ก่อนที่เราจะต้อนรับเข้าสู่สัปดาห์ของงาน Geneva Motor Show 2019 ที่กำลังจะเกิดขึ้นในช่วงต้นเดือน มีนาคม ทางค่ายรถยนต์หลากหลายแบรนด์ ก็ออกมามีเคลื่อนไหว พรีวิวตัวรถหรือเทคโนโลยีต่างๆที่คุณจะพบได้ในวันจัดงานจริง
ล่าสุดทางฝั่งของ Audi ก็ได้เผยไต๋ เตรียมงัดหมัดเด็ด ด้วยการนำเสนอรถยนต์หลากหลายรุ่น ที่มาพร้อมกับการติดตั้งระบบขับเคลื่อนพลังงาน Plug-in Hybrid ไม่ว่าจะเป็น รถยนต์ประเภทซีดานอย่าง A6, A7, A8 รวมถึง ในสไตล์แบบ SUV อันได้แก่ Q5 ซึ่งทั้งหมดจะถูกติดแพลทโดยใช้อักษรที่เรียกว่า ” TFSI e ”
โดยขุมพลังที่ถูกจับวางลงไปในรถยนต์ 4 รุ่น ข้างต้น จะเป็นการนำเครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ มาผสานการทำงานเข้ากับระบบ Plug-in Hybrid ที่ใช้การปั่นกำลังด้วย มอเตอร์ไฟฟ้า โดยดึงพลังงานมาจาก แพ็คแบตเตอรี่ Lithium-ion ขนาดประจุ 14.1 kWh แรงดัน 385 โวลท์ ซึ่งฝังตัวอยู่บนพื้นตัวถัง อย่างไรก็ดี สำหรับรุ่น A6, A7 และ A8 จะถูกการเรียงโมดุลในรูปแบบ Pouch Cells ส่วน Q5 มีความแตกต่างออกไป ด้วยการจัดเรียงในรูปแบบ Prismatic
อย่างไรก็ดี ทาง Audi ยังระบุว่า เมื่อใช้การวิ่งด้วยระบบ EV จะสามารถแล่นได้ระยะทางไกลสุดมากกว่า 40 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP นอกจากนี้ พลังงานจลน์ ซึ่งเกิดจากการที่ตัวรถแล่นเคลื่อนที่ ก็จะถูกแปรเปลี่ยนไปเป็นพลังงานไฟฟ้า เพื่อชาร์จไฟกลับเข้าสู่แบตเตอรี่ได้เพิ่มเติม ตลอดจนการชาร์จไฟแบตเตอรี่จนเต็มประจุ จะใช้เวลาเพียงประมาณ 2.30 ชั่วโมง เมื่อเชื่อมต่อเข้ากับที่ชาร์จไฟขนาด 7.2 kW
ในด้านระบบส่งกำลัง สำหรับรุ่น A6, A7 และ Q5 ได้หลอมรวมการทำงานระหว่าง มอเตอร์ไฟฟ้า ที่ผนวกเข้ากับ ชุดเกียร์ Dual-Clutch ส่วนในรุ่น A8 ก็มีกลไกการทำงานที่คล้ายคลึงกัน แต่ได้เปลี่ยนมาจับคู่กับ ชุดเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ Tiptronic
ขณะเดียวกัน Audi ก็ได้ทำการใส่ฟังก์ชั่นระบบ Hold เพื่อช่วยในการประหยัดพลังงานแบตเตอรี่ เมื่อขับขี่บนสภาพการจราจรในเขตเมือง นอกจากนี้ ยังมีโหมดการทำงานอื่นๆให้เลือกเพิ่มเติมอีก 4 รูปแบบ อันได้แก่ Comfort / Efficiency / Auto และ Dynamic ผ่านการควบคุมของระบบ Audi Drive Select ซึ่งมีรายละเอียดที่น่าสนใจอยู่ในโหมด Efficiency และ Auto ก็คือ ระบบจะยินยอมให้ มอเตอร์ไฟฟ้า สามารถทำงานอย่างลำพัง โดยปราศจากการพึ่งพากำลังจากเครื่องยนต์ ได้จนถึงความเร็ว 160 km/h
ในส่วนของการทำงานบนหน้าจอมาตรวัดแบบ Virtual Cockpit มีการแยกการแสดงผลค่าเฉพาะของระบบ Hybrid ให้ผู้ขับขี่สามารถรับรู้การทำงานแบบ Real-Time ได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น การใช้พลังงาน, การไหลเวียนของพลังงาน และ ระยะทางที่สามารถวิ่งได้ด้วยระบบ EV รวมไปถึง การควบคุมผ่านแอพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนอย่าง The myAudi app ที่จะสามารถดูสถานะ และสามารภสั่งการควบคุมต่างๆไปยังตัวรถได้ โดยผ่านโทรศัพท์มือถือ
ทั้งนี้ รายละเอียดอื่นๆของระบบ Plug-in Hybrid ในรถยนต์ Audi ทั้ง 4 รุ่น จะมีอะไรที่น่าสนใจกันอีกบ้างนั้น ? ต้องคอยติดตามชม