ใช่ 550-560 ตัว
อย่างสมัยนี้ และซูเปอร์คาร์อิตาเลียนอย่าง Lamborghini Diablo ยังมีม้าไม่ถึง 500
ในปี 1993 ในขณะที่รุ่นซาลูนถูกนำไปเปิดตัวที่งาน Geneva Motorshow ช่วงต้นปีนั้น
ก็มีการนำรถรุ่น Impreza เครื่องธรรมดา (หงษ์บ้าน) ไปขายในตลาดยุโรป อเมริกา และ
อังกฤษ โดยในประเทศอังกฤษนั้น มีการนำตัว WRX (หงษ์ติดหอย) ไปลองขายและ
วิ่งทดลองงานเป็นจำนวนประมาณไม่ถึง 30 คัน ส่วนที่ญี่ปุ่นนั้น ในช่วงปลายปี ก็มีการเผยโฉม
WRX Sportswagon (อันที่จริงสั้นจนน่าจะเรียกว่า Hatchback) ออกมา โดยแม้จะได้
ช่วงล่างแข็ง เบาะสปอร์ตบัคเก็ตซีทและล้อ 15 นิ้วแบบตัว WRX ซีดาน แต่ทว่าเครื่องยนต์
ถูกปรับลดแรงม้าลงเหลือ 220 แรงม้า เพื่อแลกกับแรงบิดรอบต่ำที่มาให้ใช้เร็วขึ้น ส่วนรุ่น
ที่เป็นเกียร์อัตโนมัตินั้นจะส่งกำลังผ่านระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ VTD-Variable
Torque Distribution ซึ่งได้มาจาก New Legacy BD/BG ทวินเทอร์โบที่เปิดตัวในงาน
Tokyo Motor Show ปีเดียวกันนั่นเอง
แต่ก็อย่างที่ได้กล่าวไปเบื้องต้น ว่าในขณะที่ Subaru ซุ่มทำ WRX ทาง Mitsubishi ก็
ซุ่มทำ Evo อยู่เหมือนกัน และ Lancer Evolution I ซึ่งประกาศเปิดตัวในเดือนและปี
เดียวกันกับ WRX นั้นก็ได้เปรียบจากเครื่อง 4G63 ที่เอาจาก Galant VR-4 มาโมดิฟาย
ต่อจนได้ 250 แรงม้า แถมยังมีข่าวจะทำ Evolution II ออกมาสมทบภายในปี 1994 อีก
ดังนั้น Subaru จึงมอบหมายให้ Ryuichiro Kuze บอสใหญ่แห่ง STi- Subaru Technica
International สร้างรถรุ่นใหม่ออกมารับมือกับสำนักสามเพชรแดง และนี่คือสิ่งที่ได้มา..
WRX STi คือชื่อรุ่นที่เรียกกันในเวลานั้น วิธี “ปรุงรส” ของ STi ก็คือจับเอา
WRX หรือ WRX Type RA จากสายการผลิตในโรงงานมา ใส่ชุดแต่งของ STi เข้าไป
ซึ่งชุดแต่งที่ว่านั้นที่จริงก็มีแค่สปอยเลอร์หลังที่สูงราวกับตั้งใจวัดความเป็นชาย
กับ Evo ด้วยความสูงปีกหลังนั่นล่ะ ส่วนล้อนั้นยังเป็น 15 นิ้วเหมือนเดิม ถ้าอยากได้
ล้อ 16 นิ้วลาย Electra-R อย่างคันสีเงินในภาพนั้นต้องจ่ายเงินเพิ่มเองต่างหาก
แต่ในเรื่องเครื่องยนต์นั้นไม่ผิดหวัง เพราะ STi จับ EJ20 มาเปลี่ยนเป็นลูกสูบฟอร์จ
เปลี่ยนสลักก้านให้แข็งแรงขึ้น ลงมือขัดพอร์ทฝาสูบอย่างดี เปลี่ยนเทอร์โบเป็น TD05H
ทำให้มีแรงม้าเพิ่มขึ้นเป็น 250 แรงม้า
นี่คือ STi เวอร์ชั่นแรก ซึ่งคอไอดียังไม่เป็นสีแดงนะครับ..และพอเปิดตัวออกมา
ดาวลูกไก่ตะโกนว่า “250 แรงม้ามาแล้วโว้ย” ค่ายสามเพชรก็เปิดตัว Evolution II
ในเดือนเดียวกัน ปีเดียวกันแล้วบอกว่า “ทางนี้ 260 ม้าแล้วว่ะ”
ถ้าอยากได้ Subaru แล้วยังอยากได้ 260 แรงม้าไว้แข่งกับ Evolution II ด้วย
ในปี 1994 ไม่นานหลังจากที่ STi รุ่นแรกเผยโฉม สำนักแต่ง Tommykaira ก็
ทำรถรุ่นพิเศษออกมา
M20b เป็นรถรุ่นพิเศษที่เกิดจากการเอา WRX หรือ WRX Type RA มาทำการตกแต่ง
ด้วยชุดแอโร่พาร์ท จุดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์จำง่ายที่สุดของรถรุ่นนี้คือหางหลังพิเศษ
แบบ 2 ชั้นดังที่เห็นในภาพ ใช้ล้อขอบ 17 นิ้ว (ถือว่าใหญ่มากแล้วสำหรับรถ C-Segment
ในสมัยนั้น) ภายในมีเบาะ Recaro และตกแต่งด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ หน้าปัดพิเศษ
อักษรแดงส้มบนพื้นดำ มาตรวัดความเร็วแสดงค่าสูงสุดเป็น 260 ก.ม./ช.ม.
(WRX ปกติจะแสดงค่า 180 ก.ม./ช.ม.) นอกจากนี้ เครื่องยนต์ของ M20b นั้น
ยังได้รับการโมดิฟายเพิ่มเติมโดยเปลี่ยนอินเตอร์คูลเลอร์และจูนกล่องจนได้
กำลังสูงสุด 265 แรงม้าที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 33.5 ก.ก.-ม. ที่ 5,300
รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ตัวเดียวกับ Type RA และสามารถวิ่งควอเตอร์ไมล์
ได้ภายในเวลา 13.9 วินาที รถสเป็คพิเศษ แต่ราคาก็พิเศษตามไปด้วย หากสั่งรุ่น
ที่ออพชั่นเต็มๆชุดแต่งครบ จะมีราคาประมาณ 3.8 ล้านเยน หรือแพงกว่า WRX STi
อยู่ประมาณ 1 ล้านเยนเลยทีเดียว
ปี 1994 นั้น ยังเป็นปีที่ Subaru นำ WRX ไปให้ฝรั่งได้ซื้ออย่างเป็นทางการในที่สุด
โดยบุกตลาดอังกฤษในชื่อ Impreza 2000 Turbo ในขณะที่ยุโรปจะได้ชื่อว่า
Impreza GT ส่วนออสเตรเลียจะใช้ชื่อ WRX เหมือนที่ญี่ปุ่น มีการปรับสเป็คให้
เหมาะกับการใช้งานแบบท้องถิ่น รถออสเตรเลียจะได้เทอร์โบ TD04L และมี
อัตราส่วนกำลังอัดต่ำลงจาก 8.5 เหลือ 8.0 ต่อ 1 แรงม้าจะเท่ากับกับสเป็คอังกฤษ
คือ 210 แรงม้า และรุ่นนี้เองคือรถสเป็คเดียวกับที่นำมาขายในไทยในราคา
980,000 บาท (ถูกกว่าเบนซ์ 190E 1.8 เสียอีก)
เดือนกันยายน ปี 1994 Subaru ทำการอัพเดท WRX เพิ่มเติมโดยเปลี่ยนล้อจากขนาด
15 นิ้ว กลายเป็น 16 นิ้วก้านคู่ พร้อมกับปรับเพิ่มพละกำลังเป็น 260 แรงม้า มีการเปลี่ยน
เบาะจากลายเสือเป็นลายผ้าที่ดูธรรมดาขึ้น ในขณะที่รุ่น WRX Type RA จะมาแบบ
อินเนอร์ชาวแรลลี่เต็มๆ เครื่องยนต์จะได้เสื้อสูบแบบ Closed-deck (เสื้อตัน) แบบเดียว
กับ Legacy RS/GT ในขณะที่กลไกวาล์วไฮดรอลิกก็ถูกเปลี่ยนเป็นแบบรองแผ่นชิม
เกียร์จะถูกเรียงอัตราทดใหม่เป็นแบบ Close-ratio (เกียร์ 5 วิ่ง 100 รอบมา 3,400!)
และปลดล็อกรอบเครื่องจากเดิม 7,000 ไปเป็น 7,500 รอบต่อนาทีแทน
มาถึงตรงนี้ บางคนอาจจะยังไม่รู้ว่า “RA” ย่อมาจากอะไร..ข่าวดีครับ ผมพยายามหามา
5-6 ปีก็ยังไม่รู้เลยว่ามันย่อมาจากอะไร จนกระทั่งวันดีคืนดีไปเปิดดูคลิปของทาง
Best Motoring International ใน Youtube แล้วก็มีวิศวกร Subaru ออกมาบรรยาย
เกี่ยวกับตัวรถ จึงได้รู้ว่า RA นั้น ย่อมาจาก “Record Attempt” ครับ ชัวร์ แน่นอน
แต่ของแรงจริง มาในเดือนพฤศจิกายน 1994 กับรุ่น WRX Type RA STi
ยังนะครับ นี่ยังไม่ใช่ WRX STi Version II แต่เป็นการเอาตัว WRX Type RA เสื้อสูบตัน
นั่นล่ะมาโมดิฟายต่อโดยยังใช้วิธีหยิบรถจากปลายสายการผลิตมาโมต่อเหมือน
STi ตัวแรก งานนี้อินเนอร์นักแข่งมาเต็มยิ่งกว่ารุ่นธรรมดาเสียอีก เพราะได้ล้ออัลลอย
16 นิ้วลายดาวสีทองเฉพาะรุ่น เครื่องยนต์เป็นการผสานเอา Type RA ตัวใหม่เข้ากับ
STi รุ่นแรก “เสื้อตัน-ดันบูสท์-ลูกฟอร์จ-พอร์ทขัด” จนได้ 275 แรงม้า ย้ายจุดกล่องตัด
ไป 7,500 รอบต่อนาที มีท่อยางเบรกเป็นสายถักของ Earl มาให้เลย บุชคันเกียร์
ทนกว่าของเดิม เกียร์แบบควิกชิฟท์ ลิมิเต็ดสลิปแบบ 2-Way และเพลาข้าง (ของล้อหลัง)
มีขนาดใหญ่กว่าเดิมเพื่อรองรับการขับขี่แบบโหดสุดๆ แถมยังมีออพชั่นพวงมาลัย
อัตราทดไวพิเศษ 13:1 ให้เลือก (WRX รุ่นอื่นๆที่ผ่านมาจะใช้อัตราทด 15:1)
Subaru กะว่า “ไอ้รุ่นฮาร์ดคอร์แบบนี้ ขายได้แค่เดือนละ 50 คันก็บุญโขแล้ว”
พอเอาเข้าจริง นักเลงรถแห่กันจองจนผลิตขายไม่ทัน ยุค 90s ตอนกลางเป็นช่วงเวลา
ทองของรถบ้านใจสิงห์โดยแท้ ไม่ใช่แค่ Impreza WRX เท่านั้นที่ขายดี Lancer
Evolution I ยังถูกจองหมดโควต้า 2,500 คันแรกภายใน 3 วัน จนต้องผลิตก๊อกสอง
ออกมาอีก 2,500 คัน ส่วน Evolution II ก็ขายหมดเกลี้ยงภายใน 3 เดือน และไม่ใช่
แค่ที่ญี่ปุ่นเท่านั้น ในอังกฤษนั้น พอรุ่น 2000 Turbo ลงขายได้ไม่นาน มันกลายเป็น
รุ่นที่สร้างยอดขายได้ถึง 50% ของ Impreza ทุกรุ่นรวมกัน เพราะเป็นรถแรง ราคาถูก
อัตราเร่ง 0-60 ไมล์/ช.ม.เร็วเท่า Ferrari 348TB แต่ราคาถูกกว่า Escort Cosworth
กระแสนิยมรถแรงแห่งยุค 90s ตอนกลาง ทำให้ Subaru ตัดสินใจปรับวิธีการผลิตใหม่
ให้กับรุ่น STi กล่าวคือ จากเดิมจะใช้วิธีเอารถจากโรงงาน Yajima ส่งไปปรับแต่งที่โรงงาน
Mitaka ของ STi พวกเขาเปลี่ยนเป็น “ผลิตแม่ (ง) โรงงานเดียวกันหมดนี่แหละวะ!” ที่
Yajima ที่เดียวเลย ดังนั้น สติกเกอร์ที่เคยแปะไว้ว่า “Handcrafted by STi” จึงถูกเปลี่ยน
เป็น “Tuned by STi” แทน เพราะโรงงาน Yajima ดูแลเรื่องการผลิตให้หมดแล้ว เหลือ
แต่เครื่องยนต์เท่านั้นที่ STi จะต้องลงมือโมดิฟายกันเอง นี่คือที่มาของ WRX STi Version II
ซึ่งประกาศเปิดตัววันที่ 22 สิงหาคมปี 1995 โดยมีให้เลือก 2 บอดี้ และ 5 รุ่น ตัวมาตรฐาน
จะเป็นแบบซาลูน WRX STi และแวก้อน WRX STi Sportswagon ซึ่งเครื่องยนต์จะต่างกัน
ตัวซาลูนจะได้เครื่องแบบเดียวกับ WRX Type RA STi ปี 94 แต่เปลี่ยนระบบขับวาล์วเป็น
ไฮดรอลิก (ไม่มีหลักฐานปรากฏว่าเสื้อสูบยังตันเหมือนกันหรือไม่) 275 แรงม้าเท่าเดิม
ส่วน Sportswagon จะมี 260 แรงม้า (เท่ากับ WRX รุ่นธรรมดาซาลูน..และมากกว่า WRX
แวก้อนอยู่ 40 แรงม้า) หน้าตาของรถจะเหมือนกับ Type RA STi ปี 94 แต่กระจกมองข้าง
และมือจับเปิดประตูจะเป็นสีเดียวกับตัวรถ อีกทั้งยังมีออพชั่นอำนวยความสะดวก
เครื่องเสียง เครื่องปรับอากาศ และวัสดุซับเสียงมาให้ครบ
รถทั้งสองเวอร์ชั่นนี้ยังมีรุ่นพิเศษ “555” (บริษัทยาสูบที่เป็นสปอนเซอร์แรลลี่) ออกมาโดย
ใช้เครื่องยนต์กลไกเดียวกัน แต่บอดี้รถเป็นสีน้ำเงิน และใช้ล้ออัลลอยของ Speedline
รุ่น Electra S ลายเหมือนกับตัวแข่ง WRC เด๊ะ โดยรุ่นนี้จะผลิตเป็นจำนวนจำกัด
ส่วนรุ่น WRX STi Type RA Version II นั้น จะยังมีสเป็คเหมือนรุ่น Type RA STi ปี 94
เกือบทุกกระเบียดนิ้วตั้งแต่ล้อยางไปจนถึงหลังคา จุดต่างจะมีแค่ท่อไอเสียปลายโครเมียม
กับสติกเกอร์ที่เครื่องเปลี่ยนเป็น “Tuned by STi” เท่านั้นที่พอจะสังเกตได้ และสิ่งที่แปลก
อีกอย่างหนึ่งคือในขณะที่ STi Version II ธรรมดาจะลงสีท่อไอดีเป็นสีแดง (ดังนั้น Ver II
นี่ล่ะคือจุดเริ่มต้นของ “คอแดง”) รุ่น Type RA กลับใช้คอไอดีสีเงินแบบธรรมดา งงดี..
ช่วงต้นปี 1996 ยังมีเวอร์ชั่นพิเศษออกมาอีก 2 รุ่นคือ WRX V-Limited และ WRX STi
Type RA Ver. II V-Limited ซึ่งเริ่มต้นขายจริงตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ทั้ง 2 รุ่นนี้
สร้างออกมาเพื่อเฉลิมฉลองความสำเร็จในการแข่งแรลลี่ WRC ของ Colin McRae
มีปั๊มตรา Plate ประจำตัวรถตามจำนวนผลิต ล้อ 16 นิ้วลายสีทอง กระจกกรองแสงสีเขียว
สปอยเลอร์หลังมีตรา “1995 World Rally Champion” แปะอยู่ WRX V-Limited 260 แรงม้า
ผลิตจำกัด 1,000 คัน มีสีน้ำเงินเข้ม ขาวและดำ ส่วน STi Type RA Ver.II V-Limited นั้นจะจำกัด
เพียงแค่ 555 คันและมีเพียงสีน้ำเงินเข้ม Sports Blue เท่านั้น แน่นอนว่าเปิดให้จองไม่นานก็
ขายหมดเกลี้ยง
Gen 1: SPECS (คัดมาเฉพาะบางรุ่น)
.
Gen 1.5: BRAND NEW IMPREZA
เดือนกันยายน ปี 1996 Subaru เผยโฉม Impreza รุ่นใหม่ ซึ่ง..เอิ่ม..
เขาบอกว่า Brand New แต่ใช้แค่สายตาเด็กประถมบ้ารถก็ดูออกแล้วว่าที่จริงมันคือ
ไมเนอร์เชนจ์..ในขณะที่ Mitsubishi ปรับไปใช้ตัวถัง CN9A ใหม่หมดจดสำหรับ Evolution IV
Subaru กลับนำเอาตัวถัง GC/GF ที่ใช้ตั้งแต่ปี 1992 มาปัดฝุ่นปรับปรุง ถ้าหากดูจาก
ภายนอกจะมีแค่ไฟหน้า กระจังหน้า ฝากระโปรงหน้า กันชนท้าย (WRX และ STi ใช้
กันชนหน้าชุดเดิม) ส่วนตัวถังได้รับการปรับปรุงให้มีความแข็งแรงเพิ่มขึ้น เพิ่มวัสดุซับเสียง
ปรับพวงมาลัยให้มีระยะฟรีน้อยลง และน้ำหนักเบาขึ้นเพื่อให้ง่ายต่อการขับในเมือง
Concept หลักของ Brand New Impreza นี้ก็คือการพยายามทำให้ตัวรถดูมีมาด
เป็นผู้ใหญ่ขึ้นแม้ว่าวัสดุภายในจะยังไม่ดีขึ้นก็ตาม ส่วนเครื่องยนต์นั้น ในรุ่น WRX
และ STi ยังเป็น EJ20 เหมือนเดิม แต่ก็มีการปรับปรุงในหลายส่วนให้สิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
น้อยลงประมาณ 4% โดยขนานนามเครื่องบล็อคใหม่นี้ว่า Boxer MASTER-4
พูดเรื่องการคิดค่ำย่อนี่ญี่ปุ่นเก่งนัก.. MASTER ย่อมาจาก Matured, Advanced, Sporty,
Torquey, Economical, Reliable (คำนับหนึ่งดอกสำหรับความพยายาม) เครื่องรุ่นใหม่
นี้สิ่งที่เปิดฝากระโปรงแล้วสังเกตเห็นได้ทันทีคืออินเตอร์คูลเลอร์เปลี่ยนจากแบบเฉียง
เป็นแนวตรง ระบบจุดระเบิดที่เป็นคอยล์แยก 4 ตัว ก็เปลี่ยนมาเป็นแบบ Waste Spark
1 คอยล์จุด 2 สูบ ตัวคอยล์จะวางไว้บนเครื่องตรงแนวกับไดชาร์จ รุ่น WRX
ได้แรงม้าเพิ่มเป็น 280 แรงม้า เท่ากับกฎ “Gentleman’s Agreement” ของญี่ปุ่น
ที่ให้ระบุม้าในโบรชัวร์ไม่เกิน 280 ตัวพอดีเด๊ะ (รุ่น Sportswagon จะมี 260 แรงม้า)
ส่วนรุ่น STi Ver III นั้น คราวนี้จะมาพร้อมกับเครื่อง EJ20K คอแดง 280 แรงม้า
เรดไลน์ 7,900 รอบต่อนาที ตัวเครื่องนั้นได้ลูกสูบฟอร์จเคลือบโมลิบดินั่มมาช่วย
ลดแรงเสียดทาน ระบบขับเคลื่อนแคมชาฟท์เปลี่ยนจากวาล์วไฮดรอลิกเป็นแบบ
รองชิมทุกรุ่น (แต่เดิมมีเฉพาะ RA) ทว่าเครื่องคอแดงเจนเนอเรชั่นใหม่นี้กลับถูก
เปลี่ยนเสื้อสูบมาใช้แบบ Open Deck ทุกรุ่น ทนทานน้อยกว่า แต่ก็ระบายความร้อน
ได้ดีขึ้นพอสมควร รวมทั้งมีการเอาหัวฉีดน้ำมันเครื่องหล่อลื่นใต้ลูกสูบออกไปด้วย
รถ STi ทุกรุ่นจะได้เบรกหน้าใหม่แบบ 4 Pot คาลิเปอร์สีดำปั๊มตรา Subaru และ
คันเกียร์ STi Quickshift ที่สับเกียร์ได้สั้นคล่องขึ้น ส่วนรุ่น WRX STi Type RA นั้น
ลูกค้าจะสามารถสั่งพวงมาลัยทดไว 13:1 ได้ และจะได้ดิสก์เบรกหลังขนาดใหญ่กว่ารุ่นอื่น
มีสวิตช์ปรับ Center Differential มาให้ (C.Diff) แต่ถ้ามีอุปกรณ์ตัวนี้ ก็จะไม่สามารถ
ติดตั้งระบบเบรก ABS ได้ ต่อมา วันที่ 22 มกราคม 1997 ก็มีการเปิดตัวรุ่นคูเป้ในชื่อ
WRX Type R STi Version III เพื่อฉลองรับน้องรถแข่ง WRC คันใหม่ที่เปลี่ยนมาใช้
บอดี้คูเป้เช่นกัน รถรุ่นนี้จะได้อุปกรณ์ซิ่งหลายอย่างเหมือนกับ STi RA แต่จะมีเครื่อง
ปรับอากาศอัตโนมัติ มีหน้าปัดลายพิเศษเฉพาะรุ่นและมีของหรูเหมือน STi ธรรมดา
แต่ไม่มี ABS (เพราะมี C.Diff แบบของรุ่น RA มาไงครับชาว Headlightmagที่รัก)
รุ่นพิเศษ V-Limited ก็มาในโทนสีน้ำเงินเข้มล้อทองเช่นเดิมโดยเปิดตัวพร้อมกัน
กับเจ้า STi Ver.III Type R นั่นเองครับ แต่คราวนี้จะมีให้เลือกเฉพาะรุ่น STi
ซึ่งใช้สเป็คเครื่องและเกียร์เหมือนรุ่น STi Ver.III (ไม่ใช่รุ่น RA) มีให้เลือกสองบอดี้
คือรุ่น 4 ประตู ผลิต 555 คัน และรุ่น Sportswagon STi ผลิต 555 คันเช่นกัน
และตามธรรมเนียมเดิม หลังจาก STi เปิดตัว Ver.III ไปไม่นานนัก สำนักแต่ง Tommykaira
ก็อัพเดทเจ้า M20b ตามไปด้วย แน่นอนว่าเอาเครื่อง Boxer MASTER-4 ตัวใหม่อินเตอร์ตรง
คอยล์ตรงไดชาร์จมาเป็นพื้นฐานในการปรับจูน แรงม้าที่แจ้งตามสเป็คในโบรชัวร์บ่งบอกเอาไว้
ว่ามี 297PS/6,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 34.3 ก.ก.-ม.ที่ 4,700 รอบต่อนาที ซึ่งคุณอาจ
สังเกตได้ว่าแรงบิดมันน้อยกว่า STi Ver.III อยู่นิดหน่อยก็ไม่แปลกครับเพราะเครื่องที่ Tommy
เอามาโมต่อนั้นพื้นฐานมาจริงๆเป็นเครื่องคอขาว (แต่ไม่แน่ใจว่าท่อนล่างจะโมดิฟายมา
ระดับไหน) ที่แน่ๆ ราคายังแพงระยับเหมือนเดิม
กลิ่นควันยางยังไม่ทันหายเลย เดือนกันยายน (Subaru นี่ชอบทำอะไรในเดือนกันยายนไม่ก็วันที่ 22)
ปี 1997 ก็มีการปรับไมเนอร์เชนจ์อีกครั้ง โดยคราวนี้ภายนอกแทบไม่เปลี่ยนอะไรเลย แต่ภายในนั้น
ยกแผงแดชบอร์ดดีไซน์ใหม่หมดรวมถึงมาตรวัด ซึ่งรถ WRX/STi จะมีมาตรวัดแบบพื้นขาวอักษรดำ
มีวัดรอบอยู่ตรงกลาง สวิตช์ต่างๆถูกเปลี่ยนใหม่โดยออกแบบให้ดูมีคุณภาพขึ้นกว่าเดิม ในด้านความ
ปลอดภัยนั้น Impreza WRX/STi จะได้พวงมาลัย MOMO 4 ก้านพร้อมถุงลมนิรภัยคนขับ
เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน (สามารถสั่งถุงลมนิรภัยผู้โดยสารด้านหน้าเพิ่มได้) โดยถ้าเป็น MOMO
ของรุ่น STi จะมีการเย็บด้ายตะเข็บแดงเข้าชุดกับหัวเกียร์ด้วย
รุ่น STi นั้นก็ได้รับการปรับปรุงเพิ่มเติม โดยรุ่น STi Type RA และ STi Type R Coupe
จะได้เบรกหลังแบบ 2 Pot พร้อมจานหลังแบบมีร่องระบายความร้อนตรงกลางมา
ในด้านเครื่องยนต์มีการปรับปรุงเทอร์โบให้ไวต่อการตอบสนองคันเร่งยิ่งขึ้น..แต่สิ่งที่
สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของบอดี้นี้ เกิดขึ้นในเดือนมีนาคม 1998 กับรุ่น 22B STi Coupe
ที่จริง 22B โชว์ตัวตั้งแต่ปลายปี 97 แล้วแต่เพิ่งลงขาย แอโร่พาร์ทภายนอกออกแบบโดย
Peter Stevens (ชายผู้ซึ่งออกแบบ McLaren F1) มีโป่งข่าง Wide Body และล้อ BBS
ขอบ 17 นิ้วสีทอง สปอยเลอร์หลังแบบเฉพาะรุ่น สามารถปรับแผ่นกดอากาศเอียงไปมา
ได้ 17 องศา เครื่องยนต์ขยายจาก 1,994 เป็น 2,212 ซี.ซี. ใช้เทอร์โบจาก STi ปี 96-97
และเซ็ตเรดไลน์ไว้ที่ 7,900 รอบต่อนาที ลูกสูบและก้านสูบเป็นสเป็คพิเศษ และเสื้อสูบ
ก็เปลี่ยนกลับไปใช้แบบ Closed Deck ที่ทนงานหนักกว่า ส่งกำลังผ่านคลัตช์แบบ
Twin-plate ไปที่เกียร์ของรุ่น RA ซึ่งได้ถูกถอดชุดเฟืองเกียร์ออกไปทำการชุบแข็งเพิ่มอีก
พวงมาลัยเป็นสเป็ค 13:1 องค์ประกอบทั้งหมดทำมาเพื่อเน้นการขับขี่ที่รุนแรงและรวดเร็ว
เครื่องยนต์แม้แรงม้าจะดูเหมือนเท่ากับ STi ธรรมดา แต่แท้จริงแล้วเชื่อกันว่าพละกำลัง
ของมันพุ่งไปไกลเกิน 300 แรงม้าแน่นอน
22B STi เป็นรถที่เร็วมากในยุคนั้น สามารถเร่งจาก 0-100 ก.ม./ช.ม.ได้ภายในเวลา 4.6 วินาที
ควอเตอร์ไมล์ได้ภายใน 12.7 วินาที แต่ราคาของมันสูงถึง 5,000,000 เยน (STi Type R
คูเป้ขายกันที่ 2,999,000 เยน!) แล้วยังผลิตจำนวนจำกัดแค่ 424 คัน โดย 400 คันขายใน
ประเทศญี่ปุ่น และอีก 24 คันส่งไปตามตลาดพวงมาลัยขวาที่อื่นในโลก และทั้ง 424 คันนั้น
ถูกจับจองจนหมดสิ้นภายในเวลา 24 ชั่วโมง
เดือนกันยายนปี 1998 มีการปรับเปลี่ยนชุดไฟหน้าเป็นแบบมัลติรีเฟล็กเตอร์
กระจังหน้า (งุ้มลงมากินกันชนมากกว่าเดิม) และกันชนหน้าดีไซน์ใหม่ เครื่องยนต์
ได้รับการอัพเดทเป็น Boxer PHASE-II ซึ่งใช้เทคโนโลยีการผลิตและการออกแบบ
เดียวกันกับ Legacy “New Century” ปี 98 และ Forester ซึ่งมุ่งเน้นการตอบสนอง
ที่รอบต่ำให้ทันใจขึ้นและลดอาการ Turbo Lag ลง ในรุ่น WRX ยังคงแรงม้าไว้
280 แรงม้าเช่นเดิม แต่แรงบิดเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ส่วนรุ่น Sportswagon นั้นจากเดิม
เคยมีแรงม้า 220 เพิ่มเป็น 250 ในเวอร์ชั่นที่แล้ว มาคราวนี้ถูกลดลงไปเหลือ 240
เช่นเดิม (เครื่องตัวแว้ก้อนจะมีอัตราส่วนกำลังอัดสูง 9.0:1 ในขณะที่ซาลูนจะเป็น
8.0:1 ถ้าใครจับเครื่องตัวแวก้อนมาโมต่อ อย่าบ้าบูสท์นะครับ)
ส่วนรุ่น STi ก็ได้รับการอัพเดทสไตล์เหมือนกับรุ่น WRX และจุดที่เด่นที่สุดในรุ่นนี้จะอยู่ที่
สปอยเลอร์ท้ายขนาดใหญ่พอๆกับ 22B STi (แต่เป็นคนละดีไซน์กัน) เครื่องยนต์เปลี่ยนมา
เป็น PHASE II (คอยล์ Waste Spark วางเยื้องไดชาร์จ ในขณะที่ Ver 3,4 วางเป็นแนวตรง)
ซึ่งปรับให้ตอบสนองในรอบต่ำและกลางได้ดีขึ้นกว่าเดิม แหวนลูกสูบจะบางลงกว่าเดิม
เพื่อลดแรงเสียดทาน พอร์ทไอดีออกแบบใหม่เพื่อเน้นแรงบิดรอบกลางมากขึ้น แต่แน่นอนว่า
แรงม้าที่ระบุ จะยังเป็น 280 แรงม้าเหมือนเดิม
รุ่นพิเศษผลิตจำนวนจำกัด V-Limited ตามมาในต้นเดือนพฤศจิกายนปี 1998 โดยคราวนี้
จะไม่มีตัวถัง Sportswagon แล้ว และจะมีสีให้เลือกเพียงแบบเดียวคือน้ำเงิน Sonic Blue
แต่มีรุ่นให้เลือก 3 รุ่น คือ Type RA V-Limited ซึ่งก็คือ WRX Type RA เครื่องคอขาว
ที่ใส่อุปกรณ์มาให้ครบทั้งแอร์ออโต้และ ABS พร้อมหางหลังที่ยกมาจาก STi Ver. IV
ภายในจะมีป้ายบอกเลขที่ของรถ (ผลิตจำนวนจำกัด 1,000 คัน) และมีเบาะคู่หน้าแบบ
พิเศษสีฟ้าทั้งเบาะ ส่วน V-Limited ที่เป็นรุ่น STi เครื่องคอแดงก็จะมีรุ่น Type RA STi
ซาลูน และรุ่นคูเป้ Type R STi V-Limited ซึ่งจะมีช่องเปิดรับลมบนหลังคาสไตล์รถแรลลี่
และเปลี่ยนสีเบาะไปใช้สีดำแซมแดงบริเวณปีกเบาะแทน
สำหรับในตลาดนอกบ้านเกิด อย่างเช่นอังกฤษ ออสเตรเลีย และไทยนั้น รุ่น WRX จะได้
แรงม้าเพิ่มจาก 210 แรงม้าเป็น 218 แรงม้าด้วยอานิสงส์ของการปรับจูนเครื่องตามแบบ
PHASE II พร้อมพวงมาลัย MOMO สี่ก้าน ล้อ 16 นิ้ว และสปอยเลอร์แบบเตี้ย ในบ้านเรา
ก็มีขายในชื่อ Impreza Turbo Plus ซึ่งในตลาดมือสองจะหายากมากถึงมากที่สุด เพราะ
มีขายออกไปไม่กี่คัน ต่างจาก GC รุ่นแรกๆที่มีขายทั้งแบบเทอร์โบและรถ 1.6 กับ 1.8 จึง
หารถแปลง รถทำได้ง่ายกว่ามาก
และส่งท้ายบอดี้ GC/GF กันวันที่ 6 กันยายน 1999 รถรุ่นใหม่มีจุดต่างจากรุ่นเดิมตรง
ลิ้นหน้าที่โตขึ้นเล็กน้อย (ยกเว้น WRX Type RA ที่ไม่มีสเกิร์ตกับลิ้นหน้าเลย)
รุ่น WRX ธรรมดาจะมีสเกิร์ตข้างแบบรุ่น STi เพิ่มเข้ามาพร้อมทั้งเปลี่ยนล้ออัลลอย
เป็นลาย 6 ก้านขอบ 16 นิ้ว ส่วนเครื่องยนต์กลไกต่างๆยังคงเอาไว้แบบเดิม ไม่ต่างจาก
โมเดลปี 98
ส่วนรุ่น STi นั้น ได้ลิ้นหน้าใหม่เช่นเดียวกันกับ WRX แล้วก็ได้สปอยเลอร์หลังที่สูงยิ่งกว่าเดิม
โดยที่เครื่องยนต์ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ แต่ของแปลกอยู่ที่ตัว Sportswagon ซึ่งจะ
ไม่ได้ใช้ล้อ 5 ก้านเหมือน STi บอดี้อื่น แต่กลับยกล้อลาย 6 ก้านของรุ่น WRX มาทำเป็นสีทอง
แล้วใส่แทน
Version Limited รุ่นส่งท้ายสำหรับเจนเนอเรชั่นที่ 1 เผยโฉมในเดือนพฤศจิกายน
โดยคราวนี้กลับมีบอดี้ Sportswagon มาให้เลือกอีกครั้ง โดยทั่วไปจะมีการตกแต่ง
เพิ่มเติมในลักษณะคล้ายกันกับ V-Limited รุ่นก่อน แต่โลโก้บนเบาะสีฟ้าจะเป็นลายใหม่
รุ่นคูเป้เปลี่ยนมาใช้เบาะสีฟ้าแบบเดียวกับรุ่นอื่นๆ และอีกสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ
ของ Limited รุ่นนี้คือวัสดุตกแต่งคอนโซลกลางและหน้าปัดที่เป็นสีฟ้าเข้าชุดกัน
กับเบาะนั่นเอง รุ่น STi Type RA V-Limited นั้นยังสามารถสั่งออพชั่นหางหลัง
แบบสองชั้น (ทรงเดียวกับ S201 STi) ได้อีกด้วย
ในด้านเครื่องยนต์กลไกนั้นก็จะเหมือนกับ STi Ver. VI ในสายการผลิต แต่รถ Limited
นั้นจะให้ลิมิเต็ดสลิปคู่หน้าแบบ Helical มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
ย่อหน้าก่อนนี้ผมพูดถึง S201.. บางท่านอาจจะยังไม่รู้จัก มันคือรุ่นพิเศษอีกรุ่น
ที่ผลิตในช่วงท้ายอายุเจนเนอเรชั่น 1 น้องๆหลายคนอาจจะไม่ทราบว่ามีรุ่นนี้
แต่ชาวซูฯ หรือชาวเฮดไลท์แม็กหลายคนรู้จักแน่
S201 เผยตัวตนตั้งแต่ปลายปี 1999 แล้ว แต่ขายจริงในเดือนเมษายนปี 2000 มันถูก
ขนานนามว่า “Plastic Model Kit Car” อันเนื่องมาจากแอโร่พาร์ทอันอลังการของมัน
ซึ่งแม้สื่อมวลชนบางเจ้าอาจมองว่าดู “เครื่องเยอะ” จนไร้สาระ แต่น้อยคนจะทราบว่า
สปอยเลอร์หลัง 2 ชั้นของ S201 นั้นออกแบบโดยทีมอากาศยานของทาง Fuji
Heavy Industries เลยทีเดียว และในด้านความแรง ก็ถูกปรับจนได้ 300 แรงม้า
ที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 36.0 ก.ก.-ม.ที่ 4,000 รอบต่อนาที
โดยการเปลี่ยนอินเตอร์คูลเลอร์ ขยายขนาดท่อไอเสียและปรับจูนกล่อง
(แหกกฎ Gentleman’s Agreementไป เช่นเดียวกับ Tommykaira M20b ตัวที่สอง)
S201 ใช้ล้ออัลลอย 6 ก้าน 16 นิ้วของ RAYS มิติตัวถังมีขนาดเท่ากับ Impreza
STi ทั่วไปทั้งความกว้าง ความยาว และความสูง ส่วนน้ำหนักตัวถังจะอยู่ที่ 1,270 ก.ก.
เท่ากับ STi Ver.VI ตัวธรรมดา (ไม่ใช่รุ่น RA ที่ลดน้ำหนัก)
S201 เป็นรถรุ่นพิเศษที่ไม่ได้ออกจากโรงงานหลักของ FHI ที่ Yajima แต่เป็นรถ
ที่สร้างในลักษณะ “Completed Car” จาก STi เช่นเดียวกับ STi รุ่นที่ 1 และ 22B STi
ดังนั้นจึงมีการผลิตออกมาแค่ 300 คันเท่านั้น
ส่วนที่ตลาดอังกฤษนั้นก็มอบหมายให้ Prodrive ทำรถออกมาส่งท้ายเจนเนอเรชั่น
อีก 2 รุ่นและน่าจะนับเป็น Impreza นอกแผ่นดินแม่ที่มีคนรู้จักกันมากที่สุด ประกอบด้วย
Impreza RB5 (ย่อมาจาก Richard Burns) ซึ่งเอาตัว 4 ประตูเครื่องคอขาวมาใส่
ชุดแต่ง STi เปลี่ยนล้อเป็นอัลลอยลาย 6 ก้านคู่ของ Speedline ที่หนักแต่ทนทานสุดๆ
เครื่องยนต์ส่งให้ Prodrive ปรับจูน ECU เพื่อเรียกแรงบิดรอบกลางเพิ่มขึ้น แรงม้าเพิ่ม
จาก 218 แรงม้าในรุ่น 2000 Turbo ปกติ เป็น 237 แรงม้า (BHP) ที่ 6,000 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด 36.6 ก.ก.-ม. ที่รอบต่ำแค่ 3,500 รอบต่อนาทีเท่านั้น รถรุ่น RB5 นี้สร้าง
ขึ้นมาเพียงแค่ 444 คันเท่านั้น ส่วนอีกคันเป็นรุ่น Impreza P1 Coupe ซึ่งเป็นโปรเจคท์
ที่เกิดขึ้นเพราะลูกค้าอังกฤษไม่พอใจที่ Subaru UK ได้โควต้า 22B STi มาขายเพียงแค่
14 คันเท่านั้น ทางอังกฤษก็เลยให้ Prodrive ช่วยเอาบอดี้คูเป้ (โดยหลักๆคือรุ่น
STi Type R ของญี่ปุ่น) มาปรับปรุงให้เหมาะกับมาตรฐานของประเทศอังกฤษ ทำให้
ทาง Prodrive ต้องจูน ECU ใหม่ เปลี่ยนเครื่องกรองไอเสียใหม่ และปรับเสียงจากท่อ
ไอเสียให้เบาลงกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม P1 ยังมีแรงม้า 277 แรงม้า (BHP) ซึ่งก็คือ 280
ม้าญี่ปุ่นนั่นแหละครับ ล้อและยางเป็นของ Prodrive ขนาดยางใช้ 205/45/17 เหมือนกับ
RB5 แต่อัตราทดเกียร์จะเปลี่ยนจากเกียร์ 4.44 Close Ratio ของ STi Type R เป็นเกียร์
4.44 ที่อัตราทดยาว (แบบ STi ซาลูนธรรมดา) และใช้พวงมาลัยอัตราทดเฟือง 15:1
แทน 13:1 ทำให้สื่ออังกฤษบางเจ้าวิจารณ์ว่าไหนๆจะทำของแรงเร็วทั้งทีก็น่าจะเอาสเป็ค
ให้เหมือนญี่ปุ่นไปเลย
ช่วงปี 1999 ปลายปีนั้น ข่าว Subaru Impreza รุ่นใหม่ก็เริ่มถูกตีพิมพ์มากขึ้น เกือบ 7 ปี
ที่บอดี้ GC/GF รับใช้มาอย่างยาวนาน ต่อสู้กับ Lancer Evolution ตั้งแต่รุ่น 1 ยันรุ่น 6
ทาง Subaru ก็ทยอยลดการทำตลาดบอดี้ GC/GF ลง เพื่อเตรียมรอรับ Impreza
ตัวใหม่ และในระหว่างนี้ การเป็นหุ้นส่วนกับทาง Nissan ก็ได้สิ้นสุดลง แต่ก็ได้
พันธมิตรทางธุรกิจใหม่เป็น GM และ Suzuki ซึ่งค่ายบิ๊กเบิ้มอเมริกันนั้นจะเข้ามา
มีอิทธิพลกับแนวคิดและการทำตลาดรถยนต์นับตั้งแต่ช่วงเข้าสหัสวรรษใหม่เป็นต้นไป
เพราะพวกเขาถือหุ้นใน FHI อยู่ถึง 20%
Gen 1.5: SPECS (คัดมาเฉพาะบางรุ่น)
.
Second Generation-The New Age Impreza
Subaru เริ่มต้นพัฒนา Impreza เจนเนอเรชั่นที่ 2 ตั้งแต่ช่วงต้นปี 1997 โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญ
อยู่ที่การปรับปรุงมาตรฐานด้านความแข็งแรงและความปลอดภัยของตัวรถ เนื่องจาก Impreza
บอดี้ GC/GF ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นรถประสิทธิภาพดี ได้รับความนิยมจากผู้ใช้ในทุกทวีป ดังนั้น
การจะทำรถให้สามารถยืนหยัดขายได้ในตลาดที่มีมาตรฐานความปลอดภัยเคร่งแบบสุดๆเช่น
อเมริกาหรือยุโรปนั้น ก็ต้องสร้างตัวรถที่มีความแข็งแกร่ง วิศวกร Subaru ใช้ต้นแบบจาก Impreza
รุ่นเดิมมาเพิ่มความแข็งด้วยการออกแบบ Floorpan ใหม่และทีเด็ดอยู่ที่เสา B-Pillar ซึ่งสร้าง
ให้มีลักษณะเป็น Safety Ring เปรียบเสมือนแท่งเหล็กกล้าหนาที่รัดตัวถังช่วงกลางเอาไว้
ทำให้โครงสร้างตัวถังของรุ่น 4 ประตูนั้นทนแรงบิดตัวถังตามแนวยาว (Torsional Rigidity)
ได้ดีกว่าเจนเนอเรชั่นก่อนถึง 148% นอกจากนี้ยังออกแบบกระจกหน้าต่างให้มีขนาดใหญ่ขึ้น
เพื่อให้มีทัศนวิสัยในการขับขี่ที่ดี
Takeshi Ito ซึ่งเป็น Project Leader ในการพัฒนา Impreza ตัวถังใหม่นี้เล่าให้ฟังว่า
Subaru ตัดสินใจที่จะแยกแนวทางการพัฒนาบอดี้ซาลูนกับสปอร์ตแวก้อนออกจากกัน
โดยรุ่นสี่ประตูนั้นจะมุ่งเน้นการปรับเสริมสมรรถณะให้กับรถทั้งในด้านการใช้งานทั่วไป
และในด้านมอเตอร์สปอร์ต ตัวรถจึงถูกสร้างให้มีความแข็งแกร่งมากกว่า และยังขยาย
ความกว้างของตัวรถออกไปจากเดิม 1,690 ม.ม. เป็น 1,730 ม.ม. ซึ่งช่วยให้สามารถขยาย
แนวแทร็คล้อออกไปได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังออกแบบให้ซุ้มล้อของ Impreza ใหม่
สามารถรองรับล้อที่มีขนาดโตและกว้างขึ้นได้อีกด้วย
แต่การปรับปรุงดังที่ว่าไปนั้น ก็ส่งผลในเรื่องความกว้างของตัวรถ ทำให้ Impreza 4 ประตู
ในญี่ปุ่นต้องถูกเก็บภาษีขนาดรถเพิ่ม ทำให้ราคาขายสูงขึ้นตามไปด้วย ในขณะที่รุ่น Sportswagon
ซึ่งใช้โครงสร้างจากรุ่นเดิม มีความแข็งแรงเพิ่มจากรุ่นเดิมเล็กน้อย แต่ยังคงขนาดความกว้าง
ไว้ที่ 1,695 ม.ม. (ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ 1.7 เมตรที่เป็นจุดตัดในการคิดภาษีอัตราถูก/แพง) ทำให้
ยังสามารถขายในราคาที่ถูกกว่าได้อยู่ ..ส่วนบอดี้คูเป้นั้น เสียใจด้วย เพราะไม่มีการทำออกมา
อีกเลย
การปรับปรุงด้านความแข็งแรงของตัวถังส่งผลให้รถเจนเนอเรชั่นใหม่นั้นมีน้ำหนัก
เพิ่มขึ้นราว 100-200 ก.ก. (แล้วแต่รุ่น) ซึ่งวิศวกร Subaru ทราบดีอยู่แล้ว
และได้ทำการปรับปรุงเครื่องยนต์ให้สามารถชดเชยเรื่องความแรงได้
ช่วงล่างของรถรุ่นใหม่ (รหัสตัวถังคือ GD สำหรับรุ่นซาลูน และ GG สำหรับตัว Sportswagon)
ใช้ช่วงล่างหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท ช่วงล่างหลังเป็นสตรัทแบบดูอัลลิงค์ เมื่อพิจารณา
จากโครงสร้างช่วงล่าง เครื่องยนต์และเกียร์ จะพบว่ามีความคล้ายคลึงกับรถรุ่นเดิมมาก
มีสื่อมวลชนต่างชาติให้ความเห็นว่า Subaru น่าจะเปลี่ยนช่วงล่างหลังเป็นแบบมัลติลิงค์
แบบรถยุโรปซึ่งจะทำให้การควบคุมท้ายรถทำได้ดีกว่า ในข้อนี้ Subaru อธิบายว่าพื้นฐานของรถ
จะต้องรองรับการแข่งมอเตอร์สปอร์ตโดยเฉพาะการแข่งแรลลี่ ดังนั้นเรื่องความทนทานและ
ความง่ายต่อการซ่อมเวลาพังจึงเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจ Subaru มองว่าช่วงล่างหลังมัลติลิงค์
มีประสิทธิภาพดี แต่มีจุดอ่อนที่ความทนทาน และการซ่อมต้องใช้เวลา ซึ่งทาง Mitsubishi
เองก็มีความเห็นตรงกันกับ Subaru ในเรื่องรูปแบบช่วงล่างหลัง
สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์อันน่า (หรือไม่น่า) จดจำมากที่สุดของรถรุ่นใหม่ก็คือการออกแบบส่วนหน้า
ของรถที่ใช้ไฟกลมข้างละดวง ทำให้สื่อมวลชนฝรั่งเรียกว่าเป็นรุ่น “Bug Eye” สร้างความตะลึง
ให้กับโลกเพราะหลังจากที่ Subaru ทำรถหน้าตาอย่าง Impreza GC, Legacy แต่ละรุ่น
รวมถึง Forester ซึ่งมักจะเน้นทรงอนุรักษ์นิยม พอมาเป็น Impreza ใหม่ไฟกลม คนเลยตกใจ
ชนิดที่ว่าในงานแถลงข่าวเปิดตัวที่โตเกียวนั้น พอรถวิ่งออกมา ผู้คนในห้อง Convention Hall
แทบจะหยุดการสนทนาลงจนทั้งห้องเงียบกริบไปเลย
ทำไมต้องทำหน้าตาให้ออกมาหลุดโลกแบบนี้? Takeshi Ito ก็อธิบายให้ฟังในการสัมภาษณ์
ว่า “Subaru นี่ถือว่าเป็นบริษัทรถยนต์ขนาดเล็ก ด้วยความที่ตลาดเราก็เล็กด้วยแล้ว ถ้ามัวไปทำ
รถให้หน้าตาเหมือนๆกับคู่แข่งซึ่งเป็นบริษัทใหญ่กว่า เราคงสู้ไม่ได้ ดังนั้นไม้ตายจึงอยู่ที่การ
ทำรถให้ดูแตกต่างออกไปจากคู่แข่งเลย มันต้องไม่เหมือนใคร” ตัวของคุณ Ito เองแม้จะเป็น
ชายแว่นบุคลิกคล้ายนักบัญชีแบบที่พบได้ตามสำนักงานในญี่ปุ่น แต่เขาก็เป็นหนึ่งในคนที่
ผลักดันดีไซน์ Bug Eye นี้ให้ได้เกิด และเขาเองก็ซื้อ STi ตากลมไว้ขับเองในชีวิตประจำวันด้วย
ความเปลี่ยนแปลงสำคัญที่เกิดขึ้นในรุ่นนี้อีกอย่างหนึ่งก็คือการควบรวมรุ่นย่อยต่างๆ
ที่ผ่านมา Subaru รู้สึกว่า Impreza เจนเนอเรชั่นที่แล้ว มีรุ่นยิบย่อยมากเกินไป
จึงพยายามซอยแบ่งให้เหลือน้อยลง ในรุ่น WRX เครื่อง 2.0 ลิตรจะมี 2 ตัวถังกับ
3 รุ่นให้เลือก คือรุ่น WRX NA ซึ่งใช้ล้อ 7 ก้าน ฝากระโปรงหน้าไม่มีช่องดักลม
และใช้เครื่อง 2.0 ลิตร 155 แรงม้า ไม่มีเทอร์โบ ส่วน WRX NB จะเป็นรุ่นเทอร์โบ
ใช้ล้ออัลลอยขอบ 16 นิ้ว 5 ก้านที่ยกมาจาก STi Ver. VI แล้วนำมาทำเป็นสีเทาดำ
ส่วนรุ่น Sportswagon นั้น ถ้าเป็นรุ่นเทอร์โบ จะเรียกว่า Impreza 20K
เครื่องยนต์ EJ20 ใน WRX NB และ 20K นั้น เป็นเครื่องที่นำเอาคอขาวบล็อคเก่า
มาปรับปรุงใหม่ โดยปรับจูนให้เน้นพลังแรงบิดมาเป็นช่วงกว้างขึ้น ประหยัดเชื้อเพลิง
และปล่อยมลภาวะน้อยลง มีการนำระบบควบคุมวาล์วแปรผัน AVCS-Active Valve
Control System เข้ามาช่วย นอกจากนี้ยังเปลี่ยนหัวฉีดจ่ายน้ำมันให้สามารถฉีด
กระจายเป็นฝอยละเอียดได้มากกว่าเดิม เพิ่ม TGV-Tumble Generator Valve ซึ่ง
ช่วยหักกระแสไอดีให้เกิดเป็นลมหมุนวน ช่วยให้เผาไหม้ได้ดีขึ้นในช่วงเครื่องเย็น
ใช้เทอร์โบ TD-04H ที่มาพร้อมกับอินเตอร์คูลเลอร์ขนาดใหญ่ขึ้น ส่งผลให้สามารถ
สร้างแรงม้าได้ 250 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 34.0 ก.ก.-ม.ที่รอบต่ำ
แค่ 3,600 รอบต่อนาที พูดง่ายๆคือตัวเลขไม่สวยเหมือน WRX ปี 99 แต่เอาพลังมาให้
ใช้ที่รอบต่ำกว่า ขับง่ายกว่านั่นเอง ระบบส่งกำลังมีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ
เฟืองท้าย 4.44 และเกียร์อัตโนมัติ SportShift 4 จังหวะเฟืองท้าย 4.11 ระบบเบรก
เป็นแบบคาลิเปอร์ 4 Pot ด้านหน้า และ 2 Pot ด้านหลัง (คาลิเปอร์สีดำ) ซึ่งก็ยกมา
จาก STi Ver.VI อีกเช่นกัน
17 ตุลาคม 2000 ทาง Subaru ก็เผยโฉม Impreza โฉมใหม่ที่อังกฤษในงาน
British International Motor Show ซึ่งในเวลานั้น ยังมี WRX รุ่นเก่าโดยเฉพาะ
P1 หลงเหลืออยู่ในสต็อค และขายไปพร้อมๆกัน รุ่น 2.0 WRX ในสเป็คอังกฤษนั้น
จะได้เครื่องยนต์ที่มีพลังน้อยกว่า โดยใช้เทอร์โบ TD-04L อัตราส่วนกำลังอัดลดลง
จาก 9.0:1 ในเวอร์ชั่นญี่ปุ่น เหลือ 8.0:1 แรงม้าลดลงเหลือ 218 แรงม้าที่ 5,600 รอบ
ต่อนาที แรงบิดลดเหลือ 29.7 ก.ก.-ม. ที่ 3,600 รอบต่อนาที แต่รถอังกฤษจะมี
สปอยเลอร์หลังให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน (WRX NB ในญี่ปุ่นต้องสั่งเพิ่มเองนะครับ)
พร้อมกันนี้ยังได้ล้ออัลลอย 5 ก้านคู่ขอบ 17 กว้าง 7 นิ้ว ลายเดียวกับ Legacy B4 ปี 98
ในญี่ปุ่นเลย แต่ทำสีเงินแทน ยางเป็นขนาด 215/45/17
ส่วนภายในนั้น จุดต่างที่ชัดที่สุดคือมาตรวัด เพราะในขณะที่สเป็คญี่ปุ่นจะเอา
มาตรวัดรอบไว้ตรงกลาง รถสเป็คอังกฤษ, ยุโรป, ออสเตรเลียจะเอามาตรวัดความเร็ว
มาไว้ตรงกลาง แล้วย้ายมาตรวัดรอบไปไว้ด้านข้างแทน
นอกจากนี้ รถอังกฤษยังใช้เกียร์ที่มีอัตราทดยาวกว่ารถสเป็คญี่ปุ่น โดยใช้เกียร์
เฟืองท้าย 3.90 แบบเดียวกับที่จะไปใช้กับรถในตลาดออสเตรเลีย และไทยนั่นเอง
ทำให้อัตราเร่งที่ได้ออกมานั้นช้าลงกว่ารุ่นเก่า เพราะน้ำหนักตัวรถที่เพิ่มขึ้นมาก
แต่สื่อมวลชนฝรั่งก็บอกว่าตัวถังใหม่ที่แข็งแรงกว่านั้นให้ความรู้สึกหนักแน่นเมื่อได้ขับ
และถือว่าเป็นเรื่องที่ชดเชยกันได้
เพียงแค่ประมาณ 1 สัปดาห์หลังเผยโฉมในอังกฤษ ในวันที่ 24 ตุลาคม ปี 2000 ที่ริมอ่าวโตเกียว
Subaru ก็เผยโฉมรถตระกูล STi รุ่นใหม่พร้อมกัน 3 รุ่น ได้แก่ WRX STi, WRX STi Type RA
และ Sports Wagon STi
แม้จะทำเอาหลายคนโดนหวยกิน เพราะรุ่นใหม่นี้ไม่ได้ใส่ปีกหลังขนาดน้องๆเครื่องบินแบบ
2 รุ่นที่ผ่านมา แต่หน้าตาก็ดุเข้าขั้นทีเดียว จุดสนใจหลักของรถตระกูล STi นี้จะอยู่ที่สมรรถณะ
ด้านการขับขี่เป็นสำคัญ ดังนั้นแม้เครื่องยนต์จะยังเป็น EJ20 คอแดงอยู่ แต่ก็มีรายละเอียด
หลายส่วนที่เปลี่ยนไป ระบบจุดระเบิดเปลี่ยนเป็นแบบคอยล์อิสระแล้วในรุ่นนี้ เสื้อสูบก็
เป็นแบบ Semi-Closed Deck ซึ่งก็เหมือนๆกับเสื้อสูบ Open Deck จากรุ่นก่อนนั่นเอง
แต่มีการเสริมคันเชื่อมระหว่างตัวกระบอกสูบกับเสื้อสูบรอบนอกเพื่อความทนทานต่อแรงบูสท์
ลูกสูบฟอร์จ ก้านสูบแบบน้ำหนักเบา และใช้ระบบคุมวาล์วแปรผัน AVCS ติดตั้งเทอร์โบของ
IHI RHF-55 อัดไอดีเข้าห้องเผาไหม้อัตราส่วนกำลังอัด 8.0:1 สร้างแรงม้าได้ 280 แรงม้า
ที่ 6,400 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 38.0 ก.ก.-ม. ที่ 4,000 รอบต่อนาที
อีกสิ่งหนึ่งที่ถูกใจผู้ชมทางบ้านเป็นอย่างมากก็คือเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะลูกใหม่ที่ช่วยให้
ซอยอัตราทดได้ชิดกว่าเดิม ช่วยให้สามารถเรียกอัตราเร่งจากเครื่องยนต์คอแดงที่ลาก
ได้ 8,000 รอบได้ดียิ่งขึ้น เกียร์ลูกนี้ยังถูกสร้างด้วยวัสดุที่ดีกว่า และออกแบบให้ทนต่อ
การทารุณกรรมได้ดีกว่าเกียร์ 5 จังหวะลูกเดิม Subaru ทราบดีว่ามีลูกค้าหลายคนบ่นว่า
เกียร์ 5 สปีดลูกเดิมนั้นพังง่าย เรียกว่าถ้าไม่ใช่เกียร์พวก Type RA ที่สร้างมาเน้นความทนล่ะก็
เล่นบทโหดมากไปนิดก็พังกันแล้ว ครั้นจะยกเกียร์ Type RA ใส่อัตราทดก็จัดเสียจนวิ่ง
ทางไกลรอบสูงปรี๊ด ดังนั้นการนำเกียร์ลูกใหม่มาใช้กับ STi ปี 2000 นี่ล่ะคือคำตอบ
เกียร์ 6 จังหวะนี้จะส่งกำลังผ่านระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ กระจายแรงขับ 50:50 และแปรผัน
แรงบิดที่ส่งไปล้อคู่หน้าและหลังได้ขึ้นอยู่กับว่าล้อไหนมีแรงยึดเกาะมากกว่า แต่ถ้าเป็น
STi Type RA ตัวถูกสุดที่ใช้ล้อ 16 นิ้ว จะได้ระบบ DCCD มาด้วย ซึ่งจะปรับแรงขับมาตรฐาน
หน้า/หลังเอาไว้ 45:55 แต่ทว่ารุ่นนี้จะใช้เบรก 4 Pot ดำแบบธรรมดา และไม่มี ABS
ส่วนรถซาลูนที่ใช้ล้อขอบ 17 ก็จะได้ล้ออัลลอยสีทองลายใหม่ที่บ้านเราเรียกว่า “ก้านวี”
กว้าง 7.5 นิ้ว หุ้มด้วยยาง 225/45/17 แถมยังได้ระบบเบรกของ Brembo ที่มีคาลิเปอร์
สีทอง หน้าสัมผัสผ้าเบรกโตกว่าตัว 4 Pot ขึ้นมาก แต่ทั้งนี้ จะมีเฉพาะตัว WRX STi และ
WRX STi Type RA รุ่นที่สั่งออพชั่นล้อ 17 เท่านั้นที่จะได้ combination ดังกล่าว
เพราะรุ่น Sports Wagon STi นั้นจะใช้ล้อ 17 นิ้วลายเดียวกับ Legacy B4 แต่เอามาพ่น
สีทอง และได้ชุดเบรกแบบเดียวกับ Type RA รุ่นถูกสุด
รถ STi และ STi Sportswaon จะได้แร็คพวงมาลัยทด 15:1 ในขณะที่รถ Type RA
ไม่ว่าจะเป็นตัวล้อ 17 หรือไม่ ก็จะได้แร็คพวงมาลัยทด 13:1 มาเลย
ภายในของรถ STi จะมีความเด่นที่เบาะสีน้ำเงิน พวงมาลัยยังเป็น MOMO 4 ก้าน
ที่ดูเหมือนรุ่น WRX NB แต่วงพวงมาลัยของ STi จะเย็บตะเข็บด้วยด้ายสีแดงแทน
ด้ายสีดำ
ในปี 2001 เดือนกุมภาพันธ์ Subaru ได้มีการเพิ่มรุ่น WRX STi Version S ออกมา
ฟังดูเหมือนเวอร์ชั่นพิเศษ แต่ที่จริงมันก็คือ WRX STi ที่ถอดอุปกรณ์บางชิ้นออกเช่น
เครื่องเสียง, กุญแจรีโมท, อะลูมิเนียมครอบฐานเกียร์, แป้นเหยียบ STi, กระจกกรองแสง และ
ตัดแม้กระทั่งกุญแจรถ จากเดิมที่เป็นทรงพิเศษ คล้ายสวิตช์ตัดไฟ (บ้านเราก็มีเอามาขาย
แล้วเอาไปให้ช่างกุญแจปั๊มเอากันเอง..ระวังนะครับดอกอะลูมิเนียมปั๊มยากมาก เจ๊ง
เสียเงินเปล่ากันไปเยอะนะชาวเฮดไลท์แม็ก) จุดประสงค์ที่ตัดอุปกรณ์ก็เพื่อให้ได้
รุ่นที่ขั้นกลางระหว่าง STi Type RA ที่ไม่มีของเล่นอะไรเลย (2,968,000 เยน) กับตัว
WRX STi ที่อุปกรณ์ครบ (3,198,000 เยน) โดย Version S ตั้งราคาไว้ 3,033,000เยน
– – – – – – – – – –
และในปี 2001 นี้ ชาวอเมริกันก็มีโอกาสได้ใช้ Impreza เครื่องเทอร์โบจากโรงงานเต็มๆในที่สุด
หลังจากที่ต้องทนใช้รถรุ่นที่แล้ว ซึ่งตัวแรงสุดก็มีแค่เครื่อง 2.5 ลิตรไร้หอย รถสเป็ค US
นั้นโชว์ตัวครั้งแรกในงาน Detroit Show ปี 2001 ก่อนขายอย่างเป็นทางการในวันที่
17 มีนาคม 2001 รถสเป็คอเมริกันจะถูกปรับให้ผ่านมาตรฐานมลภาวะ LEV ซึ่งได้มาจาก
การใช้วาล์วแปรผัน, TGV และเครื่องกรองไอเสีย 3 ชุด แต่กระนั้นก็ยังสามารถสร้างแรงม้า
ได้ 227 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 30 ก.ก.-ม.ที่ 4,000 รอบต่อนาที
(แรงกว่าของประเทศฝรั่งประเทศอื่น) มีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ (สเป็คเดียวกับ
อังกฤษ) และเกียร์ SportShift อัตโนมัติ 4 จังหวะ (อัตราทดเหมือนเวอร์ชั่นญี่ปุ่น)
WRX ตัวใหม่ได้รับกระแสตอบรับที่ดีจนภายใน 3 เดือนแรกก็ขายได้ถึง 4,000 คัน
Car and Driver นิตยสารชื่อดังนำไปทดสอบเปรียบเทียบกับ BMW 330xi และ
Audi S4 ผลปรากฏออกมาว่า Subaru แพ้แค่ BMW เท่านั้นทั้งๆที่วัสดุภายใน
และความประณีตสู้กันไม่ได้ แต่ในเรื่องราคานั้น WRX ก็ถูกกว่าชาวบ้าน ขับสนุกกว่า
มีความรู้สึก “อารมณ์ร่วม” ระหว่างคนกับรถมากกว่า แถมยังควอเตอร์ไมล์ได้ภายใน
14.2 วินาทีเท่านั้น เทียบกับราคารถที่ถูกกว่าคู่แข่งอยู่ถึง 15,000 ดอลลาร์ถือว่าคุ้มสุดๆ
วันที่ 10 กันยายน ปี 2001 Subaru มีการปรับปรุงตัวรถในแบบนาโนเชนจ์ให้กับ Impreza
สิ่งที่สังเกตได้ง่ายและชัดที่สุดคือไฟหน้ารมดำในรุ่น WRX ในขณะที่ตัวเครื่องยนต์นั้น
แม้สเป็คจะดูเหมือนเดิม แต่ในทุกรุ่นยกเว้น STi จะมีการเปลี่ยนแหวนลูกสูบเป็นแบบ
แรงเสียดทานต่ำ ส่วนรุ่น WRX NB และ 20K ที่เป็นเกียร์อัตโนมัติ SportShift นั้น
จะถูกเปลี่ยนเฟืองท้ายจาก 4.11 เป็น 4.44 เพื่อให้มีอัตราเร่งออกตัวที่ดีขึ้นและคล่องตัว
สำหรับการใช้งานในเมือง
ของแปลกอีกรุ่น..นี่คือ Impreza Sportswagon Type Euro ซึ่งได้รับการ
ออกแบบส่วนหน้าและหลังใหม่โดย Ferdinand A. “Butzi” Porsche ซึ่งก็
เป็นแนวทางเดียวกับที่ Subaru เคยส่ง Legacy โฉมปี 98 ให้ Porsche ออกแบบส่วนหน้า
และชุดแต่งกับล้อลายใหม่ กลายเป็น Legacy B4 Blitzen ในปี 1999 นั่นเอง
รถรุ่น Type Euro นี้โชว์ตัวครั้งแรกในงาน Tokyo Motor Show เดือนตุลาคมปี
2001 แต่กว่าจะตัวรถจะถูกส่งถึงมือผู้แทนจำหน่ายแล้วเริ่มขายจริงนั้นก็ต้องรอกัน
ไปถึงเดือนมกราคมปีถัดไป โดย Type Euro นี้จะมีเครื่องให้เลือก 3 รุ่นได้แก่ 1.5, 2.0 และ
2.0 เทอร์โบ 250 แรงม้าบล็อคเดียวกับ Impreza Sportswagon 20K
ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันนั้น Subaru ยังจัดการปรับราคา WRX STi และ Sports Wagon STi
ลงจากเดิม และตัดรุ่น WRX STi Type RA ทิ้ง…ตลอดปีที่ผ่านมา STi และ STi Type RA
ถูกนำไปเปรียบเทียบกับ Evo VI Tommi Makkinen หรือไม่ก็ Evo VII RS และมักแพ้
เพราะความเร็วในการเร่งตลอดจนการเข้าโค้งสู้ Evo ไม่ได้ ทาง STi ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจหรอก
และนี่คือสิ่งที่พวกเขาเตรียมไว้ฆ่า Evo โดยเฉพาะ มันคือ WRX STi Type RA Spec C!
ซึ่งถูกปรับจูนมาเป็นพิเศษ ทาง STi เข้าใจดีว่าจุดอ่อนสำคัญอยู่ที่อัตราส่วนแรงม้าต่อน้ำหนัก
ดังนั้นอะไรที่ไม่จำเป็น จึงถูกถอดจนหมด ลดจนเหี้ยนยิ่งกว่า Type RA รุ่นเดิมเสียอีก
กระจกแต่ละบานที่เคยหนา 5 ม.ม. ก็ถูกเปลี่ยนให้บางลงเหลือ 4 ม.ม. พรมปูพื้น พรมเช็ดเท้า
พรมท้ายรถ ส่วนที่ไม่จำเป็นถูกถอดออกหมด ถุงลมนิรภัยไม่เหลือสักถุง (สไปร์ทไม่ชอบแน่นอน)
พวงมาลัยเปลี่ยนเป็นแบบ 3 ก้านธรรมดา วัสดุเก็บเสียง ไม่ต้องสืบ ตรงไหนถอดได้ก็ถอดหมด
นึกภาพแล้วเห็นเลยว่าวิศวกรน่าจะเปิดเพลง “ถอด” ของ Triumph Kingdom ตอนรื้อรถ
โครงสร้าง และช่วงล่าง..นั่นคือจุดที่แตกต่างกันอย่างมาก ซับเฟรมหน้าถูกถอดออก
เปลี่ยนมุมแคสเตอร์ล้อหน้า ย้ายจุดยึดเทรลลิงอาร์มหลังสูงขึ้น เปลี่ยนโช้คและสปริงใหม่
(ทำให้รถเตี้ยลง 10 ม.ม.) มีค้ำปีกนกล่างมาให้จากโรงงาน Subaru ยังไม่หยุดแค่นั้น
ถังน้ำมันยังถูกลดขนาดจาก 60 เหลือ 50 ลิตร และย้ายถังฉีดน้ำสเปรย์อินเตอร์คูลเลอร์
ไปไว้ข้างหลังรถเพื่อการกระจายน้ำหนักที่ดีขึ้น ให้ถังจุน้ำขนาดโตขึ้น และเพิ่มออยล์คูลเลอร์
เกียร์มาให้อีกด้วย ส่วนเครื่องยนต์นั้นได้รับการปรับเพิ่มเติมโดยเปลี่ยนเทอร์โบจาก RHF-55
เป็น RHF-5 โดยเลือกรุ่นย่อยที่มีขนาดโข่งไอดี/ไอเสียเท่ากับของ 22B STi ตัวเก่า
แม้แรงม้าจะระบุไว้ 280แรงม้า/6,400รอบต่อนาที เท่าเดิม แต่แรงบิดเพิ่มเป็น 39.2 ก.ก.-ม.
ที่ 4,400 รอบต่อนาที เมื่อรวมเข้ากับน้ำหนักตัวถัง 1,310 ก.ก. ทำให้ได้อัตราเร่งที่รุนแรง
Best Motoring Show ของญี่ปุ่นได้ทำการทดสอบเปรียบเทียบเอาไว้โดย STi Type RA
วิ่งได้ 12.9 วินาที Evo VII RS ได้ 12.167 วินาที และ Spec C จัดไป 12.05 วินาที
ในเดือนธันวาคม 2001 นั้นยังมีอีกรุ่นที่เพิ่มเข้ามา WRX NB-R ที่เห็นข้างบนนี้
โดยพื้นฐานก็คือ WRX NB 2.0 ลิตรเทอร์โบ 250 แรงม้านั่นเอง แต่มีการปรับเปลี่ยนภายนอก
ไฟตัดหมอกถูกเอาออกเหลือเป็นฝาครอบธรรมดา ล้อเป็นขอบ 17 นิ้วลาย Legacy B4 พ่นสีเงิน
สปอยเลอร์หลังเสริมยกระดับ ชุดเบรกเป็นแบบหน้า 4 Pot หลัง 2 Pot ผ้าเบรกสเป็ค STi
โช้คอัพ STi แบบ Inverted Strut (Upside Down)
เมื่อก้าวเข้าปี 2002 Impreza ตากลมก็เริ่มเข้าสู่ช่วงปลายตลาด เพราะ Subaru มีกำหนด
จะเอารุ่นไมเนอร์เชนจ์เปิดตัวในช่วงปลายปีโดยรุ่นใหม่นั้นจะมีหน้าตาที่อนุรักษ์นิยมกว่าเดิม
แต่ความเคลื่อนไหวสำหรับตัวตากลมนั้นก็ยังมีอยู่ ช่วงปลายปี 2001 ต่อไปจนถึงปี 2002 นั้น
Subaru ก็เปิดตัว Impreza WRX STi ในตลาดนอกบ้านเกิดอย่างเป็นทางการ ทั้งในอังกฤษ
ยุโรป และออสเตรเลีย ส่วนอเมริกานั้นยังไม่มีการเอาเข้าไปขาย รถสเป็คต่างประเทศจะมี
การจูนเครื่องแตกต่างกันเพื่อให้รับกับสภาพอากาศและคุณภาพน้ำมันที่ไม่เหมือนกับในญี่ปุ่น
โดยปรับลดแรงม้าเหลือ 265 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดเหลือ 35.0 ก.ก.-ม.
ที่ 4,000 รอบต่อนาที ในเวอร์ชั่นออสเตรเลียจะใช้เกียร์ที่มีอัตราทดเหมือนกับรถสเป็คญี่ปุ่น
ในขณะที่รถสเป็คอังกฤษจะถูกเปลี่ยนอัตราทดเฉพาะเกียร์ 5 และ 6 เพื่อให้เดินทางไกลได้
ด้วยรอบเครื่องยนต์ที่ต่ำลง
รถสเป็คฝรั่งนี้ แม้จะได้รับคำชมว่าขับสนุกสมกับที่รอคอย และให้บุคลิกการตอบสนองที่แตกต่าง
จาก WRX อย่างสัมผัสได้ แต่ผลจากการปรับลดแรงม้าทำให้สื่อมวลชนที่เคยขับทั้งรถสเป็ค
ญี่ปุ่นและรถสเป็คอังกฤษให้ความเห็นว่ารอบปลายไม่ดึงเท่าไหร่ และความสนุกทุกอย่าง
จะมาที่ 4,000 และจบที่หลังจาก 6,000 (รถสเป็คฝรั่ง เรดไลน์จะลดจาก 8,000 เหลือ 7,500)
พอถึง 7,000 รอบ อัตราเร่งแรงดึงก็หายไปมากจนรู้สึกไร้ประโยชน์ที่จะลากไปหาเรดไลน์แล้ว
หันมาที่ตลาดญี่ปุ่น ในเดือนเมษายนมีการเพิ่มเครื่องปรุงให้กับรุ่น WRX STi โดยมีการเปิดตัว
รุ่น Limited ที่ได้หางหลังทรงเดียวกับ NB-R และลิ้นหน้าที่เตี้ยกว่า STi ปกติ ECU จูนมาใหม่
แรงม้าเท่าเดิม แต่แรงบิดเพิ่มขึ้นจาก 38 เป็น 39.2 ก.ก.-ม. (เท่ากับ STi Spec C) ขายในราคา
ที่แพงกว่า STi ธรรมดาไม่มาก แต่จำนวนจำกัด
..ของดีของเด็ดที่แท้จริง ตามมาในวันที่ 7 พฤษภาคม 2002 ต่างหาก
และนี่ก็คือ S202 รถที่มีตำแหน่งทางการตลาดสูงสุดในหมู่มวล Impreza จนได้รับการ
ขนานนามว่าเป็น “Prince of Impreza” ภายนอกของรถ มีจุดเด่นที่ล้ออัลลอย 17 นิ้ว
10 ก้านสีทองของ RAYS และหางหลังทรงรถแข่งขนาดใหญ่ ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์
เครื่องยนต์ได้รับการปรับแต่งให้แรงม้าสูงขึ้นเป็น 320 แรงม้าที่ 6,400 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด 39.2 ก.ก.-ม. ที่ 4,400 รอบต่อนาที การปรับจูนเครื่องของ S202 จะเน้น
รอบปลายที่ลื่นและฟาดแรงกว่ารุ่นปกติ ส่วนหนึ่งก็มาจากการปรับจูน ECU และชุดท่อ
ไอเสียไทเทเนียมที่เบาลง 5 ก.ก. แต่ปรับปรุงให้ไอเสียไหลออกได้ง่ายขึ้น
S202 ยังได้เบรกที่มีจานแบบกัดร่องบนหน้าสัมผัสจาน ยางเปลี่ยนจาก Bridgestone
เป็น Pirelli P Zero Rosso เบาะเปลี่ยนจากสีน้ำเงินเป็นสีดำ หน้าปัดพื้นมาตรวัดสีน้ำเงิน
มีป้ายบอกจำนวนการผลิต ซึ่งทั้งหมดจะมีจำกัดอยู่แค่ 400 คัน แน่นอนว่าแม้ราคาจะโดด
ไปอยู่ที่ 3,600,000 เยน รถทั้ง 400 คันก็ขายหมดเกลี้ยงภายใน 2 สัปดาห์เท่านั้น
STi Limited กับ S202 ถือเป็นรถสองรุ่นที่ Subaru ส่งมาเป็นสัญลักษณ์แทนการอำลา
ของ Impreza ตากลม เนื่องจาก Subaru ทราบตั้งแต่ช่วงแรกๆของการขายแล้วว่า
หน้าตาแบบนี้ ไม่ถูกใจผู้บริโภคส่วนใหญ่ จากผลวิจัยบ่งบอกว่าที่ยังมีคนซื้ออยู่ ก็เพราะ
ลูกค้าเหล่านั้นต้องการคุณสมบัตที่ดีในหลายด้านของตัวรถ แต่น้อยคนมากที่ซื้อด้วย
เหตุผลว่าชอบหน้าตาของมัน
Peter Stevens นักออกแบบผู้ซึ่งมีผลงานใน Subaru หลายรุ่นรวมถึงชุดแต่งของ 22B STi
ในตำนาน ถูกเรียกมาเพื่อช่วยกู้หน้า Subaru ซึ่งเราจะได้เห็นผลงานของเขาในเวอร์ชั่น
ต่อจากนี้ไป
Gen 2: SPECS (คัดมาเฉพาะบางรุ่น)
.
Gen 2 Minorchange: จากตากลมสู่หน้าเหยี่ยว
วันที่ 26 กันยายนปี 2002 ในงาน Paris Autosalon ทาง Subaru ได้นำรถแข่งแรลลี่
มาจัดแสดง แต่สื่อมวลชนทั้งหลายที่เดินผ่านบูธ Subaru จะสังเกตได้ว่ารถแข่งสีน้ำเงิน
คันที่จัดแสดงอยู่นั้นมีหน้าตาที่เปลี่ยนไปจากรุ่นเดิม..นั่นคือ Impreza Gen. 2 ไมเนอร์เชนจ์
ที่มีนาย Kazuo Ogawa เป็น Project Leader ของโครงการ ภายนอกของรถมีส่วนหน้า
และด้านข้างที่ออกแบบโดย Peter Stevens แห่ง Prodrive..ชายคนนี้ล่ะ คือคนที่ออกแบบ
McLaren F1 ซูเปอร์คาร์ 370 ก.ม./ช.ม.ที่ครองสถิติความเร็วอยู่นานกว่าทศวรรษ
เป้าหมายในการออกแบบรถรุ่นใหม่..ไม่ว่าเอกสารที่ส่งให้สื่อมวลชนจะพูดอย่างไร
ทุกคนก็ทราบดีว่าออกมาเพื่อแก้มือรุ่นตากลม ซึ่งในเวลานั้นลูกค้าจำนวนมากไม่ค่อยชอบ
เรื่องหน้าตา (พวกเขาไม่รู้หรอกว่า 10 ปีหลังจากนั้นมันจะกลายเป็นของคลาสสิคที่หลายคน
อยากได้เลยด้วยซ้ำ) แต่ไหนๆจะทำรถรุ่นใหม่ออกมาทั้งที ก็ต้องมีพัฒนาการด้านอื่นบ้าง
สิ่งที่ Subaru ใส่ใจเพิ่มมากขึ้นในรถรุ่นใหม่นี้คือความปลอดภัย ที่ไม่ใช่แค่ปลอดภัยต่อ
คนนั่งภายในรถเท่านั้น แต่ส่วนหน้าของรถยังได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงความปลอดภัย
ต่อคนเดินถนนอีกด้วย ไฟหน้าเป็นทรงใหม่หมดจด รวมไปถึงฝากระโปรงหน้า กันชนหน้า
แก้มข้าง (โป่งข้าง) ของรถ ไฟท้ายใหม่ ขนาดของกระจังหน้าและช่องรับอากาศด้านหน้า
ก็ถูกออกแบบให้มีขนาดใหญ่ขึ้น
สิ่งที่เป็นผลพลอยได้คือแอโร่ไดนามิกส์ ค่า Cd ในรุ่นซาลูนลดจาก 0.34 ลงมาอยู่ที่ 0.33
ส่วนรุ่น Sports Wagon เทอร์โบที่มีสปอยเลอร์รอบคันนั้นจะยังอยู่ที่ 0.37 (ตัดสปอยเลอร์ออก
หรือเอาสเป็ครถบ้านๆมาวัดจะได้ 0.34) อีกทั้งยังมีการปรับปรุงการตอบสนองของรถ
โดยเริ่มมีการเอามาตรฐานของรถยุโรปมาใช้เป็นตัววัดมากขึ้น ช่วงล่างในรถเกือบทุกรุ่น
(ยกเว้นรถเครื่อง 1.5 ลิตร) จะได้โช้คอัพใหม่แบบ Multi-layered Valve ที่ช่วยให้รถมี
การซับแรงกระแทกกรวดหินดินทรายที่ความเร็วต่ำดีขึ้น แต่ยิ่งยุบตัวเท่าไหร่จะยิ่งมีความหนืด
ซึ่งคุณลักษณะเหล่านี้จะทำให้ Impreza มีการทรงตัวที่เริ่มนุ่มหนึบในสไตล์ยุโรปมากขึ้น
(หมายเหตุ: แน่นอนว่าถ้าเป็นตัวโหดๆทั้งหลาย ฟีลลิ่งโดยรวมมันก็ยังจะแข็งผู้ใหญ่ซิ่ง
เหมือนเดิมนะครับ)
Impreza รุ่นใหม่นี้ยังได้ปั๊มเพาเวอร์แบบ Variable ที่ช่วยให้สามารถเซ็ตพวงมาลัยให้
มีความนิ่ง แน่นมากกว่าเดิมเวลาวิ่งทางไกลด้วยความเร็วสูง และเบาสบายที่ความเร็วต่ำ
โดยถ้าเป็นรุ่นตัวแรงๆก็จะมีการเน้นการตอบสนอง สื่ออาการเกาะของล้อหน้ามาที่มือ
คนขับให้มากกว่าเดิม
ภายในของรถได้รับการออกแบบใหม่ วัสดุผ้าที่ใช้ในห้องโดยสารดีขึ้นกว่าเดิม
พนักพิงศรีษะถูกปรับให้เป็นแบบที่สามารถรองรับส่วนหลังของหัวในเวลาที่รถโดนชนท้าย
ได้ดีขึ้น ซึ่งก็เป็นการปรับตามรุ่น Forester ในปีนั้นนั่นเอง แป้นเหยียบต่างๆเป็นแบบ
Safety Pedal ซึ่งถูกออกแบบให้แตกตัวออกจากกันได้เวลามีการชนด้านหน้า ซึ่งจะลด
โอกาสที่แป้นเหยียบจะส่งแรงกระแทกหรือดันตัวเข้ามาโดนขาผู้ขับได้อีกด้วย
นอกจากปรับรายละเอียดไปหลายส่วนแล้ว Subaru ยังปรับวิธีเรียกชื่อรุ่นย่อยต่างๆ
จากเดิมที่มีอยู่มากก็รวบลง รถ WRX NA (ไร้เทอร์โบ) ก็เปลี่ยนชื่อเป็นรุ่น 20S ในขณะ
ที่ WRX NB (เทอร์โบ) ก็ใช้ชื่อเป็น WRX เหมือนสมัยบอดี้ GC อีกครั้ง รถรุ่น Sports Wagon
ก็ทิ้งชื่อ 20K มาเป็น Sports Wagon WRX เหมือนสมัยก่อนเช่นกัน ทั้งคู่จะสลัดล้อขอบ 16
ทิ้งเปลี่ยนมาเป็นล้ออัลลอย 5 ก้านคู่ ขอบ 17 หุ้มด้วยยาง 215/45/17 จากโรงงาน
เครื่องของรุ่น WRX ยังคงทำแรงม้าได้ 250 แรงม้า และแรงบิด 34.0 ก.ก.-ม. อยู่เช่นเดิม
แต่มีการปรับปรุงที่ท่อทางเข้าอินเตอร์คูลเลอร์ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น สวนทางกับเทอร์โบ
ซึ่งเป็น TD-04L ที่ขนาดโข่งไอเสียถูกปรับให้เล็กลงกว่าเดิมเพื่อเรียกแรงบิดให้มาเร็วขึ้น
ยังมีให้เลือกทั้งแบบเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และอัตโนมัติ 4 จังหวะ SportShift เช่นเคย
ส่วน WRX STi และ WRX STi Spec C นั้นมีความเปลี่ยนแปลงให้เห็นชัดกว่ารุ่น
WRX ธรรมดาเยอะ คราวนี้รุ่น Sports Wagon STi ถูกยกเลิกการทำตลาดไปแล้ว ดังนั้น
ก็จะเหลือเพียง 3 รุ่นคือ STi ตัวออพชั่นเต็ม STi Spec C ตัวล้อ 17 และ Spec C ตัวถูก
ที่เป็นล้อเหล็กขอบ 16 เบรก 4 Pot ธรรมดาเท่านั้น
STi ทั้ง 3 รุ่นจะได้Scoop ดักอากาศเข้าอินเตอร์คูลเลอร์ที่มีขนาดใหญ่..ใหญ่มาก..
โคตรใหญ่..ใหญ่ที่สุดเท่าที่ประวัติศาสตร์ WRX STi เคยมีมา เพื่อป้อนอากาศเข้าสู่
เครื่องยนต์ EJ20 คอแดงเวอร์ชั่นล่าสุด ที่ได้เสื้อสูบแบบ Semi-Closed Deck
ลูกสูบอะลูมินั่มอัลลอยหล่อขึ้นรูปที่แข็งแรงเป็นพิเศษ ก้านสูบ และเพลาข้อเหวี่ยง
เป็นสเป็คที่แข็งขึ้นกว่าเดิม
สิ่งที่ทำให้เครื่องรุ่นใหม่นี้ต่างจากรุ่นเดิม และจะเป็นแนวทางหลักของเครื่อง EJ20 คอแดง
เวอร์ชั่นญี่ปุ่นนับตั้งแต่รุ่นนี้เป็นต้นไปก็คือเทอร์โบชาร์จแบบ Twin Scroll (ซึ่งไม่ใช่เทอร์โบคู่
แต่เป็นเทอร์โบตัวเดียวที่มีช่องทางไอเสียเข้าโข่งแบ่งเป็น 2 ช่อง) และท่อร่วมไอเสียแบบ
Equal-Length ..แล้วมันต่างจาก Subaru รุ่นที่ผ่านๆมายังไงล่ะ? อธิบายกันหน่อยตรงนี้แล้วกัน
เครื่อง Subaru เทอร์โบที่มักจะส่งเสียงท่อดังบุ้งๆๆๆๆๆๆและกลายเป็นบร๊อนนนนน..นนในรอบสูงนั้น
สาเหตุเป็นเพราะท่อร่วมไอเสียนี่ล่ะครับ Subaru เทอร์โบส่วนมากท่อร่วมไอเสียฝั่งซ้ายกับขวา
จะยาวไม่เท่ากัน สมมติว่ามองจากใต้ท้องรถ เราจะเห็นเลยว่าสูบฝั่งไกลเทอร์โบ (สูบ 2 และ 4)
จะถูกรวบเข้าด้วยกัน แล้วมาเจอกับท่อไอเสียของสูบอีกฝั่ง (สูบ 1 และ 3) ดังนั้นเสียงที่ดังมาจาก
สองฝั่งที่มีความยาวท่อร่วมไอเสียไม่เท่ากัน ทำให้เกิดความดังในเดซิเบลที่ต่างกัน และการที่
เครื่อง EJ จะมีลำดับการจุดระเบิด 1-3-2-4 (ไม่เหมือนรถ 4 สูบเรียงจะจุดลำดับสูบ 1-3-4-2)
ทำให้เสียงดังจากท่อไอเสียดังมาจากฝั่งสูบ ซ้าย-ซ้าย-ขวา-ขวา (ดัง-ดัง-เบา-เบา)
ซึ่งพอหูเราได้ยินเสียงที่มีจำนวนครั้งถี่มากๆเข้าเลยได้ยินเป็น ดัง-เบา-ดัง-เบา นั่นคือที่มาของ
Rumble Sound ที่เป็นเอกลักษณ์
แต่..พอเปลี่ยนมาใช้ท่อร่วมไอเสียยาวเท่ากัน แม้มุมหักงอของท่อจะทำให้มีความต่างของเสียง
บ้างที่รอบต่ำๆ แต่พอใช้รอบสูงปุ๊บ เสียงบร๊อนจะหายไป กลายเป็นเสียงแผดแป๊ดลั่นที่เรียบ
บาดหูเป็นที่สุด จะ VTEC DOHC ก็ไม่ใช่ จะโรตารี่ก็ไม่เชิง เป็นเสียงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ
พล่ามเรื่องท่อร่วมไอเสียมานาน แล้ว Twin Scroll Turbo กับ Equal-length manifold
ให้ผลอย่างไรบ้างล่ะ? แรงม้าสูงสุดอยู่ที่ 280 แรงม้า รอบแรงม้าสูงสุดลดลงจาก 6,400
เหลือ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดสูงขึ้นเป็น 40.2 ก.ก.-ม. ที่ 4,400 รอบต่อนาที
แม้ว่าสเป็คตัวเลขในโบรชัวร์จะเหมือนกันระหว่าง STi กับ Spec C แต่ความจริงเทอร์โบ
ของทั้งสองรุ่นจะไม่เหมือนกัน โดย STi จะใช้ IHI RHF-55 ในขณะที่ Spec C จะเป็น
IHI RHF5B และเป็น Ball Bearing ในขณะที่ของ STi จะเป็นแกนแบบธรรมดา
เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะที่ใช้ในรุ่น “ตาเหยี่ยว” นี้ แม้ดูผ่านๆจะเหมือนกับโมเดลตากลม
แต่วัสดุภายในถูกเปลี่ยนไปใช้โลหะที่น้ำหนักเบาลงกว่าเดิม แต่มีความแข็งแรงทนทาน
ต่อการทรมานมากกว่าเดิม (แต่ก็ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นไปด้วย)
รุ่น Spec C ยังดำเนินรอยตามประเพณีเดิม..พอเห็นคำว่า Spec C ก็ทราบแล้วว่า
อุปกรณ์ซับเสียง พรม ตรงไหนไม่จำเป็นจะถูกถอดออกหมด อุปกรณ์อำนวยความสะดวก
ก็ถูกถอดออก แม้แต่แถบพลาสติกสีเงินครอบคันเกียร์ก็ยังถูกถอดออกไปด้วย
รถ Spec C หน้าเหยี่ยวนี้ถ้าเป็นเวอร์ชั่นล้อ 17 จะได้ล้อ 10 ก้านของ BBS ที่มีน้ำหนัก
เบากว่าล้อก้าน V (ซึ่งเป็นล้อมาตรฐานของ STi ธรรมดา) มีระบบ DCCD มาให้
และเป็นรุ่นแรกที่มี DCCD โหมด Automatic ให้ใช้ (รุ่น STi ธรรมดาต้องสั่งพิเศษ)
แต่จะได้สปอยเลอร์หลังแบบเตี้ยเหมือน WRX ธรรมดา น้ำหนักตัวรถจะเบากว่า STi
อยู่ 80 ก.ก. ส่วนรุ่นออพชั่นเหี้ยนที่เป็นล้อเหล็ก 16 นิ้วนั้น จะใช้ระบบ DCCD แบบเก่า
ที่ไม่มีโหมด Auto ให้ใช้ มันแทบจะไม่มีออพชั่นติดรถเลยแต่น้ำหนักตัวถังก็เบาลงอีก
เหลือเพียงแค่ 1,320 ก.ก. (เบากว่า Spec C ตัวล้อ 17 อีก 30 ก.ก.)
ในตลาดประเทศอื่นนั้น Impreza โฉมใหม่ก็ได้รับหน้าตาแบบเดียวกันกับรุ่นที่ขาย
ในประเทศญี่ปุ่น แต่ก็มีการอัพเดทส่วนอื่นของรถตามไปด้วยเช่นกัน อย่างที่ประเทศอังกฤษ
รถ 2.0 WRX จะถูกปรับจูนเครื่องใหม่ให้เติมได้ทั้งน้ำมันออคเทน 95 และ 98 โดยหาก
ใช้อย่างหลัง จะสามารถทำแรงม้าได้ 225 แรงม้าที่ 5,600 รอบต่อนาที มีการปรับมาตรวัด
ใหม่โดยรุ่น WRX นั้นมาตรวัดช่องกลางเดิมเป็นเข็มความเร็ว มาคราวนี้ Subaru UK
ย้ายวัดรอบมาอยู่ตรงกลาง (เหมือนรุ่น STi) ส่วนรุ่น STi นั้นได้รูปโฉมภายนอกที่เหมือนๆ
กับรถที่ขายในตลาดญี่ปุ่น แต่เครื่องยนต์ยังเป็นคอแดง 265 แรงม้าอยู่ และภายในจะมี
รายละเอียดบางส่วนที่ไม่เหมือนกันอย่างเช่นมาตรวัด ซึ่งจะเป็นพื้นสีน้ำเงินเข้มหรือดำ
กับตัวอักษรสีขาว (ไม่ใช่มาตรวัดเรืองแสงสีส้มแบบของญี่ปุ่น) เรดไลน์สุดที่ 7,500 รอบ
ไม่ใช่ 8,000 รอบต่อนาทีแบบของญี่ปุ่น
ในอเมริกา..เดือนมกราคมปี 2003 ทาง Mitsubishi เปิดตัว Evo VIII ขายในตลาดอเมริกา
ด้วยชื่อ “Lancer Evolution” และระบุแรงม้าเอาไว้ 271 แรงม้า ซึ่งนั่นก็มากพอจะดับ WRX
ได้อย่างสบาย ทาง Subaru รู้เรื่องการบุกตลาดอเมริกานี้มานานแล้วและเตรียมของขวัญ
รอเอาไว้เผยในงาน Detroit Motorshow
Impreza WRX STi US Version
ของจริงที่ Subaru จัดให้ตลาดอเมริกาอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก ความพิเศษ
อยู่ที่เครื่องยนต์ EJ257 ซึ่งไม่แน่ใจว่าจะเรียกว่าพิเศษหรือไม่..แต่เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน
เครื่องยนต์ของ STi ญี่ปุ่นตัวจี๊ด 8,000 รอบนั้นต้องใช้น้ำมันออคเทนสูง ในอเมริกานั้น
ไม่ได้มี Hi-Octane หาเติมง่ายๆแบบญี่ปุ่น อีกทั้งยังต้องปรับเครื่องยนต์ให้ผ่านมาตรฐาน
มลภาวะของรัฐแคลิฟอร์เนียจึงจะขายได้อย่างสบายใจ ลำพังถ้าเอาเครื่อง 2.0 ลิตรคอแดง
ญี่ปุ่นมาปรับลดพลังให้ผ่านมาตรฐานต่างๆ ก็จะกลายเป็นอย่างเครื่อง 265 แรงม้าของตลาด
ออสเตรเลียซึ่ง “ไม่มีเรี่ยวแรงอะไรเลย” ก่อน 4,000 รอบ และดึงหนักไปถึงแค่ราว 6,000
ก่อนหมดแรง ท่านประธาน STi รู้แล้วว่าถ้าจับเครื่องสเป็คนี้มาขายคนอเมริกัน มันจะต้องแพ้
Evolution แน่ๆ ดังนั้นจึงให้ปรับปรุงเครื่องสเป็คใหม่สำหรับอเมริกา กลายเป็นเครื่องขนาด
2.5 ลิตร เทอร์โบชาร์จแบบธรรมดา (ไม่ใช่ Twin Scroll) เพิ่มกำลังอัดจาก 8.0 เป็น 8.2:1
พอให้สร้างแรงม้าได้ถึง 300 แรงม้าที่ 6,000 ต่อนาที แรงบิดสูงสุด 41.5 ก.ก.-ม. ที่ 4,000
รอบต่อนาทีมีเกียร์ 6 จังหวะ อัตราทดเดียวกับสเป็คญี่ปุ่น ล้อ เบรก และพาร์ทตัวถังหลายจุด
เรียกได้ว่ายกมาจาก STi Spec C ของญี่ปุ่น เพียงแต่ว่ามีอุปกรณ์ติดรถเยอะกว่าเท่านั้น
น้ำหนักตัวถังแจ้งว่า 3,260 ปอนด์ (เท่ากับ 1,478 ก.ก.)
ส่วนที่ต่างจาก Spec C อย่างเห็นได้ชัดที่สุดคือชุดแร็คพวงมาลัยที่ทด 15.2:1 ซึงรถสเป็ค
ญี่ปุ่นจะทดมาไวกว่า (WRX ญี่ปุ่นที่ทด 15.0:1 ก็ไวกว่า WRX อเมริกาที่มีแร็คทด 16.5:1)
ทำให้เวลา Car and Driver เอาไปทดสอบแข่งกับ Evolution ผลออกมาแม้ STi US จะ
เร่งได้เร็ว มีช่วงล่างที่ขับสบายกว่า แต่ไปแพ้กันที่พวงมาลัยซึ่งส่งผลให้ Evo มีคาแร็คเตอร์
การตอบสนองที่ว่องไวเหมือนโกคาร์ทและทำเวลารอบสนามได้ดีกว่า
โชคดีว่านี่ผมขุดหารูป WRX สเป็คไทยปี 2003 เจอเลยเอามาให้ดูกัน
คือถ้าไม่ใช่เพื่อสาวกซูบารุเฮดไลท์แม็กนี่อย่าหวังนะ..สองคันที่เห็นข้างบนนี่
คุณอาจจะมองว่ามันคือ WRX และ WRX STi ใช่หรือเปล่า? ตอบเลยว่าไม่ใช่!
คันล่างที่สีน้ำเงินนั้น มีชื่อเรียกว่า WRX i-Package ครับ พูดง่ายๆคือเรือนร่างข้างนอก
ใส่ชุดแต่งและล้อของ STi แต่สังเกตดีๆ จะไม่มีโลโก้ STi ที่กระจังหน้า และตัวเบาะไม่ใช่
สีน้ำเงินอย่างที่ STi ควรเป็น รถ WRX และ WRX i-Package ของไทยนี้ขายอยู่ในช่วงปี
2003 ซึ่งสมัยนั้น Motor Image Thailand ยังมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เพชรบุรีตัดใหม่
เครื่องยนต์ที่ใช้จะเป็นแบบ EJ20 218 แรงม้าที่ 5,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 29.8 ก.ก.-ม.
ที่ 3,600 รอบต่อนาที เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ อัตราทดเฟืองท้าย 3.900 (เกียร์สองสับที่
7,000 จะได้ความเร็ว 110 ก.ม./ช.ม. ซึ่งยาวยืดกว่าเกียร์ของรถสเป็คญี่ปุ่น)
ทีนี้ กลับมาดูความเปลี่ยนแปลงที่เมืองแม่กันบ้าง..
เดือนเมษายน 2003 ที่ญี่ปุ่นมีการเปิดตัวรุ่น WRX STi Spec C Limited ขายใน
จำนวนจำกัด 1,000 คัน รถรุ่นนี้จะว่าไปก็คือ Spec C ตัวล้อ 17 นิ้วที่ถูกนำมาเพิ่มออพชั่น
กลับเข้าไป ยกตัวอย่างเช่นหัวเกียร์หุ้มหนัง ฐานครอบคันเกียร์สีเงิน กระจกมองข้าง
สีเดียวกับตัวรถ กระจกไฟฟ้า เซ็นทรัลล็อคมีครบ มาตรวัดมีไฟ Shift Light เหมือนรุ่น STi
แต่ความพิเศษจะอยู่ที่ภายในเป็นสีดำล้วน ซึ่งจะไม่เหมือน STi กับ Spec C ที่ผ่านมา
ส่วนล้อติดรถนั้นจะเป็นแบบก้านวีขอบ 17 เหมือนกับ STi
22 ธันวาคม 2003 หลังจากที่ Petter Solberg คว้าแชมป์ WRC มา ทาง Subaru ก็ทำรุ่น
V-Limited ออกมาฉลองอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้แตะชื่อนี้มานาน 5-6 ปีแล้ว โดยคราวนี้
ก็ทำมาขาย 2 รุ่นเหมือนเดิมคือรุ่น WRX V-Limited ที่ได้ชุดแต่ง STi รอบคัน และล้ออัลลอย
5 ก้านของ RAYS โดยทำมาขายทั้งรุ่นเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะและอัตโนมัติ 4 จังหวะ รถรุ่นนี้
จะไม่ได้ระบุจำนวนผลิตมา เพียงแต่ทาง Subaru บอกว่าจะผลิตไปถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2004 เท่านั้น
ส่วนรุ่น STi จะผลิตในจำนวนจำกัด 555 คัน และให้ล้ออัลลอยฟอร์จของ BBS มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
ทั้ง WRX V-Limited และ STi V-Limited จะได้ช่วงล่างพิเศษที่มีนักแข่งญี่ปุ่น Toshi Arai ช่วย
ในการปรับจูน ความสูงของช่วงล่างจะเตี้ยลงกว่ารุ่นปกติ และมีโช้คอัพแบบที่สามารถปรับระดับ
ความหนืดได้มาให้
ไม่ใช่แค่ญี่ปุ่นจะฉลองกันอย่างเดียว Subaru UK ก็จับมือกับ Prodrive ฉลองเหมือนกัน
ด้วยรุ่น Impreza WR1 ซึ่งได้ทาง Prodrive ช่วยปรับจูนเครื่องจนมีแรงม้า 320 แรงม้า
สวมล้ออัลลอยขอบ 18 นิ้วของ Prodrive ห่อด้วยยาง 225/45/18 ได้ท่อไอเสียชุดใหม่
ที่เสียงโหดกว่าเดิม มันกลายเป็นรถพื้นฐาน STi ที่แรงที่สุดที่ Subaru อังกฤษมีขายในเวลานั้น
ด้วยความสามารถในการเข้าเส้นควอเตอร์ไมล์โดยใช้เวลา 12.8 วินาที แต่ทว่ารถรุ่นนี้
มีจำนวนขายจำกัดเพียง 500 คันเท่านั้นและมีให้เลือกเพียงสีเดียวคือสีฟ้า Ice Blue
2004 Updates
ในเดือนมิถุนายนปี 2004 ทาง Subaru ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดเพิ่มเติมให้กับ
Impreza อีกครั้งก่อนจะถึงคราวไมเนอร์เชนจ์จริงๆในปีถัดไป
ภายนอกนั้นไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแบบชัดเจน แต่จุดที่เปลี่ยนจะอยู่ที่เครื่องยนต์กับช่วงล่าง
โดยรุ่น WRX นั้นจะใช้เครื่องยนต์ 250 แรงม้าเหมือนเดิม เกียร์อัตราทดเดิมเพิ่ม Double
Synchronizer Cone ที่เกียร์ 1 ช่วงล่างเปลี่ยนไปใช้ Inverted Struts กระบอกสีดำแทน
เพื่อเพิ่มความทนทานต่อแรงกระแทก และมีการปรับให้ช่วงล่างมีลักษณะนุ่มหนึบยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ระบบเบรกหน้า 4 Pot หลัง 2 Pot เดิมที่คาลิเปอร์เป็นสีดำ ก็จะเปลี่ยนเป็นพ่นสีแดง
ในขณะที่ WRX STi และ WRX STi Spec C จะได้เครื่อง EJ20 ที่ถูกปรับเพิ่มแรงบิดขึ้นจากเดิม
40.2 ก.ก.-ม. เป็น 42.0 ก.ก.-ม. ที่ 4,400 รอบเท่าเดิม แรงม้ายังคงระบุเอาไว้ที่ 280 ตัวที่
6,400 รอบเหมือนเดิม
รถ STi ทั้งหลายในปี 2004 นี้จะมีระบบ DCCD พร้อมโหมด Automatic มาให้เป็นอุปกรณ์
มาตรฐาน สามารถปรับแรงขับเคลื่อนที่ลงสู่ล้อหลังไปพร้อมๆกับอัตราการล็อคของ
Center Diff. ได้ (โดยตำแหน่ง LOCK นั้น Center Diff. จะล็อคให้ล้อหน้าและล้อหลัง
หมุนเร็วเท่ากันและถ่ายกำลังหน้า/หลังแบบ 50:50 ส่วนถ้าเลื่อนสวิตช์ C.Diff ลงมา
ล่างสุด Center Diff. จะไม่มีการล็อค ล้อหน้าและหลังสามารถหมุนในระยะไม่เท่ากันได้
และจะส่งกำลังไปที่ล้อคู่หน้า/หลังในอัตรา 35:65) แต่ถ้าเป็น STi Spec C ตัวถูกสุดที่
ไม่มีอุปกรณ์อะไรเลยนั้นจะยังคงให้ DCCD Manual แบบเดิมมาอยู่
ดุมล้อหน้า และเบ้าโช้คหน้าของ STi ปี 2004 นั้นจะถูกปรับให้มีความแข็งแร่งขึ้น
ดังจะเห็นได้ว่าน็อตล้อจากเดิมใช้ PCD แบบ 5 รู 100 ของรุ่นใหม่นี้จะเปลี่ยนเป็นแบบ
5 รู 114.3 แทน (ดังนั้นล้อ 17 นิ้วก้านวี จึงไม่สามารถนำมาใส่กับรถปี 2004 ได้อีกแล้ว)
ล้อยังเป็นขนาด 17 นิ้วอยู่ แต่กว้างขึ้นเป็น 8.0 นิ้ว และใส่ยางขนาด 235/45/17
ฐานล้อของรุ่น STi ทุกรุ่นจะเพิ่มจาก 2,525 ม.ม. เป็น 2,540 ม.ม. เท่ากันกับตัว Spec C
ภายในของรถนี่สิ..แตกต่างจากเดิมชัดเจน แม้โทนสีจะดูคล้ายเดิม แต่คอนโซลกลาง
ได้รับการออกแบบใหม่ให้ยาวลงมาครอบถึงฐานคันเกียร์ โดย Subaru บอกว่าคอนโซล
หน้าตาแบบนี้ทำให้ภายในของรถดูภูมิฐานหรูหราสมราคาขึ้น พร้อมกันนี้ทั้งรุ่น WRX
และ STi ก็ถูกเปลี่ยนพวงมาลัยให้กลายเป็นดีไซน์ 3 ก้านทั้งหมด (Goodbye MOMO)
ความต่างจะอยู่ที่โลโก้ตรงกลางพวงมาลัย ถ้าเป็น WRX จะเป็นโลโก้ของ Subaru
แต่ถ้าเป็น STi จะเป็นโลโก้ STi สีชมพู
ในรุ่น WRX นั้น มาตรวัดที่เคยเป็นแบบพื้นดำอักษรขาว ก็เปลี่ยนเป็นแบบเรืองแสงสีส้ม
เหมือนของ WRX STi แต่เรดไลน์จะอยู่ที่ 7,000 รอบ และไม่มีโลโก้ STi บนหน้าปัด
ตัว WRX STi Spec C ในปี 2004 นี้ จะมีสปอยเลอร์หลังทรงเตี้ยเหมือนเดิม
ภายในรถ ยังเล่นธีม “STi ถอดของ” อยู่เช่นเคย แต่น้ำหนักตัวในปีนี้ เพิ่มขึ้นเล็กน้อย
จาก 1,350 ไปอยู่ที่ 1,370 ก.ก. โดยส่วนหนึ่งมาจากการใช้เหล็ก โลหะ จุดยึดและ
ปรับปรุงชุดดุมล้อใหม่ที่ทำให้ตัวรถมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น
ต่อมาในเดือนมิถุนายนก็มีการเพิ่มรุ่น WR-Limited ออกมา โดยเจ้านี่ไม่ได้
ออกมาเฉลิมฉลองชัยชนะอะไรหรอกครับ แต่ในปีนั้น WRC มีการจัดรายการ
Rally Japan ขึ้น เขาเลยทำรถออกมากระตุ้นความสนใจของตลาดเล่นๆ
ลักษณะโดยทั่วไปก็คือการเอารถโมเดลใหม่คอนโซลยาว อันประกอบด้วยรุ่น
WRX เกียร์ธรรมดา และอัตโนมัติ กับ WRX STi Spec C มาแต่งองค์ทรงเครื่องเพิ่ม
ตัว WRX WR-Limited นั้นจะได้ล้ออัลลอย 5 ก้านของ RAYS กับชุดแต่ง STi
รอบคัน มีสติกเกอร์ Subaru สีเหลืองแปะที่หางหลังขนาดใหญ่มาให้ พร้อมไฟหน้า HID
ส่วนภายในก็มีเบาะสีน้ำเงิน พะโลโก้ Subaru World Rally Team พร้อมแถมพวงกุญแจ
ที่ระลึกแบบพิเศษให้ ส่วนตัว Spec C WR-Limited นั้นจะใช้ล้อ 10 ก้านสีทอง
เหมือนของ STi รุ่นปกติ แต่มีเบาะพร้อมโลโก้ Subaru World Rally Team มาให้
ทุกรุ่นจะมีป้ายด้านท้ายรถเป็นโลโก้ Subaru World Rally Team อยู่ด้านขวา
ของรูเสียบกุญแจท้าย รถที่เป็นเกียร์ธรรมดาจะได้หัวเกียร์อะลูมิเนียมสีเงิน
(รถรุ่นทั่วไปจะใช้หัวเกียร์ยูรีเธนไม่ก็หนัง) พร้อมชุดแป้นเหยียบ+ที่พักเท้า
อะลูมิเนียมเช่นกัน รถ WR-Limited ทั้งหลายไม่ได้บอกจำนวนว่าผลิตจำกัดกี่คัน
บอกแค่ว่าเริ่มให้สั่งจองได้ 2 เดือนก่อน Japan Rally และเลิกผลิต 2 เดือนหลัง
การแข่งสิ้นสุดลง แค่นั้นครับ
มาถึงช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี Subaru เตรียมเวอร์ชั่นสั่งลา..ดูเหมือนว่ามันจะกลาย
เป็นธรรมเนียมของ Subaru ไปซะแล้วที่ตัวแรงสุด โหดสุด แพงสุด มักจะมาตอนท้ายๆ และ
ถ้าเห็นหน้าเห็นตัวกันเมื่อไหร่ ก็เตรียมใจเอาไว้ได้เลยว่าการไมเนอร์เชนจ์หรือโมเดลเชนจ์
รุ่นใหม่จะตามมาอีกไม่นาน ในเดือนตุลาคม 2004 ก็ได้ทีของตัวโหดประจำรุ่นอย่างเจ้า
Impreza WRX STi Spec C Type RA
อย่าสับสันกับเจ้าโหดในยุคตากลม อันนั้นเป็น Type RA Spec C อันนี้เป็น Spec C Type RA
ไม่งงกันใช่มั้ยครับ? เจ้าตัวโหดปี 2004 นี้ แท้จริงก็มีพื้นฐานมาจากรถ STi Spec C นั่นเอง
แต่ถูกอัพเกรดให้มีลักษณะเป็นรถแข่งมากขึ้นด้วยลิ้นหน้าและปีกหลังคาร์บอนไฟเบอร์
โช้คอัพ STi สตรัท/สปริงสีชมพูที่สามารถปรับระดับความแข็งได้ ภายในมีเบาะอัลคันทาร่า
แอร์ออโต้ ล้ออัลลอย 17 นิ้วลายพิเศษเฉพาะรุ่นของ STi ขนาดกว้าง 8.0 นิ้ว
ทางด้านเครื่องยนต์และเกียร์นั้น ลอกสเป็คมาจากตัว STi Spec C ได้เลย ทั้งแรงม้า
แรงบิดและอัตราทดเกียร์เท่ากันเด๊ะครับ
ชุดแต่งที่ใส่เข้าไปนั้นทำให้ขนาดความยาวของตัวรถมากกว่ารุ่นอื่นอยู่ 10 ม.ม. และ
ช่วงล่างแต่งตัวพิเศษนั้นก็ทำให้ตัวรถเตี้ยลงกว่า Spec C ปกติ อยู่ 15 ม.ม. ส่วน
น้ำหนักตัวรถอยู่ที่ 1,390 ก.ก. หรือเพิ่มจากตัว Spec C มา 20 ก.ก. ราคาขายของ
Spec C Type RA อยู่ที่ 3,654,000 เยน ซึ่งแพงกว่าตัว Spec C ล้อ 17 (ซึ่งมีราคา
3,391,000 เยนไม่มากนัก แน่นอนว่าขายแป๊บเดียวก็หมด เพราะผลิตจำนวนจำกัด
ทั้งโลกนี้มีอยู่แค่ 300 คันเท่านั้น
ถ้าชอบของโหด แรง และแพง..ต้องมาดูตัวส่งท้ายปีสำหรับบอดี้หน้าเหยี่ยว ซึ่งก็คือ..
S203.. ด้วยราคามหาโหดระดับ 4,609,500 เยน เมื่อมันเปิดตัวในเดือนธันวาคมปี 2004
และเริ่มต้นส่งรถขึ้นโชว์รูมกันจริงๆในวันที่ 11 มกราคมปี 2005 นั้น ทำให้มันกลายเป็น
Impreza ที่ราคาแพงที่สุด (แพงกว่า Spec C Type RA ไปอีกเกือบล้านเยน)
แต่มันก็นับเป็นรถรุ่นที่พกทุกอย่างมาให้ครบ และขุนพลังไปจนอยู่ในระดับที่ร้ายกาจที่
สุดในยุคนั้น เครื่องยนต์ของ S203 เป็นสเป็คพิเศษที่บาลานซ์ข้อเหวี่ยงและภายในเครื่อง
ด้วยมือ เปลี่ยนเทอร์โบให้มีขนาดโข่งใหญ่กว่า STi ปกติ และมีการติดตั้งเครื่องกรองไอเสีย
แบบ Free-flow ที่ส่งผลให้แรงม้าเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 320 แรงม้า/6,400 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด 43.0 ก.ก.-ม./ 4,400 ต่อนาที
ช่วงล่างเป็นชุดแต่ง STi แบบปรับระดับความแข็งได้ และลดความสูงของรถลงมาอยู่ที่
1,410 ม.ม. ปีกหลังของ S203 สามารถปรับองศาได้ ล้ออัลลอยที่ใช้เป็นขนาด 18 นิ้ว
ของ BBS ใช้ยาง Pirelli P Zero Corsa ขนาด 235/40 น้ำหนักตัวรถอยู่ที่ 1,445 ก.ก.
S203 ได้ภายในอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เบาะสปอร์ตจาก Recaro เป็นแบบ Light Weight
หัวเกียร์มีตัวเลขเกียร์เป็นสีแดง คอนโซลกลางจะเป็นวัสดุสีดำ มีชุดเครื่องเสียง CD/MD
ของ Kenwoodมาให้ และส่วนที่พิเศษที่สุดของ S203 คือมาตรวัดความเร็ว ซึ่งจะมีให้ลาก
กันสุดที่ 260 ก.ม./ช.ม.ในขณะที่รุ่นอื่นๆจะเป็นเข็ม 180 ตามกฎหมายของญี่ปุ่น
S203 มีให้เลือก 4 สีคือสีเทาอมเขียว (สีโปรโมท) สีแดง สีขาว และสีน้ำเงิน มีการ
ผลิตในจำนวนจำกัด 555 คัน
รถรุ่นสุดท้ายของไมเนอร์เชนจ์งวดนี้ อันที่จริงยังมี Impreza WRX V-Limited ที่ผลิตใน
เวลาจำกัด 3 เดือนเพื่อฉลองวาระที่ Subaru เป็นค่ายรถญี่ปุ่นที่ทำคะแนนสะสมในแรลลี่
ฤดูกาลนั้นได้มากเป็นอันดับ 1 รายละเอียดของตัวรถคงไม่ต้องสาธยายมากเพราะมีแค่
รุ่น WRX เกียร์ธรรมดา และอัตโนมัติ และลักษณะตัวรถก็แทบจะเหมือน WR-Limited
ที่ขายในช่วงกลางปีเกือบทั้งคัน ต่างกันแค่เพียงไม่กี่อย่างคือรถ V-Limited จะมี
กระจกมองข้างไล่ฝ้า มีไฟตัดหมอกท้าย และมือจับเปิดประตูในรถจะเป็นโครเมียม
Gen 2 Minorchange # 1: SPECS (คัดมาเฉพาะบางรุ่น)
.
Gen 2: Another, really last minorchange
ในช่วงหลังปี 2005 เป็นต้นมา Subaru พยายามสร้างเอกลักษณ์ทางการออกแบบ
ให้กับรถในค่ายตัวเองมากยิ่งขึ้น โดยนำเอาแรงบันดาลใจที่ได้จากการยืนมอง
เครื่องบินเจ็ทจากด้านหน้ามาแปลเป็นภาษานักออกแบบยานยนต์ โดยในการนี้
ทาง Subaru มอบหมายให้ Andreas Zapatinas ซึ่งเป็น Chief Designer คนใหม่
ซึ่งเคยอยู่กับ Alfa Romeo มาก่อนเป็นผู้ดูแลโปรเจคท์ Impreza เองก็ได้รับการ
ไมเนอร์เชนจ์ เป็นครั้งสุดท้ายสำหรับบอดี้ GD/GG ด้วย
ขอทิ้งความรู้เสริมไว้ให้ตรงนี้ด้วยว่าในเดือนตุลาคมปี 2005 นี้เอง ทาง Fuji Heavy
Industries ก็เลิกข้อตกลงพันธมิตรธุรกิจกับกลุ่ม GM และ Isuzu และเริ่มต้นความสัมพันธ์
กับทาง Toyota แทน อย่างไรก็ตาม Toyota ยังไม่ได้มีอิทธิพลต่อแนวทางการพัฒนา
รถรุ่น “Last Minorchange” รุ่นนี้เพราะว่ามันเปิดตัวก่อนที่การเซ็นสัญญากับ Toyota
จะมีผล
ดังนั้นถ้าใครก็ตามพูดให้คุณได้ยินว่าเขาต้องการเล่น Impreza รุ่นสุดท้ายที่สร้างมา
โดยไม่มีอิทธิพลจาก Toyota อยู่ มันก็ต้องเป็นบอดี้นี้ล่ะครับ
รถรุ่นใหม่นี้ จุดที่เปลี่ยนคือไฟหน้า กระจังหน้า ฝากระโปรง กันชน แก้มหน้า และไฟท้าย
ผลของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ทำให้ความยาวของรถเพิ่มจาก 4,415 ไปอยู่ที่ 4,465 ม.ม.
แต่มิติความกว้างและความสูงรวมถึงระยะฐานล้อยังมีตัวเลขเช่นเดียวกับรุ่นที่ผ่านมา
การเปิดตัวมีขึ้นในวันที่ 16 มิถุนายน 2005 อย่างไม่เอิกเกริกเท่ารุ่นที่ผ่านๆมา โดยไลน์อัพ
เริ่มต้น ก็ประกอบไปด้วยผู้เล่นหลักอย่าง WRX, Sports Wagon WRX, WRX STi
และ WRX STi Spec C เช่นเคย
รุ่น 2.0WRX ยังมีรายละเอียดทางด้านเครื่องยนต์เหมือนเดิม คือใช้เครื่องแบบ
2.0 ลิตร 250 แรงม้า แรงบิดสูงสุดยังอยู่ที่ 34.0 ก.ก.-ม. เท่าเดิม เกียร์ที่ใช้ก็เป็น
เกียร์เฟืองท้าย 4.44 5 สปีดตัวเดิม แต่ภายนอกสิ่งที่เปลี่ยนไปนอกจากบอดี้หลัก
ก็คือล้ออัลลอย 7 ก้านลายใหม่ ซึ่งในรุ่นซาลูนจะพ่นสีทองในขณะที่ตัว Sports Wagon
จะพ่นเป็นสีเงิน ห่อหุ้มด้วยยาง 215/45/17 และระยะ PCD น็อตล้อยังเป็น 5 รู 100 อยู่
รถรุ่น 4 ประตูเดิมจากโรงงานจะไม่มีสปอยเลอร์ แต่ลูกค้าสามารถสั่งติดตั้งสปอยเลอร์
ทรงสูงเหมือนของ WRX STi ได้
ภายในนั้นคอนโซลแม้จะดูเหมือนอัพเดทที่สองของรุ่นหน้าเหยี่ยว แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปแน่ๆ
คือมาตรวัดความเร็วซึ่งจากเดิมจะหมดที่ 180 คราวนี้จะให้มาเต็ม 260 ก.ม./ช.ม. ไม่ว่า
จะซาลูนหรือแวก้อน จะ WRX หรือ STi ก็จะบอกค่าความเร็วเท่านี้เหมือนกัน สีสันการ
ตกแต่งภายใน แม้ว่าตัว Sports Wagon จะยังเล่นโทนสีดำ/เทาอยู่ แต่รุ่น 4 ประตูนั้น
จะเปลี่ยนวัสดุหุ้มเบาะและแผงประตูเป็นสีน้ำเงิน ทำให้แลดูใกล้เคียงรุ่น STi มากขึ้น
ส่วนตัว STi นั้น นอกจากสปอยเลอร์หลังจะมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่ารุ่นก่อนแล้ว ยังมีสปอยเลอร์
ริมหลังคาที่ทำมาจากอะลูมิเนียมมาให้อีกด้วย ในขณะที่ช่องดักอากาศบนฝากระโปรงหน้า
ซึ่งเคยมีขนาดใหญ่โตจะถูกหดให้เล็กลงจนเท่ากับ WRX ธรรมดา ด้านท้ายรถส่วนล่าง
จะมีดิฟฟิวเซอร์ช่วยรีดอากาศจากใต้ท้องรถให้ออกไปได้เร็วขึ้น ช่วงล่างถูกปรับให้มี
การซับแรงกระแทกได้ดีขึ้นโดยจังหวะยุบช่วงแรกของโช้คอัพจะนุ่มลงกว่ารุ่นเดิม
สาเหตุที่มีการเปลี่ยนแปลงดังที่กล่าวไปนั้นก็เพราะ Subaru เองเริ่มต้องการพัฒนารถให้มี
บุคลิกการตอบสนองคล้ายรถยุโรปมากขึ้น โดยแต่ก่อนนั้นเป้าหมายหลักในการแข่งขัน
มักจะอยู่ที่ Lancer Evolution แต่ในเวลานี้วิศวกร Subaru ได้นำรถเยอรมันอย่าง
BMW M3 E46 เข้ามาเป็นตัวเทียบวัดมาตรฐานในเรื่องการทรงตัวที่ความเร็วสูงด้วย
ทำให้มีองค์ประกอบทางแอโร่ไดนามิกส์และการเซ็ตช่วงล่างชนิดที่ต้องวิ่ง 240-250 ได้นิ่งๆ
ทางด้านเครื่องยนต์ ก็ยังเป็น EJ207 คอแดง Twin-Scroll Turbocharger อยู่ แต่ก็ได้มี
การปรับจูน ECU ใหม่ทำให้แม้แรงม้าจะยังอยู่ที่ 280 แรงม้าที่ 6,400 รอบต่อนาที
ก็ยังได้แรงบิดเพิ่มจาก 42.0 เป็น 43.0 ก.ก.-ม. ที่ 4,400 รอบต่อนาที อัตราทดเกียร์
และเฟืองท้ายยังคงเหมือนเดิม แต่มีการปรับปรุงระบบ DCCD ใหม่ โดยการนำเอาผลจาก
เซ็นเซอร์วัดองศาการเลี้ยวของล้อและแรงจีเข้ามาเพื่อช่วยให้ระบบสามารถประมวลผล
ได้แม่นยำกว่าเดิม (Subaru มักโดน Evo เล่นงานด้วยระบบเฟืองท้าย AYC อิเล็กทรอนิกส์
มาตลอด มาคราวนี้ขอคุณสูบนอนลองเล่นกับระบบไฟฟ้าแบบเต็มๆดูบ้าง) แน่นอนว่า
ผู้ขับยังสามารถเลือกโหมด Auto ได้ หรือจะปรับอัตราการล็อค Center Diff. เองก็ได้
แต่ส่วนหนึ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือ ในรุ่นที่แล้ว DCCD จะสามารถถ่ายกำลังไปล้อหลังได้
มากสุด 65% ส่วนในรุ่นใหม่หน้าหมูนี้จะหากปรับไปตำแหน่ง Manual แล้วกดลงจนสุด
อัตราส่วนการกระจายพลังหน้า/หลังจะอยู่ที่ 41:59
ส่วนตัว WRX STi Spec C ซึ่งปกติมักจะอยู่กับหางหลังแบบเตี้ยมาโดยตลอด คราวนี้
ได้อัพเกรดเป็นหางหลังใหญ่สมใจอยาก (แม้กระทั่งรุ่น “ถอดหมด” ที่เป็นล้อเหล็กก็ยังอุตส่าห์
ได้หางหลังกับเขาด้วย) แน่นอนว่ามีสปอยเลอร์หลังคามาให้เช่นเดียวกับตัว WRX STi
เบาะนั่งจากเดิมเป็นโทนสีดำ/น้ำเงิน มาคราวนี้กลับถูกเปลี่ยนเป็นโทนดำ/เทาแทน แต่
ทรวดทรงของเบาะยังเหมือนกับตัว WRX STi
รถตัว Spec C นี้ยังคงมีความพิเศษเหนือรุ่น STi ปกติตามสไตล์ที่เป็นมาโดยตลอด
กล่าวคือกระจกเป็นแบบบางเพื่อลดน้ำหนัก ตัวถังบริเวณเบ้าโช้คหน้าและบอดี้ระหว่าง
แก้มกับโครงสร้างใต้เสา A-Pillar โดยใช้วิธีติดตั้งตัวค้ำเสริมความแข็งหรือไม่ก็
ได้รับการเชื่อมเหล็กเสริมความแข็งแรงเพิ่มขึ้นกว่าปกติ มีถังเก็บน้ำฉีดอินเตอร์คูลเลอร์
ขนาดใหญ่กว่า ซึ่งติดตั้งไว้ด้านท้ายรถ และแน่นอนว่าได้เทอร์โบที่เป็นแกนแบบ
Ball Bearing ซึ่งช่วยให้ติดบูสท์ได้ไวและตอบสนองต่อคันเร่งได้เร็วกว่า
การปรับแต่ง/ตัดอุปกรณ์ส่วนต่างๆ รวมถึงแผ่นซับเสียง และลดขนาดถังน้ำมันจาก 60 ลิตร
ในรุ่นธรรมดาเหลือ 50 ลิตร (Spec C กับพวก RA มักเป็นอย่างนี้มาตลอดอยู่แล้ว) ทำให้
น้ำหนักตัวถังลดจาก 1,460 ก.ก. ในรุ่น STi เหลือ 1,390 ก.ก.
ฺBest Motoring ของญี่ปุ่น เคยทำการทดสอบอัตราเร่งของ Spec C เอาไว้ โดยสามารถ
วิ่งควอเตอร์ไมล์ได้ภายในเวลา 13.15 วินาที ส่วน WRX STi ที่ตัวหนักกว่านั้น ทำตัวเลข
เอาไว้ 13.58 วินาที
วันที่ 17 สิงหาคม 2005 มีการเผยโฉมรถWRX WR-Limited รถรุ่นพิเศษแบบผลิต
จำกัดเวลา ทำขึ้นมาฉลอง (ฉลองอะไรกันบ่อยจัง) การแข่งขัน Japan Rally ในปี 2005
การตกแต่งและธีมรถไม่ต้องพูดอะไรมากครับ นึกหน้าเหยี่ยวตัว WR-Limited ไว้ มันก็
มีลักษณะคล้ายกัน ล้ออัลลอย 5 ก้านของ RAYS เหมือนกัน ใช้เครื่องจากตัว WRX 250 ม้า
เหมือนกัน มีทั้งเกียร์ธรรมดาและอัตโนมัติให้เลือกเช่นเดียวกัน แต่ความพิเศษอยู่ตรงที่..
ซื้อ WR-Limited 2005 วันนี้ แถมฟรี! โมเดลคิทเครื่องของ Impreza ตัวแข่ง WRC
เอาไปตั้งโชว์เก๋ๆได้เลย ..นี่ไม่ได้ล้อเล่นนะครับ
ดูเหมือนว่ารุ่นหน้าเหยี่ยวมีการตกแต่งแบบไหน..หน้าหมูก็แค่ CTRL+C และ CTRL+V
เอามาแปะเลย แค่เปลี่ยนโฉมหน้ากับรายละเอียดอื่นๆตามเท่านั้น ในเดือนกันยายน 2005
เจ้า WRX STi Spec C Type RA ก็ตามมาติดๆ รถรุ่นนี้ก็คือ STi Spec C นั่นเอง
แต่ถูกอัพเกรดให้มีลักษณะเป็นรถแข่งมากขึ้นด้วยลิ้นหน้าและปีกหลังคาร์บอนไฟเบอร์
โช้คอัพ STi สตรัท/สปริงสีชมพูที่สามารถปรับระดับความแข็งได้ เหล็กกันโคลงหลัง
ใหญ่ขึ้นกว่า Spec C รุ่นปกติ ท่อไอเสีย STi ล้ออัลลอย 17 นิ้วลาย 12 แฉกของ STi
ส่วนภายในมีเบาะบัคเก็ตซีทสีดำ แอร์ออโต้ แผงคอนโซลกลางเปลี่ยนจากวัสดุสีเงิน
เป็นสีดำ
ทางด้านเครื่องยนต์และเกียร์..เช่นเคยครับ ลอกสเป็คมาจากตัว STi Spec C ได้เลย
ทั้งแรงม้า แรงบิดและอัตราทดเกียร์เท่ากันเด๊ะ น้ำหนักตัวถังก็ 1,390 ก.ก. เท่า Spec C
ถังน้ำมัน 50 ลิตรเท่ากัน ส่วนเรื่องจำนวนการผลิต คราวนี้ Subaru ใจดีเพิ่มจาก
300 คันเป็น 350 คัน แต่มีเงื่อนไขเพิ่มขึ้นมาว่าจะรับออเดอร์รถถึงเดือนพฤศจิกายน
2005 เท่านั้น หลังจากนั้นถึงขายไม่หมดก็จะเลิกผลิต..ไม่รู้จะตั้งเงื่อนไขมาทำไมในเมื่อ
ยังไงๆก็ขายหมดแน่ๆอยู่แล้ว?
วันที่ 19 ธันวาคม 2005 หลังจากจบงาน Tokyo Motorshow ได้ไม่กี่สัปดาห์
Subaru ก็เปิดตัว “The Prince of Impreza” นั่นก็คือ S204 นั่นเอง แนวคิดการพัฒนา
ตัวรถก็ยังคงสืบทอดจากรุ่น S203 โดยใช้ WRX STi เป็นรถพื้นฐานในการสร้าง
(ถังน้ำมันเป็น 60 ลิตรเต็ม ไม่ใช่ 50 ลิตรแบบ Spec C) เครื่องยนต์ก็สร้างขึ้นมาใน
ลักษณะเดียวกับ S203 คือ Hand-balanced เพลาข้อเหวี่ยงด้วยมือช่างเครื่อง
ใช้เทอร์โบขนาดโข่งใหญ่กว่า STi ปกติ และใช้ท่อยางอินเตอร์คูลเลอร์แบบพิเศษ
แรงม้าในสเป็คแจ้งมาเท่า S203 คือ 320 แรงม้าที่ 6,400 รอบต่อนาที แต่การจูน
ECU ใหม่ ก็ทำให้แรงบิดเพิ่มขึ้นเป็น 44.0 ก.ก.-ม. ที่ 4,400 รอบต่อนาที
สำหรับสมรรถณะอัตราเร่งเท่าที่ทราบ Best Motoring ของญี่ปุ่นเคยทดสอบ
เอาไว้ในเดือนกันยายนปี 2006 มันสามารถวิ่งควอเตอร์ไมล์ได้ภายใน 12.88 วินาที
โน้ตเอาไว้เลยว่านับจาก S204 มาจนถึงปี 2015 นี้ ไม่ว่าจะออกตัวพิเศษมากี่ตัว
จากโรงงานหรือจาก STi แรงม้าสูงสุดจะปักหลักอยู่ที่ 320 เท่านี้ แรงบิดสูงสุดก็
จะไม่มากไปกว่านี้เช่นกัน แม้ว่าในรุ่นหลังๆมาจะมีช่วงรอบแรงบิดกว้างขึ้นก็ตาม
ภาพบนนั้นเป็นภายในของ S204 ส่วนภาพล่างเป็น WRX STi สเป็คไทย ลองสังเกต
ความต่างดูได้ครับ คอนโซลกลาง S204 จะเป็นสีดำ โลโก้ตรงกลางพวงมาลัยจะขลิบขอบ
สีเงิน ครอบคันเกียร์อะลูมิเนียมจะหนากว่า STi ปกติ และชุดเครื่องเสียงที่มีช่องว่างมา
1 ช่องนั้นก็เพราะถ้าเป็นรถญี่ปุ่นจะมีช่องใส่เครื่องเล่น MD ให้ และลองสังเกตดีๆ
จะเห็นด้วยว่าก้านไฟเลี้ยวรถสเป็คญี่ปุ่น กับรถสเป็คไทย อยู่คนละด้านกันด้วย
เบาะของ S204 นั้นทำโดย Recaro และเป็นเบาะแบบ Light Weight Seat
ภายในจะเป็นโทนสีดำ/เทา ซึ่งบรรยากาศห้องโดยสารภาพรวมก็ยังไม่หนี
จาก S203 รุ่นที่แล้วเท่าไหร่นัก
S204 ในญี่ปุ่นตั้งราคาขายเอาไว้แพงมหาโหดที่ 4,809,000 เยน (เช่นเคย..แพงกว่า Spec C
Type RA เป็นล้าน) แต่รถคันที่เห็นอยู่ในภาพนี้ เป็นรถล็อตพิเศษที่กลุ่มตันจง Subaru สิงคโปร์
ตัดเอามาขายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยได้โควต้ามาทั้งสิ้น 30 คัน และบนคอนโซล
ก็จะมีเลขตอกเอาไว้ให้ทราบด้วยว่าคันที่คุณนั่งอยู่นั้นเป็นคันที่เท่าไหร่จากจำนวน 30 คัน
ราคาขายในประเทศไทยในเวลานั้นผมได้สอบถามคุณอภิชัยมา เจอตัวเลข 5,500,000 บาทเข้าไป
ก็แทบร้องแล้วครับ WRX STi เครื่อง 2.5 สเป็คไทยเวลานั้นยังขายกัน 3,950,000 บาทนะ
S204 มีการผลิตออกมาทั้งสิ้น 600 คัน โดยรถเกือบทุกคันจะมีป้ายตอกบอกเลขที่เอาไว้
ยกเว้นรถจำนวนหนึ่งที่ถูกส่งไปขายในนิวซีแลนด์ ซึ่งด้วยเหตุอันใดก็ไม่ทราบไม่มีการตอกป้ายไว้
และเดือนธันวาคม 2005 นั้นเอง.. V-Limited..เอ้าฉลองอีกแล้วครับ ฉลองกันเข้าไป
แต่คราวนี้ฉลองเพราะนักแข่ง Toshi Arai คว้าแชมป์รุ่น Production Car World
Rally Championship ดังนั้น Subaru ก็เลยไปคว้าเอา WRX STi Spec C มาแล้วก็
จับใส่ล้อ 10 ก้านที่พ่นเป็นสีเงิน แปะสติกเกอร์ทีมแข่งที่ด้านข้างและที่หางหลัง
แปะป้ายบ่งบอกชื่อรุ่นพิเศษด้านท้ายรถ จากนั้นก็เอาเบาะกับแผงประตูสีน้ำเงินจาก
STi มาใส่แทนชุดภายในดำของเดิม ตั้งราคาขายไว้ 3,549,000 เยน มีให้เลือกเพียง
สีเดียวคือสีน้ำเงินที่เห็น ซื้อวันนี้แถมฟรีชุดมีด/เครื่องมือพับได้เอนกประสงค์เก๋ๆ
อย่าลืมสอบถามหาสินค้าดังกล่าวจากพ่อค้าเซียงกงที่ท่านตัดรถจากเขามาก็แล้วกัน
เข้าสู่ปีสุดท้ายของโมเดล Subaru ก็ยังคงเผยโฉมรุ่นใหม่ของ Impreza ออกมา
แต่เป็นรถ STi ที่ต่างกันอย่างสุดขั้วสองประเภท และเป็นรุ่นที่มีลักษณะเฉพาะตัว
อย่างที่ไม่เคยทำไม่ก่อน คันแรกเลยเปิดตัวเดือนมิถุนายน 2006 ใช้ชื่อว่า
Impreza WRX STi A-Line ซึ่งทำออกมาเพื่อจับตลาดลูกค้าที่ชอบความแรง
และมันส์อย่างที่ WRX STi มี แต่ชอบ Look ที่ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น มีกลุ่มเป้าหมายที่อายุอานาม
มากกว่า WRX STi รุ่นอื่นๆ สีภายนอกก็มีให้เลือกแค่สีเทาตามที่เห็นในภาพ กับสีดำเท่านั้น
ล้อลายสิบก้านเหมือน STi แต่ถูกพ่นเป็นสีเงิน มีลิ้นหน้าเสริมชายล่างลงมา (ซึ่งแปลกที่
WRX STi มีบรรดาสารพัดปีกกลับต้องสั่งชิ้นนี้เป็นออพชั่น) ด้านท้ายจะไม่มีทั้งสปอยเลอร์
หลังคา และหางหลังใหญ่ แต่ให้ตูดเป็ด (เป็นเป็ดที่ตัวเล็กมาก) มาแก้เขิน มีไฟตัดหมอก
ติดตั้งในกันชนมาให้ (รุ่นอื่นไม่มีเลย) ส่วนภายในก็มีคอนโซลกลางชุดสีดำเหมือน S204
และเบาะ STi ทรงเหมือนรุ่นปกติ แต่เป็นสีดำ เครื่องยนต์และอัตราทดเกียร์เหมือน STi
ตัวธรรมดา น้ำหนักตัวรถที่แจ้งมาก็เท่ากันครับ ราคาตั้งเอาไว้ 3,444,000 เยน (แพงกว่า
STi อยู่ 42,000 เยน)
ส่วนตัวเด็ดที่สอง เรียกได้ว่าไม่มีรุ่นไหนจะฮาร์ดคอร์ไปกว่านี้อีกแล้วเพราะมันคือ
Impreza WRX STi Spec C Type RA-R โดย RA นั้นย่อมาจาก “Record Attempt”
อย่างที่เรารู้กัน ส่วน R ตัวท้ายสุดมาจากคำว่า “Radical” ที่แปลได้หลายความหมาย
คือ “กลับไปสู่พื้นฐาน” , “ชัดเจน”, หรือ “อย่างรุนแรง” ซึ่งก็ไม่แปลกที่จะเลือกใช้
คำนี้ เพราะนั่นก็คือ Concept ที่อธิบายตัวตนของ RA-R ได้อย่างชัดเจนที่สุด
RA-R คือรถที่ผสานเอกลักษณ์ของ Spec C Type RA กับ S204 เข้าไว้ด้วยกันกล่าวคือ
น้ำหนักเบา ใช้ถังน้ำมัน 50 ลิตร กระจกบาง เหล็กหลังคาและแก้มบาง และใช้วิธีการ
ลดน้ำหนักจนตัวถังเบาแค่ 1,390 ก.ก. เหมือน Spec C Type RA แน่นอนว่าช่วงล่างก็
เป็นแบบกดเตี้ยกว่าปกติ 15 ม.ม. สตรัท STi ชมพู ปรับความแข็งได้ เหล็กกันโคลงใหญ่
ปีกนกอะลูมิเนียมครบเซ็ต ค้ำหลังล่าง เบ้าโช้คและโครงสร้างใกล้ผนังห้องเครื่องก็ถูกเสริม
ความแข็งแกร่งมาเช่นกัน ต่อจากนั้นก็นำทุกสิ่งอย่างมารวมกัน แล้วบวกเข้ากับเครื่องยนต์
ตัวแรงสุดจาก S204 ซึ่งมีแรงม้า 320 แรงม้าที่ 6,400 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 44.0
ก.ก.-ม. ที่ 4,400 รอบต่อนาที คลัตช์ที่ใช้เป็นคลัตช์ซิ่งของ STi ส่งกำลังสู่เกียร์ธรรมดา
6 จังหวะ อัตราทดเท่ากับ STi รุ่นอื่นๆ
สิ่งที่เพิ่มเข้ามาเป็นพิเศษสำหรับรุ่น Type RA-R ก็คือเบรกหน้าแบบ 6 Pot คาลิเปอร์
ขนาดโตพิเศษพร้อมจานเบรกแบบเซาะร่องระบายความร้อนบนหน้าจาน ล้ออัลลอยจะ
เป็นของ Enkei (ทำให้ STi) ขนาด 18 นิ้วกว้าง 8.5 นิ้ว ห่อหุ้มด้วยยางขนาด 235/40/18
และกระจังหน้าตรงขอบๆจะเป็นสีชมพู (ต้องมองใกล้ๆจะเห็น)
ภายในนั้นดูออกจะคล้ายกับ Spec C Type RA แต่จุดต่างจะอยู่ที่ ผ้าหุ้มเบาะ RA ผ้า
ตรงกลางสีจะดำเข้มกว่าขอบนอกและปีก ส่วน RA-R นั้นผ้าตรงขอบจะมีสีโทนเข้ม
กว่าตรงกลาง แต่ก็มีโลโก้ STi สีแดงปักอยู่เหมือนกัน และ RA-R จะได้หัวเกียร์แบบ
Duracon แข็ง แต่จับถนัดมือมาแทน
สิ่งที่แปลกคือ RA-R เป็นนักรบไร้ปีก ไม่มีสปอยเลอร์หรือหางหลังอะไรเลย
เรื่องนี้ Subaru บอกว่าต้องการให้ลูกค้ามีสิทธิ์เลือกได้เองว่าจะเอาหรือไม่เอา
ถ้าใครชอบแบบมีปีก ก็สามารถสั่งหางหลังทรง S204 ได้ แต่หางออพชั่นของ
RA-R นั้นจะทำมาจากคาร์บอนไฟเบอร์ นอกจากนี้ถ้าใครอยากดูหรูขึ้นก็สามารถ
สั่งเปลี่ยนล้อขาวเป็นล้อ BBS ขอบ 18 นิ้วลายเดียวกับ S204 ได้เช่นกัน
Impreza WRX STi Spec C Type RA-R นี้จะผลิตในจำนวนจำกัดแค่ 300 คันเท่านั้น
มีสีให้เลือก 3 สีคือขาว, น้ำเงิน WR และสีเหลือง Vivid ซึ่งรถ RA-R สีเหลืองนั้น
จะมีการผลิตออกมาแค่ 50 คัน ราคาที่ตั้งไว้ 4,284,000 เยน ซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่าง
Spec C Type RA และ S204..แต่ไม่ต้องห่วง เพราะขายหมดภายใน 2 เดือน
ในปี 2006 ตลาดยุโรปก็ได้รับการไมเนอร์เชนจ์ตามตลาดในญี่ปุ่น รุ่น WRX
ตลาดยุโรป เปลี่ยนเครื่องจาก 2.0 ลิตร เป็น 2.5 ลิตร EJ255 เทอร์โบพร้อมระบบ
AVCS อัตราส่วนกำลังอัด 8.0:1 ให้พลัง 230 แรงม้าที่ 5,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด
32.6 ก.ก.-ม. ที่ 3,600 รอบต่อนาที ซึ่งตัวเลขนี้ก็จะคล้ายกันกับรถในประเทศอเมริกา
ซึ่งจะมีอัตราส่วนกำลังอัดสูงกว่าเป็น 8.4:1 แต่แรงม้าเท่ากัน และแรงบิดลดลงเล็กน้อย
รถสเป็คอเมริกาจะเป็นชุดเบรกจากเบรกธรรมดามาเป็นหน้า 4 Pot หลัง 2 Pot เหมือนกับ
WRX ที่ขายอยู่ในตลาดญี่ปุ่น
ส่วนรุ่น STi ในอเมริกานั้นเท่าที่ดูจากสเป็ค 293 แรงม้า กับแรงบิด 40.0 ก.ก.-ม.แล้ว
อาจจะดูเหมือนมีการปรับลดแรงม้ากับแรงบิดลง แต่ที่จริงแล้วกำลังมันก็เท่าเดิม
เพียงแต่มีการปรับมาตรฐานการวัดของ SAE ใหม่เท่านั้นครับ
แต่ที่แน่ๆคือมีการปรับระบบ DCCD เหมือนรถสเป็คญี่ปุ่น จากเดิมที่เคยสามารถถ่ายแรงบิด
ส่งไปล้อหลังได้ 65% ก็จะลดเหลือ 59% โหมดปกติของระบบขับสี่จากเดิมที่กระจายกำลัง
35:65 ก็เปลี่ยนเป็น 41:59 ตามไปด้วยนอกจากนี้ยังมีการปรับอัตราทดเกียร์ 2,3,4
เพื่อให้สามารถเข้าเส้นควอเตอร์ไมล์ได้แบบพอดิบพอดีโดยไม่ต้องสับเกียร์ 5 เหมือนรุ่นก่อน
STi สเป็คออสเตรเลีย อังกฤษ สิงค์โปร์กับไทยจะใช้เครื่อง EJ257 2.5 ลิตรแบบเดียว
กับอเมริกา แต่อัตราส่วนกำลังอัดจะลดจาก 8.2 เหลือ 8.0:1 ทำให้แรงม้าลดลงเหลือ
280 แรงม้าที่ 5,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดเหลือ 40.0 ก.ก.-ม. ที่ 4,000 รอบต่อนาที
เท่านั้นยังไม่พอ ยังได้อัตราทดเกียร์ที่ยาวเอาไว้วิ่งข้ามทะเลทรายกิ๊บสันได้อีกต่างหาก
ดูจากตารางด้านล่างเอาก็ได้ เฉพาะเกียร์ 1 กับเฟืองท้ายเท่านั้นที่ WRX STi ทดมา
เหมือนกันทั่วโลก USA ได้เกียร์ 2,3,4 ยาวขึ้น บวกกับ 5,6 จากรุ่นเก่า ส่วนสเป็คบ้านเรา
กับออสซี่และอังกฤษ ได้เกียร์ 2,3,4 จาก USA บวกกับ 5,6 ที่ทดยาวหนักยิ่งกว่าเดิม
รถเครื่อง 2.5 ลิตร STi นั้นจะลากรอบได้สูงสุด 7,000 รอบต่อนาที หน้าปัดของรถทุก
ประเทศตอนนี้จะเป็นแบบเรืองแสงสีส้มมาให้แล้ว (แต่ขอโทษ.. WRX รุ่นธรรมดา
ที่เป็นตลาดนอกประเทศญี่ปุ่นจะยังเป็นหน้าปัดดำอักษรขาวเหมือนเดิมนะครับ-เพียงแต่
ย้ายวัดรอบมาอยู่ตรงกลางแล้วและเรดไลน์จะอยู่ที่ 6,500 รอบต่อนาที)
STi สเป็คประเทศอื่นๆนอกจากประเทศญี่ปุ่นในเวลานี้จะได้พวงมาลัยอัตราทด
15:1 ซึ่งไวเท่ากับ WRX STi รุ่นธรรมดาของญี่ปุ่น จากเดิมสมัยก่อนจะใช้พวงมาลัย
ทด 15.2:1 หรือ 16.5:1 แล้วแต่ตลาด
ในประเทศไทย Motor Image Thailand เคยเอารถตระกูล WRX เข้ามาขาย
ในราคา 2,590,000 บาท WRX STi และ STi-S ขายในราคา 3,950,000 บาท
และอย่างที่ได้เล่าไปแล้วว่าแม้แต่ S204 เราก็ได้โควต้ามาขายเหมือนกัน..
ในราคา 5,500,000 บาท
ที่เกาะญี่ปุ่นมี S204 กับ RA-R นอกเกาะออกมา เราก็มี Impreza ตัวแรงที่น่าจดจำ
อีกรุ่นหนึ่งเช่นกัน มันคือ Impreza RB320 ซึ่ง RB ก็คือชื่อย่อของนักแข่งแรลลี่
คุณ Richard Burns ที่ถูกเนื้องอกในสมองคร่าชีวิตไปก่อนวัยอันควรในปี 2005 ส่วน
320 ก็คือตัวเลขแรงม้านั่นเอง ทาง Subaru UK มอบหมายให้ Prodrive ช่วยปรับแต่ง
รถคันนี้ให้มีความพิเศษสุด เครื่องยนต์ถูกปรับจูนให้มีพลัง 320แรงม้า (PS) ที่ 6,000
รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 45.9 ก.ก.-ม. ที่รอบต่ำแค่ 3,700 รอบต่อนาทีเท่านั้น
(แรงเยอะกว่า S204 กับ RA-R และมาในรอบที่ต่ำกว่า) ช่วงล่างปรับลดความสูง
ด้านหน้าลง 30 ม.ม. และด้านหลังลดลง 10 ม.ม. ใช้สปริงของ Eibach กับโช้คอัพของ
Bilstein
ภายนอกมีล้อ 18 นิ้ว เฉพาะรุ่น ลิ้นหน้าชุดแต่ง และกระจังหน้าจะเป็นซี่ลวดสีเงิน
รวมถึงช่องดักลมที่กันชนด้วย นี่คือเอกลักษณ์ที่ไม่มี WRX STi ที่ใดในโลกเหมือน
RB320 มีให้เลือกเฉพาะสีดำ (เพื่อเป็นการไว้อาลัย) และจำหน่ายในจำนวนจำกัด
เพียงแค่ 320 คันเท่านั้น
Gen 2 Minorchange # 2: SPECS (คัดมาเฉพาะบางรุ่น)
.
THIRD GENERATION-Sporty, Casual, Compact
แนวทางความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ก็ส่งผลกับการพัฒนา Impreza
ตัวใหม่เช่นกัน แต่ไหนแต่ไรมา Subaru พึ่งพารถอย่าง WRX กับ STi ในการสร้างชื่อเสียง
มาโดยตลอด แต่พวกเขาก็ตระหนักดีว่าท้ายสุด โมเดลที่ขายดีนั้น กลับเป็นรถรุ่นธรรมดา
ที่ใช้เครื่องธรรมดาอย่าง EL15 หรือ EJ20 ไม่มีเทอร์โบ ดังนั้นทางวิศวกร Subaru จึงต้อง
ตั้งใจศึกษาค้นคว้าความต้องการหลักที่ลูกค้ากลุ่มนี้จะคาดหวังจากรถ C-Segment
คันใหม่ของพวกเขา และคำตอบที่ได้ก็คือการออกแบบรถให้มีพื้นที่ใช้สอยภายใน
กว้างขวางนั่งสบายขึ้น มีรูปร่างหน้าตาที่ดูภูมิฐานเป็นผู้ใหญ่ขึ้น มีภาพลักษณ์ที่เป็น
เด็กซิ่งน้อยลง
มันเป็นความต้องการที่ขัดกับขาซิ่งส่วนใหญ่บนโลกใบนี้ แต่ Subaru ในยุคหลังจาก
ปี 2007 เป็นต้นมา อยู่ในช่วงเวลาที่คำว่ากำไร-ขาดทุน มีความสำคัญมาก ดังนั้น
พวกเขาเลือกที่จะมองความต้องการของตลาดโลก และลูกค้าส่วนใหญ่ที่ซื้อรถ
รุ่นธรรมดาเป็นหลัก โดยรถรุ่นแรงๆ จะต้องใช้พื้นฐานจากรถรุ่นธรรมดานี้ล่ะ ในการ
ต่อยอด..มันก็คือการกลับไปสู่แนวคิดการออกแบบที่พวกเขาเคยใช้สมัยสร้าง
Impreza ตัวแรกนั่นเอง
Subaru ออกจดหมายเวียนไปยังสื่อมวลชนในวันที่ 3 เมษายน 2007 โดยใจความก็คือ
Impreza โฉมใหม่ จะเผยโฉมเป็นครั้งแรกในโลก ที่งาน New York International Auto Show
ซึ่งรอบสื่อมวลชนก็คือวันที่ 4-5 เมษายน (ตามเวลาที่ New York)
เรียกว่าเปิดผ้าคลุมให้ฝรั่งเห็นกันก่อนชาวอาทิตย์อุทัยเสียอีก..แต่กว่าจะได้เอารถลงถึง
โชว์รูมให้ชาวอเมริกันซื้อจริงๆนั่นก็รอจนเดือน มิถุนายน-กรกฎาคมนั่นล่ะครับ
สิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้กับผู้ที่ติดตามข่าวสารมากที่สุดก็คือการออกตัวถัง
5 ประตูแฮทช์แบ็คท้ายสั้น (ที่ไม่ใช่ Sports Wagon) มาขายควบคู่ไปกับตัว 4 ประตู
โดยยกเลิกการทำตลาดตัวแวก้อนไป เหลือเพียง 2 บอดี้นี้เท่านั้น สาเหตุที่เป็นเช่นนี้
ก็เพราะ Subaru มองเกมไกลไปถึงตลาดต่างประเทศอย่างเช่นตลาดอเมริกา, ออสเตรเลีย
และยุโรป พวกเขามีความรู้สึกว่าการพึ่งพายอดขายในประเทศเพียงอย่างเดียวนั้น ไม่ใช่
หนทางรอดที่ดีในระยะยาว อเมริกาซึ่งเป็นตลาดใหญ่ของ Subaru นั้นชื่นชอบรถ 4 ประตู
ในขณะที่ลูกค้าจากฝั่งยุโรปชอบรถแฮทช์แบ็คมากกว่า
จุดเปลี่ยนแปลงสำคัญของรถรุ่นใหม่ มีเพิ่มเติมดังนี้
1. ช่วงล่างหลัง เปลี่ยนเป็นแบบดับเบิลวิชโบน และออกแบบให้กินพื้นที่น้อยลงเพื่อให้
สามารถขยายความจุห้องเก็บสัมภาระข้างหลังได้มากขึ้น
2. ตำแหน่งของเครื่องยนต์ ถูกกดให้ต่ำลงกว่ารุ่นเดิม 22 ม.ม. เพื่อให้จุดศูนย์ถ่วงของรถอยู่
ต่ำลงกว่ารุ่นเดิม (อันนี้คือ Press Release ของ Subaru บอก)
3. แต่บอดี้รถ ก็สูงขึ้นกว่าเดิม เพื่อให้มีพื้นที่เหนือศรีษะหน้า-หลังโปร่งโล่งสบายขึ้น ตามที่
Subaru ได้บอกไว้ว่าจะเน้นบอดี้สไตล์ที่เอาใจตลาดส่วนใหญ่มากขึ้น (อันนี้ล่ะผมบอกเอง)
4. คานล่างของส่วนหน้ารถใช้เหล็กกล้าความแข็งแรงสูง ทำให้ใช้ความแข็งแรงในจุดนี้ไป
ลดจำนวนชิ้นส่วนของซับเฟรมหน้า (จุดยึดต่างๆของปีกนก) และทำให้น้ำหนักเบาลง
5. โครงสร้างหลักของตัวรถใช้ High-tensile steel เพิ่มขึ้น และตัดส่วนที่ไม่จำเป็นออก
มีความแข็งแรงเพิ่มมากขึ้น (โครงสร้าง Ring-shaped Reinforcement ก็ได้รับการพัฒนา
ให้ทนทานปลอดภัยยิ่งขึ้น) น้ำหนักเฉพาะตัวโครงสร้างของรถ เบาลงกว่ารุ่นเดิม 20 ก.ก.
6. ฐานล้อ ขยายยาวกว่าเดิมอย่างมาก จาก 2,525 ม.ม. เป็น 2,620 ม.ม. (WRX)
7. ติดตั้ง Vehicle Dynamic Control (VDC) ซึ่งช่วยในเรื่องเสถียรภาพการทรงตัว
และมีการเน้นให้ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกประเทศที่เข้าไปทำตลาดมากขึ้น
8. เป็น Impreza รุ่นแรกที่ใช้ประตูแบบมีกรอบกระจก (ที่ผ่านมา เอกลักษณ์ของ Subaru คือ
ประตูแบบไร้กรอบกระจกมาโดยตลอด) โดยวิศวกรให้เหตุผลว่าการมีเสากรอบประตู
ทำให้สามารถเก็บเสียงได้ดีกว่า และมีส่วนช่วยในเรื่องความแข็งแรงของโครงสร้างมากกว่า
9. ออกแบบบานประตูให้เปิดได้กว้างสุด 75 องศาเพื่อให้การเข้าออกรถสะดวกยิ่งขึ้น
10. แดชบอร์ดใหม่ มีชุด Multi Information Display อยู่ด้านบนสุด พร้อมกันนี้ยังปรับตัว
ให้เข้ากับยุคที่มีการใช้ระบบนำทางอย่างแพร่หลายด้วยการย้ายชุดเครื่องเสียง (หรือ Navi)
มาติดตั้งเหนือช่องเครื่องปรับอากาศ เพื่อให้อยู่ใกล้ระยะสายตาคนขับมากขึ้น
บอดี้ 5 ประตูแฮทช์แบ็ค จะใช้ชื่อว่า “GH” ในขณะที่รุ่น 4 ประตู จะใช้รหัสว่า “GE”
WRX ตลาดทั่วโลก (ยกเว้นญี่ปุ่น) ยังใช้เครื่องยนต์ EJ255 เหมือนเดิม แต่มีการปรับปรุง
หลายอย่าง เห็นได้ตั้งแต่เปิดกระโปรงรถแล้ว เพราะรูปทรงของอินเตอร์คูลเลอร์ จากเดิม
เป็นทรง 4 เหลี่ยมผืนผ้า ก็เปลี่ยนเป็นทรง 4 เหลี่ยมด้านเท่า ตามรถเทอร์โบรุ่นอื่นๆของค่าย
ในขณะนั้น แม้ว่าวิธีนี้จะทำให้หลอดแต่ละหลอดของไส้ในอินเตอร์คูลเลอร์สั้นลง แต่ก็
ชดเชยด้วยช่องทางการเข้าและออกของไอดีที่กว้างขึ้นกว่าเดิม ท่อไอดีใหม่ และเทอร์โบ
ใหม่ (แต่รหัสยังเป็น TD04 เหมือนเดิม) พร้อมกันนี้ยังได้ปรับการทำงานของระบบวาล์ว
แปรผัน AVCS และกล่อง ECU ใหม่ แรงม้าจะใกล้เคียงสเป็คเดิม (220 ในตลาดไทย
และออสเตรเลีย และ 224 ในตลาดอเมริกา) แต่ได้มาที่รอบการทำงานต่ำลงจาก 5,600
เหลือ 5,200 รอบต่อนาที แรงบิดยังอยู่ที่ 32.6 ก.ก.-ม. เช่นเดิม แต่ก็มาที่รอบต่ำลงเช่นกัน
จาก 3,600 เหลือ 2,800 รอบต่อนาที
สำหรับตลาดในประเทศญี่ปุ่นบ้านเกิด Subaru แถลงข่าวเปิดตัวรุ่นใหม่อย่างเป็นทางการ
ในวันที่ 5 มิถุนายน 2007 และต่างจากประเทศอื่นตรงที่มาเฉพาะรุ่น 5 ประตูเท่านั้น
(รุ่น 4 ประตู ที่ขายในชื่อ Impreza Anesis จะมาเปิดตัวทีหลังในเดือนตุลาคม ปี 2008 โน่น)
ตัวแรงของรุ่น ถูกเปลี่ยนชื่อจาก WRX เป็น S-GT ซึ่งก็ยังยืนยันที่จะใช้เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร
ในขณะที่ชาวบ้านชาวช่องประเทศอื่นๆเขาไป 2.5 ลิตรกันหมดแล้ว…แต่ก็อีกนั่นแหละ
รถสเป็คญี่ปุ่นก็ได้เครื่องที่แรงกว่าชาวบ้าน เพราะเครื่องยนต์ของ S-GT นั้นจะมีกำลังอัด
สูงกว่า WRX ประเทศอื่น และยังได้ท่อร่วมไอเสียแบบ Equal-length/Constant Pulsation
(อธิบายเรื่องนี้ไว้ในโมเดลตาเหยี่ยวแล้ว) ซึ่งช่วยให้เรียกพลังติดบูสท์ได้เร็วขึ้น
แรงม้าสูงสุดอยู่ที่ 250 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 34.0 ก.ก.-ม. เท่ารุ่นเดิม
แต่มาเร็วขึ้นมาก แค่ 2,400 รอบต่อนาทีเท่านั้น แถม Subaru ยังบอกด้วยว่าที่ 2,000 รอบ
แรงบิดก็มีให้ใช้มากกว่า 90% แล้ว
S-GT และ WRX ตัวใหม่ จะใช้โช้คอัพแบบที่ถูกปรับให้ซับแรงกระแทกได้มากขึ้น
มีความนุ่มนวลขับสบายมากขึ้น ยางที่ใช้ก็เปลี่ยนจาก 215/45 มาเป็น 205/50 ขอบ 17
ส่วนระบบเบรก เปลี่ยนจากชุดหน้า 4 Pot หลัง 2 Pot มาใช้คาลิเปอร์แบบธรรมดา
และข้างบนนี้คือ Subaru Impreza 2.5 WRX สเป็คไทยที่นำเข้ามาโดย MIT
เครื่องยนต์เป็นแบบ 220 แรงม้า (ถูกกดเอาไว้ไม่ให้เกินไปกว่านี้ เพราะไม่เช่นนั้นจะโดน
อัตราภาษีโหดเล่นงานเอา) เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ เฟืองท้าย 4.44 ในช่วงปีที่เข้ามา
จำหน่ายนั้นทาง MIT เปิดราคาไว้ 2,420,000 บาท เป็นราคาช่วงแนะนำตัว ซึ่งถือว่า
ถูกลงกว่ารุ่นเดิมแสนกว่าบาท
ผมได้มีโอกาสขับรถรุ่นนี้ คันในภาพที่เห็นนี้ในช่วงกลางปี 2008 และพบว่ามันเป็น
WRX ที่ผ่าเหล่าผ่ากอรุ่นอื่นมากที่สุดเท่าที่เคยพบมา ช่วงล่างนุ่มนั่งสบายกว่ารถบ้าน
หลายรุ่น ทิ้งโค้งทีย้วยบรรลัยเกิด (J!MMY บอกว่าคันนั้นเป็นโช้คอัพเกรดแล้วด้วยนะ)
เครื่องยนต์ติดบูสท์เร็วกว่ารุ่นเก่า แต่ก็มาเร็วและหมดเร็ว หลัง 5,000 รอบไป เข็มกวาด
แต่แรงจีไม่ค่อยมี เบรกติดรถเดิม ขับใช้งานในเมืองสบายมาก เบรกสั่งได้ แต่ถ้าออกรบ
จัดหนักสักครู่เดียว อาการเฟดมาเต็มๆ เบรกจม รถไหล ทำบาร์บีคิวผ้าเบรกได้ง๊ายง่ายสุดๆ
ของแรงอย่าง Impreza WRX STi ตามมาทีหลัง โดยในตลาดญี่ปุ่นมีการแถลงข่าวเปิดตัว
ในวันที่ 24 ตุลาคม 2007 ในงาน Tokyo Motor Show กันเลยทีเดียว ที่สำคัญ
คราวนี้ เป็นครั้งแรกที่รถ STi เปิดตัวมาโดยเป็นบอดี้แฮทช์แบ็คเท่านั้น ซึ่งในเรื่องนี้
Hiroshi Mori ซึ่งเป็นผู้จัดการใหญ่โครงการของ WRX STi บอกว่าการที่เลือกใช้ตัวถัง
แฮทช์แบ็ค ก็เพราะว่าต้องการสื่อการพัฒนาไปสู่รถที่ใช้สำหรับการแข่งแรลลี่ WRC ซึ่งในช่วง
เวลาดังกล่าวนั้น พบว่ารถแข่งที่เป็นตัวถังแฮทช์แบ็คมีสมรรถณะที่ดีกว่าและสามารถออกแบบให้
จัดการเรื่องแอโร่ไดนามิกส์กับการบังคับควบคุมได้ดีกว่าสำหรับการแข่งแรลลี่ Petter Solberg
แชมป์ WRC ปี 2003 ซึ่งเป็นนักขับทดสอบให้กับ Subaru ก็มีความเชื่อในแบบเดียวกัน
WRX STi ตัวใหม่ จะใช้ตัวถังแบบ Wide Body ที่แตกต่างจาก WRX หรือ S-GT ความกว้าง
ตัวถังเพิ่มขึ้น 55 ม.ม. เป็น 1,795 ม.ม. นี่จึงกลายมาเป็นต้นกำเนิดของฉายา “แมวผอม”
ซึ่งหมายถึง Impreza ทั่วไปกับ WRX และ “แมวอ้วน” ซึ่งก็คือรถ STi Wide Body
(และที่บ้านเราก็เรียกโฉมนี้กันว่าหน้าแมว..หลังจากที่เป็นมาหมดแล้วไม่ว่าตากลม หน้าเหยี่ยว
หน้าหมู ดีที่ไม่ลามไปถึงสัตว์สี่เท้าประเภทอื่น) รหัสตัวถังเปลี่ยนจาก “GH” ในรุ่นธรรมดา
เป็น “GRB” แทน รูปทรงภายนอกมีมัดกล้ามกำยำ ออกแบบตามแนวคิด “Pure Form
for Driving” กันชนหน้า ช่องดักลมหน้าเฉพาะรุ่น และสปอยเลอร์หลังขนาดใหญ่
เครื่องยนต์ที่ใช้ ก็ยังเป็น EJ207 คอแดงอยู่ (บอกแล้วว่าบล็อคนี้อยู่ยงคงกระพัน)
แต่ได้รับการปรับปรุงใหม่ ลิ้นคันเร่งเป็นแบบไฟฟ้า (ในบางตลาดจะใช้ลิ้นไฟฟ้าตั้งแต่
รุ่นที่แล้ว) เสื้อสูบออกแบบใหม่ให้ทนทานขึ้นด้วยการทำผิวข้างนอกเป็นริ้ว
มีระบบวาล์วแปรผันทั้งฝั่งไอดีและไอเสีย (Dual AVCS) นอกจากนั้นก็ยังมีการ
ปรับอินเตอร์คูลเลอร์ให้มีครีบระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพขึ้น เปลี่ยนดีไซน์
กังหันฝั่งไอดีของเทอร์โบให้ดันบูสท์เวลาถอน-เหยียบคันเร่งได้ดีกว่าเดิม
ผลที่ได้คือพลัง 308 แรงม้า ที่ 6,400 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 43.0 ก.ก.-ม.
ที่ 4,400 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ อัตราทดสเป็คญี่ปุ่น
เท่ารุ่นเดิม แต่ระบบ DCCD ของเดิมนั้นถูกพัฒนาใหม่ให้กลายเป็น M-DCCD
(Multi Mode Driver’s Control Center Differential) ซึ่งข้อแตกต่างจะอยู่ที่
โหมดอัตโนมัติ จากเดิมจะมีแต่ “Auto” เพียงอย่างเดียว แต่ของใหม่นั้นจะมีโหมด
“Auto+” กับ “Auto -” เพิ่มเข้ามา
โหมด Auto+ นั้นระบบจะจัดการ Center Differential รวมถึงอัตราการล็อคของเฟือง
และการกระจายแรงขับล้อหน้า/หลัง โดยมุ่งเน้นไปที่การพยายามรักษาทิศทางของรถ
เหมาะกับการขับบนทางลื่นๆที่ต้องการเสถียรภาพสูง โดยรถจะพยายามคงการถ่ายกำลัง
หน้าหลังเอาไว้ให้ใกล้เคียง 50:50 มากที่สุด ในขณะที่โหมด Auto – จะมุ่งเน้นการขับขี่
ที่สนุกสนาน รวดเร็ว พวงมาลัยคม เลี้ยวแล้วรถหันไปตามทางไวขึ้น ในบางโอกาสอาจจะ
ออกอาการท้ายปัดได้นิดๆด้วย การถ่ายกำลังจะพยายามยันไว้ที่ 41:59 ส่วนโหมด “Auto”
เฉยๆก็คือเป็นอัตโนมัติทุกอย่าง รถจะเลือกเปลี่ยนสับตัวเองไปๆมาๆระหว่างโหมด Auto +
กับ – ตามเหมาะสม
นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มสวิตช์ SI-Drive ซึ่งเป็นระบบที่ควบคุมนิสัยการตอบสนองของ
คันเร่ง (อยู่ตรงคอนโซลกลางติดกับสวิตช์เลือก M-DCCD) ซึ่งสามารถเลือกได้ระหว่าง
I-Intelligent (ซึ่งบางครั้งผมก็เรียกว่า Idiot) ที่จะพยายามรักษาองศาการเปิดปิดของลิ้น
คันเร่งให้นุ่มนวล เน้นประหยัดน้ำมันและขับสบาย แล้วก็จะมีโหมด Sport ที่ทำให้คันเร่ง
ตอบสนองตามเท้าอย่างเป็นกลางและทันใจ ส่วนโหมด Sport# นั้นจะเหมาะสำหรับคนที่
ชอบกดคันเร่งแบบทิ่มจึกแล้วรถพุ่งไปไวๆ หรือกดแค่ครึ่งเดียวรอบและความเร็วไหลไปตึงๆ
ช่วงล่างของ WRX จะได้สปริงและโช้คอัพที่มีความแข็งกว่า S-GT มาก และยังได้สตรัท
ชุดด้านหน้าเป็นแบบ Inverted Strut (หรือ Upside Down ตามแต่จะถนัดเรียก) ซึ่งมีความ
ทนทานต่อแรงกระแทกสูงกว่าและออกแบบให้สามารถคุมจังหวะการยุบยืดได้ดีกว่า
รถ WRX STi ในสเป็คญี่ปุ่นนี้จะมีเบาะแข่ง Recaro ให้เลือกเป็นออพชั่นได้ ส่วนเบรกนั้น
ก็เป็นเบรก Brembo มาให้จากโรงงานเช่นเคย เปลี่ยนสายเบรกเป็นแบบทนแรงดันสูงกว่าเดิม
และเพิ่มเหล็กยึดหม้อลมมาให้จากโรงงาน ขนาดของล้อที่ใช้ในรุ่นราคาถูกสุดจะใช้ล้ออัลลอย
17 นิ้วลายเดียวกับรุ่นที่แล้ว แต่เอามาพ่นสีเงิน และห่อด้วยยาง 235/45/17 ส่วนรุ่นสูงขึ้นไป
จะใช้ล้อ 5 ก้านขอบ 18 นิ้วของ STi กับยาง 245/40/18 โดยถ้าลูกค้าไม่ชอบทั้งสองลาย
ก็ยังสามารถเลือกออพชั่นล้อ BBS ขอบ 18 นิ้วได้อีกเช่นกัน น้ำหนักตัวรถ รุ่นล้อขอบ 18 จะ
อยู่ที่ 1,480 ก.ก.
หันมาดูที่ตลาดนอกประเทศญี่ปุ่นกันบ้าง STi สเป็คอเมริกาเริ่มต้นขายในเดือนมีนาคม
ปี 2008 บอดี้ตัวรถและภายในก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกับเวอร์ชั่นญี่ปุ่น
รวมถึงได้ระบบ M-DCCD แบบใหม่เช่นเดียวกัน แต่ความต่างโดยหลักๆจะอยู่ที่
เครื่องยนต์ ซึ่งสเป็คอเมริกาจะยังใช้เครื่อง EJ257 ซึ่งเป็นเครื่อง 2.5 ลิตร มีเทอร์โบ
แบบธรรมดา ไม่ใช่ Twin-scroll แบบของญี่ปุ่น แต่กระนั้นก็มีการเปลี่ยนชิ้นส่วนต่างๆ
ใหม่ ยกตัวอย่างเช่นเสื้อสูบมีการหล่อเสื้อให้มีร่องขีดเพื่อเพิ่มความแข็งแรง ก้านสูบ
แข็งแรงขึ้น เปลี่ยนลูกสูบหล่อแบบ Hypoeutectic มาเป็นลูกสูบฟอร์จ เทอร์โบที่ใช้
เป็นของ IHI RHF-5 VF-48 อัดบูสท์ 14.7PSI (1 บาร์) เข้าสู่ห้องเผาไหม้ที่มี
อัตราส่วนกำลังอัด 8.2:1 (เท่ารุ่นที่แล้ว) สร้างแรงม้าได้ 305 แรงม้าที่ 6,000 รอบ
ต่อนาที แรงบิดสูงสุด 40.0 ก.ก.-ม. เท่ารุ่น STi หน้าหมู US แต่มาที่รอบต่ำลง จากเดิม
4,400 เหลือ 4,000 รอบต่อนาที
อีกจุดหนึ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงคือเรดไลน์ จากเดิมลากได้ 7,000 รอบ มาคราวนี้ถูกลด
เหลือ 6,700 รอบต่อนาที และน้ำหนักตัวรถก็ยังเพิ่มขึ้นไปจนเป็น 1,540 ก.ก. ทำให้
สื่อมวลชนอเมริกันสมัยนั้นต่างทำนายกันว่า “อย่าหวังมากกับอัตราเร่ง” ผลที่ออกมา
ก็เป็นไปตามนั้น Car and Driver ทดสอบเอาไว้ในบทความเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2008
WRX STi ทำอัตราเร่งจาก 0-96 ก.ม./ช.ม. ได้ภายใน 5.1 วินาที และวิ่งผ่านหลัก
ควอเตอร์ไมล์ได้ภายใน 13.6 วินาที ซึ่งช้าลงกว่ารุ่นที่แล้วเพียงเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม รถสเป็คอเมริกาจะได้ล้อ 18 นิ้วมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ไม่ต้องสั่งเพิ่มแบบ
ตลาดประเทศอื่นๆ และยังมีล้อขอบ 18 ของ BBS ให้สั่งเหมือนกัน แต่ไม่มีเบาะแข่ง
Recaro ให้สั่งพิเศษอย่างที่ญี่ปุ่นมี
แน่นอนว่า Motor Image Thailand ก็ไม่ได้น้อยหน้าประเทศอื่น เพราะพอมีงาน
Bangkok Motorshow ปี 2008 เดือนมีนาคม ก็เอา WRX STi ตัวใหม่มาโชว์โฉมแล้ว
แต่กว่ารถทดสอบจะผ่านมือหลายต่อหลายคนตั้งแต่ Russ Swift มาจนถึงเจ้าตอยด์
และเจ้ากล้วย The Coup ตอนนั้น สเป็ครถที่ได้ก็ดูธรรมดากว่าตัวที่โชว์ในงาน
ตัวสเป็คไทยคันนี้ล่ะครับ คือรถทดสอบของ MIT ซึ่ง J!MMY เคยทำบทความเอาไว้นานแล้ว
เครื่องยนต์ก็จะเป็นบล็อค EJ257 2.5 ลิตร เทอร์โบ IHI RHF-5 VF48 เหมือนเวอร์ชั่นอเมริกา
มีแรงม้า 300 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดจะมากกว่าเวอร์ชั่นอเมริกา (ซึ่งที่จริง
อาจไม่ใช่เพราะการจูน แต่อาจเป็นวิธีการวัดแรงม้าของแต่ละประเทศที่มีข้อกำหนดแตกต่าง
และทางอเมริกาเพิ่งจะเปลี่ยนใหม่แค่ราวปีนึงก่อนหน้านั้น) อยู่ที่ 41.5 ก.ก.-ม. ที่ 4,000 รอบ
ต่อนาที เรดไลน์ 6,700 เท่าอเมริกากับออสเตรเลีย แต่อัตราทดเกียร์ของบ้านเราจะไปเหมือน
กับฝั่งยุโรปและออสเตรเลีย ซึ่งยาวสมใจอยากในเกียร์ 5 และ 6 ..ยาวจนเกียร์สุดท้ายวิ่ง 100
ก.ม./ช.ม. รอบเครื่องอยู่แค่ 2,200 ในขณะที่รถสเป็คญี่ปุ่นจะอยู่แถวๆ 2,800-2,900 นั่นเลย
Impreza WRX STi มาถึงมือ Headlightmag ก็สร้างปรากฏการณ์ด้วยการเป็นรถคันแรก
ของเว็บที่ทำเวลา 0-100 ก.ม./ช.ม. ได้ต่ำกว่า 6 วินาที (ได้ออกมาเฉลี่ย 5.84 วินาที)
แถมยังแซงพิฆาตสิบล้อได้อย่างเร็วโดยการไต่ 80-120 ก.ม./ช.ม. ภายในเวลาแค่ 3.61 วินาที
เท่านั้น นิสัยของตัวรถสร้างความประหลาดใจให้ผมมาก เพราะเวอร์ชั่นล้อ 17 นิ้วกับช่วงล่าง
ที่ติดรถมานั้น ไม่ได้ทำให้ช่วงล่างรู้สึกแข็งกระด้างเลย ตรงกันข้ามมันกลับดูดซับแรงกระแทก
ต่างๆได้ดีจนสามารถขับใช้งานบนถนนเมืองไทย รับพ่อรับแม่วัยเกษียณมาครบทศวรรษไปกิน
ข้าวเย็นแบบเต็มอิ่มแล้วขากลับบ้านไม่อ้วกแตกคารถได้ แต่มันก็ยังเกาะถนน ยิงโค้งได้มั่นๆ
อย่างที่ Impreza STi ควรเป็น ขาซิ่งอาจจะบอกว่ามันย้วยเกินไป แต่สำหรับคนที่ต้องใช้
รถคันเดียวในชีวิตประกอบกิจไปเสียทุกอย่าง นี่คือ STi ที่บาลานซ์ความสนุกและสบายได้
ใกล้เคียง Golf GTi จากฝั่งยุโรปมากที่สุด แล้วยังได้ระบบขับสี่อีกต่างหาก
QUICK UPDATE FOR AMERICA
ทว่าไอ้ความนุ่มสบายนั่นล่ะครับ กลับกลายมาเป็นปัญหาของ WRX ที่ขายในตลาดอเมริกา
เพราะออกขายได้ไม่ถึงปี ลูกค้าและสื่อมวลชนต่างก็พูดในทำนองคล้ายๆกันว่าไอ้เจ้า WRX
เนี่ยนะ ถ้าเป็นรุ่น STi ช่วงล่างมันก็นุ่มขึ้น นั่งสบายขึ้น แต่ยังเกาะถนนขับสนุกดีอยู่ ในขณะที่
WRX รุ่นธรรมดานั้นนุ่มย้วยยังกะเคี้ยวเยลลี่หมี Haribo ดังนั้น Subaru จึงรีบจัดการปรับปรุง
สมรรถณะรถเพิ่มเติม..ใช่!มันสำคัญขนาดนั้น เพราะเวลานี้ อเมริกากลายเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด
ของรถตระกูล WRX/STi ไปแล้ว
ภาพที่เห็นข้างบนนี้ไม่ใช่อะไร..เอามาให้ดูขำขำกับวิธีประหยัดงานถ่ายภาพ มันคือ
โบรชัวร์ Impreza ของอเมริกา ทางซ้ายตัดมาจากโบรชัวร์ปี 07-08 และฝั่งขวาคือ
โบรชัวร์ปลายปี 08-09 มันก็คือภาพเดียวกันแหละครับแต่ Photoshop ช่วยคุณได้นะ..
รถ WRX ของอเมริกาช่วงครึ่งหลังของปี 08 มา จะได้ช่วงล่างที่ปรับให้แข็งขึ้นกว่าเดิม
แล้วยังมีการเพิ่มพละกำลังเครื่องยนต์อีกด้วย เทอร์โบ TD04 ที่เคยใช้ถูกเปลี่ยนเป็น
IHI RHF-5 VF 52 เพิ่มแรงบูสท์จาก 11.9 PSI เป็น 13.3PSI ส่งผลให้ได้แรงม้าเพิ่มจาก
224 เป็น 265 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดเพิ่มเป็น 33.7 ก.ก.-ม. ที่ 4,000 รอบ
ต่อนาที
นอกจากนี้ภายนอกยังเปลี่ยนกระจังหน้าจากลายซี่มาเป็นลายตาข่ายเพื่อให้ดูดุดันขึ้น
ล้อลายเดิม แต่พ่นสีใหม่เทาไฮเปอร์เข้ม เปลี่ยนยางจากเดิม 205/50/17 เป็นไซส์
225/45/17 เพื่อให้เกาะถนนยิ่งขึ้น
– – – – – – – – – – – – – – – – – –
กลับมาที่ญี่ปุ่นกันต่อดีกว่า เรื่องยังอีกยาว
วันที่ 23 ตุลาคม 2008 ประมาณ 1 ปีหลังจากเปิดตัว WRX STi รุ่นใหม่ไป ที่ญี่ปุ่นก็ออก
เวอร์ชั่นพิเศษ Impreza WRX STi 20th Anniversary ซึ่งออกมาเพื่อฉลองครบรอบ
20 ปีการก่อตั้งสำนัก STi-Subaru Technica International โดยรถรุ่นนี้จะผลิตในจำนวน
จำกัดแค่ 300 คันเท่านั้น อุปกรณ์ตกแต่งที่เพิ่มให้ก็มีลิ้นหน้าและหางหลังสีดำ ล้ออัลลอย
18 นิ้วลาย 12 ก้านของ STi มีป้าย 20th Anniversary แปะด้านท้าย ช่วงล่างสเป็คพิเศษ
สปริง STi สองชั้น ชมพู/เทา โช้คอัพกระบอกสีเงิน ส่วนภายในก็มีเบาะบัคเก็ตซีทของ
Recaro เพิ่มเข้ามาให้
หลังจากเผยโฉมรถรุ่นนี้เสร็จ ไม่นานต่อมาวาระยินดีก็เปลี่ยนเป็นวาระหดหู่ เมื่อจู่ๆ
Subaru ตัดสินใจประกาศถอนตัวจากการแข่งขันแรลลี่ WRC ในวันที่ 16 ธันวาคม 2008
เป็นการยุติประวัติศาสตร์ในวงการแรลลี่โลกนาน 19 ปีที่ดำเนินมาโดยตลอด โดยคณะ
ผู้บริหารของ Subaru ให้เหตุผลว่า “สิ่งต่างๆในโลกนี้เปลี่ยนแปลงไปมาก และยิ่งพอ
มาเจอกับวิกฤติการเงินในช่วงที่ผ่านมา ทางบริษัทตัดสินใจแล้วว่าจะต้องปรับกลยุทธ
และวางแผนการใช้ทรัพยากรแรงงานและเงินที่มีอยู่ใหม่”
หลังจากที่คว้าแชมป์ Manufacturer’s title มา 3 สมัย และคว้าแชมป์ Driver’s title
มาอีก 3 สมัย สั่งสมประสบการณ์และพัฒนา WRX/STi โดยมีโฟกัสอยู่ที่มอเตอร์สปอร์ต
และการแข่งขันแรลลี่มาโดยตลอด คบเพลิงที่ Subaru, STi และทีมวิศวกร Prodrive
ช่วยกันประคับประคองมาเกือบจะครบ 2 ทศวรรษ ก็มีอันมอดดับลง
แต่ชีวิตยังต้องเดินต่อไป.
.
24 กุมภาพันธ์ 2009 Subaru ที่ญี่ปุ่นเปิดตัว Impreza WRX STi A-Line
เพิ่มเข้ามาอีกรุ่น โดย A-Line นี้ก็เหมือนกับบอดี้ก่อนตรงที่เน้นบุคลิกของรถที่
ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นในภาพรวม พร้อมแนะนำสีใหม่ “Satin White Pearl”
นี่คือภายในของรุ่น A-Line คุณผู้อ่านคงสังเกตเห็นแล้วว่ามาตรวัดรอบมีเรดไลน์
6,700 ไม่ใช่ 8,000 เหมือน STi สเป็คญี่ปุ่นรุ่นอื่น ถูกแล้วล่ะครับ เพราะ A-Line
ในเจนเนอเรชั่นนี้จะใช้เครื่องยนต์ 2.5 ลิตรซึ่งเป็นเทอร์โบแบบธรรมดาเหมือนตลาด
ในประเทศอื่นๆ พละกำลังจะถูกปรับลดลงเหลือ 300 แรงม้า แรงบิดก็ลดลงเหลือ
35.7 ก.ก.-ม. แต่ก็ยังดีว่าพลังมาเป็นช่วงกว้างมาก ตั้งแต่ 2,800 ยาวไปจนถึง 6,000
รอบต่อนาทีเลยทีเดียว สาเหตุที่ต้องปรับลักษณะพลังเครื่องให้เป็นอย่างนี้ ก็เพื่อให้เข้ากับ
เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ SportShift ตัวใหม่ พร้อมแป้น Paddleshift หลังพวงมาลัย
การทำงานของเกียร์อัตโนมัติลูกนี้ได้รับการปรับปรุงจากเจนเนอเรชั่นที่แล้วโดยเพิ่มระบบ
Blipping Control ซึ่งเวลาคิกดาวน์ กล่อง ECU จะสั่งให้ลิ้นคันเร่งไฟฟ้าเปิดเพื่อเบิ้ลเครื่อง
ส่งรอบเครื่องยนต์ขึ้นไปรับกับจังหวะเกียร์ ทำให้สามารถส่งต่อพลังได้อย่างรวดเร็วไม่ขาดตอน
หากใครเคยขับ 370Z, Subaru BRZ ที่เป็นเกียร์อัตโนมัติจะเข้าใจเลยว่ามันทำงานอย่างไร
เครื่องยนต์ 2.5 ลิตร กับเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะนี้ สามารถทำอัตราเร่งควอเตอร์ไมล์ได้
ภายใน 14.38 วินาที ซึ่งช้ากว่าตัวเกียร์ธรรมดาค่อนข้างมากอยู่ แต่ก็ไล่หลัง Golf R
(14.18 วินาที) ในการทดสอบของ Best Motoring
จุดเด่นของ STi A-Line ยังมีเบาะคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง ซึ่งมีมาให้เป็นอุปกรณ์
มาตรฐาน และยังสามารถเลือกเบาะหุ้มหนังเป็นออพชั่นเพิ่มเงินได้อีกด้วย แต่การใช้เกียร์
อัตโนมัติที่มีระบบกระจายกำลังแบบ VTD-Variable Torque Distribution นั้นก็ทำให้รถรุ่นนี้
จะเป็น STi รุ่นเดียวที่ไม่มีระบบ M-DCCD (สังเกตที่คอนโซลกลาง จะพบสวิตช์ SI-Drive แต่
ไม่มีปุ่มสำหรับโหมดการทำงานของ DCCD)
นอกจากนี้ถ้าดูรหัสตัวถัง รุ่น A-Line จะมีรหัสตัวถังเป็น GRF ในขณะที่รุ่น STi อื่นๆจะเป็น GRB
แต่ถ้าหากวัยรุ่นชอบสับเกียร์เอง..ก็คงไม่ถูกใจ A-Line เท่าไหร่ สิ่งหนึ่งที่ยังขาดอยู่ก็คือ
ของสำหรับคนรักความแรง รหัสนี้หายไปนานเกือบ 2 ปีแล้ว และในที่สุดมันก็กลับมาอีกครั้ง
มันคือ WRX STi Spec C นั่นเอง ทาง Subaru แถลงข่าวเปิดตัวในวันที่ 23 กรกฎาคม 2009
แล้วก็ลงขายตามโชว์รูมจริงๆในวันเดียวกันนั้นเลย แน่นอนว่าความเปลี่ยนแปลงบนตัวรถนั้น
เป็นที่คาดเดากันได้ว่ามีการลดน้ำหนักลงจากรุ่นปกติ Spec C ปี 2009 นี้จะใช้แบตเตอรี่
ขนาดเล็กลง และใช้กระจกแบบ Laminar น้ำหนักเบา ฝากระโปรงหน้าเป็นอะลูมิเนียม
น้ำหนักเบา แต่ถังน้ำมันจะไม่ได้ถูกลดขนาดลงแบบ Spec C เจนเนอเรชั่นที่แล้วมา โดยรวมแล้ว
น้ำหนักตัวถังของ Spec C ตัวใหม่นี้จะเบากว่า WRX STi ตัวปกติ ประมาณ 40-50 ก.ก.
อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้เสียชื่อชั้น Spec C ก็มีการเพิ่มความแข็งแรงให้กับส่วนคานหน้ารถ
ซึ่งส่งผลให้ความรู้สึกในการตอบสนองของพวงมาลัยดีขึ้น โช้คอัพและสปริงก็เป็นสเป็ค
ที่แข็งกว่าปกติ ล้ออัลลอยลายพิเศษขอบ 18 นิ้วของ Spec C ก็มีน้ำหนักเบา นอกจากนี้
ยางอะไหล่ก็จะถูกยกทิ้ง เปลี่ยนเป็นชุดซ่อมปะยางแทน ส่วนในด้านขุมพลังขับเคลื่อนนั้น
แม้จะบอกสเป็คแรงม้าและแรงบิดมาเท่ากับตัว STi ธรรมดา แต่ที่จริงเทอร์โบของ Spec C
จะเป็นแบบ Ball Bearing ที่ติดบูสท์ง่ายและเร็วกว่า พร้อมทั้งยังได้มีการจูนกล่องเพื่อให้มี
การตอบสนองต่อคันเร่งที่ไวขึ้น
อย่างไรก็ตาม WRX STi Spec C ปี 2009 นี้ จะมีการผลิตจำนวนจำกัดแค่ 900 คัน ซึ่งต่าง
จากบรรดา Spec C รุ่นก่อนๆที่มักจะผลิตขายแบบเรื่อยๆ (ไม่นับพวกรุ่นพิเศษนะ)
ตัวแสบรุ่นถัดมา เผยโฉมในวันที่ 7 มกราคม 2010 มันมีชื่อว่า R205 และเป็นตัวสืบทอด
ความเป็น “ที่สุดของ Impreza” ต่อจากโมเดลก่อนอย่าง S203 และ S204 โดยการเปลี่ยน
ตัวอักษรจาก S เป็น R นั้นก็เพื่อให้เข้ากับแนวคิด “Road Sport” ของตัวรถ ซึ่งชิ้นส่วนต่างๆ
ที่ถูกนำมาอัพเกรดเพิ่มให้กับ R205 นั้น ได้ผ่านการทดสอบอย่างหนักหน่วงโดยการนำไป
ติดตั้งใส่ WRX STi แล้ววิ่งทดสอบกันในสนาม Nurburgring มาแล้ว
สิ่งที่ R205 มีต่างจาก WRX STi ทั่วไปก็มีหลายประการ อย่างแรกเลยก็คือเครื่องยนต์ซึ่ง
จะใช้เทอร์โบที่มีขนาดโข่งใหญ่กว่ารุ่นปกติและ Spec C แถมยังเป็นแกนแบบ Ball Bearing
ท่อไอเสียของ STi ชุดใหม่ที่ระบายไอเสียได้คล่องขึ้น พร้อมกันนี้ก็ยังได้มีการปรับจูน ECU
ตามไปด้วย ส่งผลให้ได้แรงม้า 320 แรงม้า ที่ 6,400 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 44.0 ก.ก.-ม.
ที่ 4,400 รอบต่อนาที พูดง่ายๆก็คือเท่ากับ S204 รุ่นที่แล้วนั่นแหละ! แต่น้ำหนักตัวถังเพิ่มขึ้น
จากเดิมเป็น 1,470 ก.ก. ทำให้อัตราเร่งช้าลงเล็กน้อย โดยทาง Best Motoring ทดสอบเอาไว้
ได้ 13.19 วินาที (S204 ได้ 12.88 วินาที)
ช่วงล่างของ R205 ได้รับการโมดิฟายเพิ่มเติมโดยใช้ชุดสตรัท STi มาทั้งโช้คอัพและสปริง
ด้านหน้าเป็นแบบ Inverted Strut มีค้ำโช้คบน, ค้ำปีกนกล่าง และเหล็กกันโคลงของ STi
ที่พิเศษจริงๆคือเบรก Brembo ที่ด้านได้จะได้คาลิเปอร์ 6 Pot ด้านหลัง 4 Pot พร้อมเซาะร่อง
บนหน้าสัมผัสจานเบรก ส่วนภายนอก มีลิ้นหน้า, สเกิร์ตรอบคันของ STi สปอยเลอร์สีดำของ STi
ล้ออัลลอยขอบ 18 ลายเฉพาะรุ่น กระจังหน้าสีดำ และมีตรา “R205” ด้านหน้าและหลังรถ
ราคาของ R205 ช่วงเปิดตัวตั้งไว้ 4,510,000 เยน..แพงหูฉีกที่สุดในรุ่นเช่นเคย แล้วก็ผลิต
จำนวนจำกัดแค่ 400 คัน
.
2010 UPDATES
หลังจากการเปิดตัว R205 เป็นต้นมา รถตระกูล WRX และ STi ก็ก้าวเข้าสู่ช่วงการเปลี่ยนแปลง
แบบไมเนอร์เชนจ์อีกครั้ง และเช่นเคย การแถลงข่าวต่างๆเกิดขึ้นในเวทีระดับโลกก่อนญี่ปุ่น
แม้ว่าเวลาที่เปิดรับจองและขายจริงจะใกล้เคียงกันก็ตาม
Subaru จัดแถลงข่าวที่ Tokyo ในวันที่ 23 มีนาคม 2010 แต่ตัวรถเผยโฉมอย่างเป็นทางการ
ที่ New York Auto Show วันที่ 1 เมษายน 2010 เวลา 9:40 น.
เดี๋ยว..คิดยังไงแถลงข่าวรถใหม่วัน April Fool (วะ)
มันก็กึ่งๆจะกวนๆอยู่ เพราะทีมการตลาดของ Subaru เผยในเดือนมีนาคมว่าที่มาเนี่ย..มีแค่
รุ่น WRX นะ แต่พอเอาเข้าจริง 1 เมษายน ที่งาน New York Auto Show รถที่มาโชว์
กลับมีทั้ง WRX Hatchback ใหม่, WRX Sedan ใหม่, WRX STi Hatchback และ
Surprise..Surprise.
งานนี้มีสมาชิกใหม่คือ WRX STi Sedan มาร่วมด้วย นับว่าเป็นการกลับมาอีกครั้ง
หลังจากที่นักเลงรถไม่ได้สัมผัส STi 4 ประตูมาตั้งแต่ปี 2007 คราวนี้ทีมดาวลูกไก่
มีสมาชิกครบทุกรุ่นทุกระดับหมัดและอยู่ในสภาพพร้อมยกพวกตีตามภาพข้างบนนี้เลย
รุ่น WRX ทั้งบอดี้ 4 และ 5 ประตู จะได้ตัวถังแบบ Wide Body เหมือนกับรุ่น STi
ส่งผลให้ความกว้างตัวถังขึ้นไปอยู่ที่ 1,795 ม.ม. เท่ากัน ส่วนความยาวและความสูง
ของรถจะยังเท่าเดิม มีการปรับปรุงช่วงล่าง เพิ่มความหนืดของโช้ค/สปริงเพื่อให้
เกาะถนนดีขึ้น ทิ้งโค้งได้มั่นใจขึ้น กันชนหน้าจะมีหน้าตาของช่องรับอากาศและ
ช่องไฟตัดหมอกแบบใหม่ของปี 2010 ล้ออัลลอยเปลี่ยนลายใหม่ แต่ยังเป็นขอบ 17 นิ้ว
รัดมาด้วยยางหน้ากว้างขึ้นจาก 225/45 เป็น 235/45 และยังได้เปลี่ยนท่อไอเสีย
ให้เป็นแบบแยกออก 2 ข้าง ซ้าย/ขวาเหมือนรุ่น STi อีกด้วย รุ่นซีดานจะได้สปอยเลอร์
หลังขนาดเล็ก ในขณะที่ตัวแฮทช์แบ็คจะได้สปอยเลอร์หลังคาที่ยกพาร์ทจากรุ่น
STi มาใช้เลย
รุ่น WRX STi ได้รับการเปลี่ยนกันชนหน้าแบบเดียวกับรุ่น WRX ซึ่งเป็นการออกแบบ
ตามแนวคิด “Wide and Low” ที่ทำให้รถดูเตี้ยล่ำกำยำ กระจังหน้าออกแบบใหม่และ
ทำเป็นโทนสีดำ รุ่น 4 ประตูจะได้สปอยเลอร์ท้ายขนาดใหญ่มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
สำหรับช่วงล่างนั้น มีการเปลี่ยนพาร์ทปีกนกอะลูมิเนียมคู่หน้าใหม่ เปลี่ยนลูกหมากหลัง
เป็นแบบ Pillow-ball (ซึ่งแต่ก่อนนี้จะมีให้เฉพาะ Spec C Type RA, S203, S204, R205
หรือพวกรุ่นพิเศษจริงๆเท่านั้น) พร้อมกันนี้ยังใช้สปริงหน้าหลังที่แข็งกว่าเดิม เช่นเดียว
กับเหล็กกันโคลงชุดใหม่ ผลของการเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้บอดี้ของรถเตี้ยลงจากเดิมอีก
5 ม.ม. มาอยู่ที่ 1,470 ม.ม.
สำหรับเครื่องยนต์และเกียร์นั้น ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดใดๆ แรงม้าและแรงบิด
ยังคงเท่าเดิมอยู่ทั้ง WRX และ WRX STi กำหนดลงขายจริงจะเริ่มในช่วงเดือน
กรกฎาคมปี 2010 ทั้งในอเมริกาและญี่ปุ่น ซึ่งในเวลานี้กลายเป็น 2 ตลาดใหญ่ที่มีความ
สำคัญมากที่สุดสำหรับ WRX และ STi ไปแล้ว (โดยมีออสเตรเลียเป็นอันดับ 3)
MADNESS FROM THE WEST
Impreza STi Cosworth CS400 นี้ แม้จะมีการผลิตเป็นจำนวนจำกัดแค่ 75 คันและทำให้
กลายเป็นหนึ่งใน Impreza ที่หายากที่สุด แต่การจะไม่กล่าวถึงมันเสียเลยนั้นก็คงเป็นไปไม่ได้
เพราะนี่น่าจะเป็นหนึ่งในบรรดา Impreza ซื้อสดจากโชว์รูมที่มีพลังรุนแรงร้ายกาจที่สุด
ร้ายยิ่งกว่า RA-R ตัวโหดจากฝั่งญี่ปุ่นเสียอีก
แม้จะมีพื้นฐานมาจาก Impreza รุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์ในขณะที่ทั้งโลกเขาเผยโฉม
ตัวใหม่กันไปแล้ว แต่ CS400 ก็มีความแซ่บตรงที่เครื่องยนต์ของมัน ซึ่งถูกโมดิฟาย
โดยเริ่มต้นจากเครื่อง EJ257 2.5 ลิตร ยกออกมานอกรถ รื้อล่าง เปลี่ยนลูกสูบใหม่
เปลี่ยนก้านสูบเป็นแบบฟอร์จ เพิ่มปั๊มน้ำมันเครื่องแรงดันสูง เปลี่ยนเทอร์โบเป็นขนาดใหญ่
และยกชุดท่อไอเสียใหม่ใส่ทั้งยวง ทำให้ CS400 ปลดปล่อยแรงม้าออกมาได้
400 แรงม้า (PS) ที่5,750 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 55.3 ก.ก.-ม. ที่ 3,950 รอบต่อนาที
Subaru UK เคลมว่ามันสามารถเร่งจาก 0-100 ก.ม./ช.ม. (62 ไมล์/ช.ม.) ได้ภายในเวลา
เพียงแค่ 3.7 วินาที และการที่จะควบคุมพลังดังกล่าวได้นั้นก็ต้องปรับปรุงช่วงล่างและ
เบรกใหม่ สปริง Eibach ถูกติดตั้งเข้าไป ทำให้ความสูงของรถเตี้ยลงอีก 15 ม.ม.
ติดตั้งโช้คซิ่งของ Bilstein และเปลี่ยนเบรกหน้าเป็นของ AP Racing ส่วนเบรกหลัง
ใช้ชุดเดิมที่ติดรถมา ที่อังกฤษ ตั้งราคาขาย CS400 เอาไว้ที่ 49,995 ปอนด์
CS400 กลายเป็น Subaru เวอร์ชั่นอังกฤษที่แรงและเร็วที่สุด และยังเคยออกรายการ
Top Gear ใน Season 16 ตอนที่ 3 ทว่าน่าเสียดายที่การวิ่งรอบสนามทดสอบนั้น
เจอฝนตกทำให้สร้างตัวเลขได้ไม่ดีเท่าที่ควร แต่ในโลกแห่งความจริง บนถนนหรือ
มอเตอร์เวย์ นักข่าวสายรถยนต์อังกฤษต่างบอกกันว่ามันเป็นรถที่ขับแล้วเหมือน
เครื่องเทอร์โบยุคเก่า คือไม่มีเรี่ยวแรงอะไรเลยก่อน 3,500 รอบต่อนาที แล้วหลังจากนั้น
ก็จะระเบิดพลังออกมาอย่างรุนแรงชนิดเปลี่ยนเกียร์กันไม่ทันเลยทีเดียว
กลับมาที่ประเทศญี่ปุ่นกันอีกรอบ..คราวนี้คงไม่บินไปประเทศอื่นแล้วล่ะครับ
สำหรับตลาดญี่ปุ่นนั้น รุ่น 2.0S-GT ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น 2.0GT ตั้งแต่ปี 2009 จากนั้นมีการ
เปลี่ยนกระจังหน้าจากลายตารางเป็นซี่แนวนอนอีกครั้งภายในปี 2010 โดยที่ยังใช้เครื่อง
EJ20 250 แรงม้าอยู่เหมือนเดิม ทำตลาดมาจนกระทั่งค่อยๆทยอยยกเลิกการขายไป
ในปีเดียวกันนั้นเอง เหลือ Impreza รุ่นเครื่องธรรมดาเช่น 1.5 กับ 2.0 ขายเพื่อรอการ
เปิดตัวของรถบอดี้ใหม่ที่มีกำหนดเผยโฉมในปี 2011
ส่วนรุ่น WRX STi นั้น นับตั้งแต่การอัพเดทรุ่นใหม่ที่ขายในเดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป
จะสังเกตได้ว่าท้ายรถจะไม่มีชื่อรุ่น Impreza อีกต่อไป เหลือแค่เพียงตัวอักษร STi ในขณะ
ที่โบรชัวร์แผ่นพับและเอกสารต่างๆนั้นจะไม่มีคำว่า Impreza เช่นกัน แต่จะเรียกเพียงชื่อ
สั้นๆว่า WRX STi โดยรุ่นที่ทำตลาดหลักๆ ก็จะเป็น WRX STi และ WRX STi A-Line
ซึ่งในบัดนี้ทั้งสองรุ่นจะมีทั้งบอดี้ 4 และ 5 ประตูให้เลือก ภายนอกได้กระจังหน้า กันชนหน้า
แบบใหม่เหมือนกับตาดประเทศอื่น แต่เครื่องยนต์นั้นจะยังใช้บล็อคเดิมอยู่ต่อไป
21 ธันวาคม 2010 ที่ญี่ปุ่นเปิดตัวรุ่น WRX STi Spec C ซึ่งรายละเอียดต่างๆว่า
ไม่เหมือนกับ WRX STi ธรรมดาตรงไหนนั้น สามารถย้อนไปดูรถ Spec C ปี 2009
ได้เลยเพราะโมดิฟาย/เปลี่ยนพาร์ทในลักษณะที่เหมือนกัน เพียงแต่ว่ารถ Spec C
ปี 2010 นั้นมีการปรับจูนกล่องเพิ่มจนได้แรงบิดเพิ่มจากเวอร์ชั่นปี 2009 มาเป็น
43.8 ก.ก.-ม. และมาที่รอบต่ำเพียงแค่ 3,200 รอบต่อนาทีเท่านั้น ส่งผลให้ตัวรถ
มีการตอบสนองต่อคันเร่งที่เร็วและคมยิ่งกว่าเดิม
ส่วนรถสังกัด STi อีกคันที่เปิดตัวส่งท้ายปี 2010 ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันก็คือ
WRX STi tS ซึ่งจะมาเป็นคู่ขวัญกันกับ Spec C (tS จะมีเฉพาะบอดี้ 4 ประตูเท่านั้น
ในขณะที่ Spec C ในปีนี้ก็มีแค่บอดี้ 5 ประตู) ทั้งสองรุ่นใช้เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร
เทอร์โบ Ball Bearing เหมือนกัน สร้างแรงม้าแรงบิดได้เท่ากันกับตัว Spec C
แต่ถ้าใครรักจะสบาย ทาง STi ก็มีรุ่น A-Line tS ซึ่งใช้เครื่องยนต์แบบเดียวกันกับ
A-Line (สเป็คแรงม้าและแรงบิดก็เท่ากัน)
ความพิเศษของรถ STi tS อยู่ที่ล้ออัลลอยคนละลายกันกับรุ่นอื่นๆที่เคยมีมา
และมีการลดน้ำหนักตัวถังโดยใช้หลังคาคาร์บอน นับเป็นรถในเครือ STi รุ่นแรก
ที่ได้ใช้เทคโนโลยีนี้ (ชาวบ้านเขาใช้กันไปนานแล้ว) นอกจากนี้ช่วงล่างต่างๆก็
จะถูกเซ็ตให้มีความแข็งและเกาะถนนเหมือนรุ่น Spec C น้ำหนักตัวรถรุ่น 2.0
เกียร์ธรรมดาจะอยู่ที่ 1,470 ก.ก. ซึ่งเบากว่า WRX STi ตัว 4 ประตูรุ่นธรรมดาอยู่
20 ก.ก. (ส่วนหนึ่งก็มาจากหลังคานั่นแหละ) ทั้งนี้ STi tS จะถูกผลิตเป็นจำนวน
จำกัดแค่ 400 คันเท่านั้น
หลังจาก Spec C และ STi tS เปิดตัวในช่วงปลายปี Subaru ก็ว่างเว้นกิจกรรม
การเปิดตัวรุ่นพิเศษไปนาน จนกระทั่งวันที่ 24 พฤศจิกายน 2011 จึงมีการแถลง
เปิดตัว “The King of STi” ในชื่อรุ่น S206 มาสานต่อคบเพลิงจากรุ่น R205
โดยในครั้งนี้จะมีเฉพาะบอดี้ 4 ประตูเท่านั้น
จุดเด่นของ S206 นั้น ถ้าหากมองจากข้างนอก สิ่งที่จะสังเกตได้ชัดเจนที่สุดคือ
ช่องระบายอากาศที่อยู่เหนือแก้มหน้า และสิ่งต่อมาก็คือล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว
ของ BBS ซึ่งคราวนี้เปลี่ยนใจจาก Bridgestone RE070 หันมาคบกับ Michelin
Pilot SuperSport ขนาด 245/35ZR19 แทน ส่วนภายในนั้น S206 จะได้พวงมาลัย
เย็บหนังลายพิเศษ ได้เบาะ Recoro แบบบัคเก็ตซีทหุ้มด้วยวัสดุ Alcantara
และเข็มขัดนิรภัยที่มีสายเข็มขัดสีแดงเข้ม
เครื่องยนต์ของ S206 ยังเป็น EJ207 เวอร์ชั่นพิเศษบาลานซ์ข้อเหวี่ยงกับลูกสูบ
ด้วยมือช่างเครื่องของ STi เพื่อให้เครื่องหมุนได้เนียนนิ้งที่สุดที่รอบสูง นอกจากนั้น
ยังได้เทอร์โบโข่งใหญ่ที่เป็น Twin-Scroll และ Ball Bearing ตามแบบฉบับรถรุ่น
สูงสุดของอนุกรม มาคราวนี้ยังได้อินเตอร์คูลเลอร์ขนาดใหญ่กว่าปกติที่พ่นตัวอักษร
S206 เอาไว้ให้เห็นชัดๆอีกด้วย แรงม้าสูงสุดอยู่ที่ 320 แรงม้าที่ 6,400 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุดก็ 44.0 ก.ก.-ม. เท่ากับ R205 แต่ว่าคราวนี้มาให้ใช้กันยาวๆตั้งแต่
3,200-4,400 รอบต่อนาที ทำให้สามารถเร่งออกตัวจากรอบต่ำได้ว่องไวกว่าเดิม
ทำให้ S206 เป็น WRX STi เวอร์ชั่นญี่ปุ่นที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีขายมา
ช่วงล่าง ใช้สปริงของ STi บวกกับชุดโช้คอัพของ Bilstein โดยที่ด้านหน้าก็เป็นแบบ
Inverted Strut ลูกหมากช่วงล่างหน้าและหลังเป็นแบบ Pillow-ball มีค้ำโช้คหน้า
ค้ำล่างมาให้ครบ เบรกยกชุดมาจาก R205 โดยใช้เบรก Brembo หน้า 6 Pot หลัง 4 Pot
ส่วนระบบ VDC นั้นก็ได้รับการปรับโปรแกรมเป็นพิเศษให้กลายเป็น Multi-Mode VDC
สำหรับ S206 โดยเฉพาะ
ถ้ายังไม่พอ ลูกค้าสามารถสั่งแพ็คเกจ NBR Challenge เพิ่มเติมให้กับ S206 ของตัวเอง
โดยสิ่งที่จะได้เพิ่มก็คือหลังคาคาร์บอน หางหลังคาร์บอนขนาดจัดโต๊ะจีนลิงได้ และ
ล้ออัลลอยรมสีดำ แถมคาดสติกเกอร์ Nurburgring Challenge อีกด้วย S206 จะมี
การผลิตทั้งหมดเพียงแค่ 300 คัน โดย 200 คันเป็นรุ่นธรรมดา และอีก 100 คันจะเป็นรุ่น
S206-NBR Challenge Package
.
FINAL CALL FOR WRX STi
การอัพเดทสั่งลาครั้งสุดท้ายในตลาดญี่ปุ่น โดยมีการเปลี่ยนล้ออัลลอยลายใหม่
ให้กับ WRX STi ทั้งตัว 4 และ 5 ประตู
โดยที่ล้ออัลลอยลายดอกไม้ขนาด 18 นิ้วรุ่นใหม่นี้ ทาง Subaru เคลมว่ามีน้ำหนัก
เบาลงกว่าล้อ 5 ก้านของเดิม 220 กรัมต่อข้าง นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้ลูกค้า
สามารถเลือกสั่ง Premium Package ตกแต่งภายในด้วยหนังสีน้ำตาลได้ในรุ่น
STi เกียร์ธรรมดา ซึ่งแต่ก่อนจะมีเฉพาะรุ่น A-Line เท่านั้นที่มีแพ็คเกจนี้ให้เลือก
ส่วนรุ่น A-Line นั้น ก็มีการเพิ่มรุ่นย่อยใหม่ A-Line Type S เข้ามา โดยจุดที่
แตกต่างจาก A-Line ธรรมดาจะอยู่ที่ล้อ BBS ขนาด 18 นิ้ว (ล้อฟอร์จ) ส่วนรุ่น 4 ประตูนั้น
จะได้สปอยเลอร์หลังขนาดใหญ่มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน (เดิมเป็นออพชั่น) ส่วนภายใน
A-Line Type S จะได้เบาะหุ้ม Alcantara เย็บตะเข็บด้วยด้ายแดงมาเลยจากโรงงาน
ส่วนรถรุ่นที่เน้นลูกค้าซิ่งอยาก Spec C นั้น หลังจากที่ STi tS ตัวผลิตจำกัดหมดไปแล้ว
ก็มีลูกค้ากลุ่มหนึ่งที่อยากได้รถคุณสมบัติคล้ายๆกันกับ Spec C ในบอดี้ 4 ประตู ทาง
Subaru ก็เลยจัดรุ่น WRX STi Spec C Saloon มาขายคู่กับตัวแฮทช์แบ็คตามต้องการ
แต่ตามนโยบายลดน้ำหนักของ Spec C ทำให้รุ่น 4 ประตูนั้นจะไม่มีใบปัดน้ำฝนกระจกหลัง
กับไฟตัดหมอกหลังมาให้ ในรุ่นล้อ 17 ที่ราคาถูกสุดก็จะไม่มีสปอยเลอร์หลังมาให้
(ลูกค้าจะต้องสั่งเป็นออพชั่นเพิ่มเอง) ส่วนเครื่องยนต์กลไกและช่วงล่างจะเป็นแบบเดียว
กับ Spec C ตัว Hatchback ที่เปิดตัวไปตั้งแต่ปลายปี 2010 ซึ่งก็คือเครื่อง 2.0 ลิตร
Twin-Scroll Ball Bearing Turbo 308 แรงม้า แรงบิด 43.8 ก.ก.-ม. นั่นเอง
มาที่เวอร์ชั่นสุดท้ายของ WRX STi ก่อนขึ้นบอดี้ใหม่ และเป็นตัวส่งท้ายของบทความนี้กันดีกว่าครับ
วันที่ 2 กรกฎาคม 2013 ทาง Subaru ประเทศญี่ปุ่นแถลงข่าวเผยโฉม WRX STi tS Type RA
พร้อมประกาศรับจองอย่างเป็นทางการในวันเดียวกัน โดยรถ tS Type RA นั้นหากพิจารณาแล้ว
น่าจะนับเป็นผู้สืบทอดต่อเนื่องจากบรรดารถตระกูล STi Spec C Type RA จากสมัยก่อน เพราะ
พื้นฐานของตัวรถที่เอามาทำนั้น ก็คือรุ่น WRX STi Spec C โดยสิ่งต่างๆที่ทำเพิ่มเข้าไปนั้น
ก็มุ่งเน้นประสิทธิภาพการขับขี่บนสนามเป็นสำคัญ (แน่นอน..สนามไหน..Nurburgring ไง)
ชุดแร็คพวงมาลัยถูกปรับอัตราทดจากเดิม 13:1 (ซึ่งก็ไวเป็นบ้าอยู่แล้ว) กลายเป็น 11:1
เห็นได้ชัดว่าต้องการให้บิดนิดเดียวเลี้ยวโค้งทันใจเลย นี่คือส่วนหนึ่งของรถที่เฉพาะเวอร์ชั่นนี้
เท่านั้นที่ได้ใช้ ช่วงล่างหน้า/หลังใช้สปริงและโช้คอัพของ STi โดยที่ด้านหน้าเป็นแบบ
Inverted Strut (Upside Down) ลูกหมากตัวในแบบ Pillow Ball ทั้งด้านหน้าและหลัง
เบรกหน้าเป็นแบบ 6 Pot แต่เบรกหลังจะใช้แบบ 2 Pot (ซึ่งจุดนี้ทำให้ต่างจาก S206 ไป)
ค้ำโช้คหน้า ค้ำล่างด้านหน้า และหลังมาพร้อม ล้อที่ใช้เป็นล้อ BBS ขนาด 18 นิ้ว
ภายในของ tS Type RA มีพวงมาลัยหุ้มหนังเย็บด้านสีแดง เบาะบัคเก็ตซีท
เย็บตะเข็บด้วยได้สีแดงเข้ากัน และมีหัวเกียร์หนังมาให้
เครื่องยนต์และเกียร์ของ tS Type RA ก็จะเป็นแบบเดียวกับ WRX STi Spec C
2.0 ลิตร เทอร์โบ Twin-Scroll, Ball Bearing ให้แรงม้าสูงสุด 308 แรงม้าที่ 6,400
รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 43.8 ก.ก.-ม. ที่ 3,200 รอบต่อนาที
และในทำนองเดียวกับ S206 เจ้า tS Type RA ยังมีออพชั่นเลือกแพ็คเกจ NBR-Challenge
ให้ลูกค้าเลือกได้เช่นกัน แพ็คเกจนี้จะประกอบไปด้วยล้อ BBS ขอบ 18 นิ้วพ่นสีดำ
หางหลังคาร์บอนทรงสูง ปรับองศาได้ 2 ระดับ และเพิ่มเบาะ Recaro หุ้มด้วย Alcantara
พร้อมเย็บตะเข็บด้ายสีแดง ตบท้ายด้วยสติกเกอร์ Nurburgring Challenge
ทั้งนี้ จะไม่มีออพชั่นหลังคาคาร์บอนแบบ S206 NBR แต่ประการใด
WRX STi tS Type RA จะมีการผลิตออกมาทั้งสิ้นแค่ 300 คัน โดย 200 คันในจำนวนนั้น
เป็นรถที่มาพร้อม NBR-Challenge Package ส่วนถ้าใครอยากได้รถสีส้ม Tangerine
อย่างที่เห็นในภาพ ก็ต้องสั่งจองภายใน 25 สิงหาคม 2013 เท่านั้น
Gen 3 : SPECS (คัดมาเฉพาะบางรุ่น)
THE END
.
– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –
Pan Paitoonpong
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
13/05/2015
Copyright (c) 2015 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First published in www.Headlightmag.com
May 13th,2015
—————————————————–
Source of Images- Images used in this article, particularly GC-GD chassis are from
“Play with Legacy RS” website
Other sources
“Subaru Impreza-The Road Car & WRC Story written by Brain Long
www.sti.jp
http://www.subaru-global.com/news.html
Subaru Global Media Center
http://forums.nasioc.com/forums/
http://www.auto-brochures.com/subaru.html
Best Motoring International
http://www.motoring.com.au
http://www.cosworth.com/about/case-studies/subaru-cosworth-cs400/