แบรนด์ Alfa Romeo อาจไม่ใช่แบรนด์รถหรูที่ขายดี Top Hit ติดชาร์ตขนาดนั้น แต่อย่างน้อย ๆ จุดขายของ Alfa Romeo ก็ยังทำให้แบรนด์ยังคงอยู่ต่อไปได้นั่นก็คื มนต์เสน่ห์แห่งดีไซน์ที่หาได้ยากในรถหรูทั่วไป และสมรรถนะก็ถูกพัฒนาขึ้นด้วยทีมวิศวกร Ferrari
และในวันนี้ Alfa Romeo ก็กำลังประสบความสำเร็จกับการแนะนำ Alfa Romeo Stelvio ด้วยยอดขายสูงถึง 30,000 กว่าคันในปี 2018 และมีแนวโน้มว่าจะขายดีขึ้นตามกระแสนิยม นั่นจึงทำให้พวกเขาเริ่มมั่นใจในทิศทางการพัฒนารถยนต์ของตนเองมากขึ้น
ล่าสุด Alfa Romeo ก็ส่ง Tonale Concept : Compact SUV รุ่นใหม่ที่จะกลายเป็นคู่แข่งขันของ Audi Q3 และ BMW X1 ในอนาคต
และแน่นอนว่าถ้ามันเกิดมาเป็นรถยนต์ในแบรนด์ Alfa Romeo มันก็ต้องมีจุดขายดีไซน์ภายนอกที่สปอร์ตชดช้อย โดยยังคงรักษาเอกลักษณ์ของงานออกแบบสไตล์อิตาลี และได้แรงบันดาลใจจากรถสปอร์ต Artigianale ที่มีเพียงคันเดียวในโลกที่ใช้มือในการประกอบ
1 ในแรงบันดาลใจหลักของการออกแบบก็คือ รูปทรงของมนุษย์, การเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิต องค์ประกอบของการออกแบบก็พยายามนำแรงบันดาลใจอื่นมาผสมกัน อาทิ ล้ออัลลอยขนาด 21 นิ้ว ลายวงล้อหมุนโทรศัพท์สมัยยุค 60 ซึ่งได้รับการถ่ายทอดมาจาก 33 Stradale
ดีไซน์ด้านหน้ามาพร้อมกับเอกลักษณ์ Trilobo ที่แบ่งโซนช่องดักลมกระจังหน้า, ช่องดักลมกันชนหน้า 2 ช่องที่มีเส้นตัดไขว้กันมา และกระจังหน้าโล่ห์เงิน Scudetto ถูกติดตั้งแบบลอยตัว ไม่ได้สัมผัสกับชิ้นส่วนของกันชนหน้าหรือฝากระโปรงหน้า
การออกแบบเส้นสายของครึ่งคันหลังก็เป็นเอกลักษณ์ในระดับหนึ่ง หากมองเผิน ๆ อาจไม่มีอะไรพิเศษ แต่ Alfa Romeo ก็ได้บรรจงสร้างเส้นสายเหนือซุ้มล้อหลังให้ดูเป็นปีกของตัวรถ ปล่อยให้ดีไซน์ครึ่งคันบนสอบเว้าให้ดูมีมิติมากขึ้น สังเกตได้จากเสา C จรดฝากระโปรงท้าย นอกจากนี้หากสังเกตรายละเอียดซุ้มล้อหลังและเส้นสายบนพื้นตัวถัง ก็จะมีเทคนิคการขึ้นรูปเสมือนการวาดด้วยลายมือของศิลปิน ทั้งหมดนี้จะช่วยให้เกิดการสะท้อนแสงและเงาที่สร้างความแตกต่างในแต่ละองศา
จากประวัติศาสตร์ของ Alfa Romeo ที่มีประสบการณ์ในการส่งรถเข้าร่วมแข่งขันแรลลี่ ทำให้พวกเขาจึงออกแบบภายในให้มีความน่าหลงใหล มีชีวิตชีวา ให้ความสำคัญกับผู้ขับขี่เป็นหลัก แต่ก็ใช่ว่า Alfa Romeo จะทอดทิ้งหรือไม่ใส่ใครเลยนอกจากผู้ขับขี่ ภายในห้องโดยสารก็ยังกว้างขวางเพียงพอสำหรับผู้โดยสารทั้ง 4 คนอีกด้วย
ติดตั้งหน้าจอมาตรวัดแสดงผลดิจิตอลขนาด 12.3 นิ้ว และหน้าจอสัมผัสกลางขนาด 10.25 นิ้ว อยู่ในตำแหน่งที่ทำให้ผู้ขับขี่สามารถมองเห็นถนนได้ดีที่สุด พร้อมติดตั้งแอพพลิเคชั่น “Alfista” ที่เชื่อมต่อกับ Alfa Romeo Club และกิจกรรมเพื่อการสังสรรค์ ผู้ขับขี่สามารถเชคข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ อีกทั้งยังสามารถยืนยันการซื้อบัตร Alfa Romeo Racing และเข้าร่วมกิจกรรมระดับ VIP ที่ทางแบรนด์เป็นผู้สนับสนุน และ “Paddock” ที่สามารถสั่งชุดแต่งและเครื่องแต่งกายได้
ขุมพลังของ All NEW Alfa Romeo Tonale จะเป็นแบบ Plug-in Hybrid ที่รองโหมดการขับขี่แบบ EV ได้
Alfa Romeo ไม่ได้ระบุว่ารถคันนี้จะมีขึ้นสายการผลิตได้เมื่อไร แต่คาดว่าน่าจะได้เห็นกันภายในปี 2019-2020
ที่มา : Alfa Romeo