Volkswagen และ Audi มีแนวโน้มชะลอเป้าหมายรถ EV หลังยอดขาย EV ลดลงในปี 2024 โดย Volkswagen ลดลง 2.7% และ Audi ลดลง 7.8% ขณะที่ยอดรวมของกลุ่ม Volkswagen ลดลง 3.4% ทำให้ทั้ง2 แบรนด์ต้องทบทวนแผนพัฒนารถ EV ใหม่ และเลือกลงทุนเพิ่มในรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในแทน

ตามรายงานจากสื่อท้องถิ่นเยอรมัน Handelsblatt บริษัทอาจ เลื่อนแผนเปลี่ยนเป็นขุมพลัง EV ล้วนในยุโรปภายในปี 2033 โดย Audi จะเปลี่ยนไปยึดเป้าหมายเดียวกันทั่วโลก อย่างไรก็ตาม CEO ของ Audi ระบุว่าบริษัทยังคงมีการตัดสินใจแบบยืดหยุ่น ขณะที่หัวหน้าฝ่ายเทคนิคของ Volkswagen เปิดเผยว่า Golf Mk8 อาจอยู่ในตลาดจนถึงกลางทศวรรษ 2030 แม้จะมีแผนเปิดตัว Golf Mk9 ขุมพลังไฟฟ้าล้วนก็ตาม

 

การตัดสินใจเกี่ยวกับการลงทุนในรถเครื่องยนต์สันดาปคาดว่าจะเปิดขึ้นในเดือนมีนาคม 2025 นี้ ซึ่งอาจส่งผลต่อแบรนด์ในเครือ เช่น Skoda และ SEAT/Cupra อย่างไรก็ตาม หากสหภาพยุโรป (EU) ยังคงเป้าหมายห้ามขายรถยนต์ที่ปล่อยไอเสียตั้งแต่ปี 2035 เป็นต้นไปกลุ่ม Volkswagen ก็ต้องปฏิบัติตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

Porsche ปรับแผนหลังยอดขายของ Taycan ลดลง 49% โดยมีแนวโน้มกลับไปใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในสำหรับรถพรีเมี่ยมบางรุ่น ขณะที่ Bentley ได้เลื่อนเปิดตัวรถ EV รุ่นแรกจาก 2025 เป็น 2026 และขยายเวลาการยกเลิกสันดาปภายในไปถึงปี 2035

 

ในทำนองเดียวกันนี้ Lamborghini ยังได้เลื่อนเปิดตัวรถ EV รุ่นแรกที่อาจใช้ชื่อว่า Lanzador จาก 2028 เป็น 2029 และยังคงใช้เครื่องยนต์ V12 และ V8 ต่อไปจนถึงต้นทศวรรษ 2030

สำหรับแบรนด์ไฮเปอร์คาร์อย่าง Bugatti และ Rimac ก็ไม่รีบเปิดตัวรถ EV และจะยังพัฒนาไฮเปอร์คาร์เครื่องยนต์สันดาปภายในต่อไป
แม้ว่า EU จะยังไม่ได้ห้ามการวางจำหน่ายรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปโดยสิ้นเชิงภายหลังปี 2035 แต่ก็ได้กำหนดให้รถยนต์ต้องปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ ซึ่งเปิดโอกาสให้ใช้เชื้อเพลิงสังเคราะห์ e-Fuel หรือเชื้อเพลิงไฮโดรเจนทดแทนน้ำมันได้ อย่างไรก็ตาม การที่ e-Fuel หรือเชื้อเพลิงไฮโดรเจนจะแทนที่น้ำมันเบนซินทั้งหมดภายในกลางทศวรรษ 2030 นั้นเป็นเรื่องยากมากที่จะตอบได้ในขณะนี้

 

โดยสรุป หากความต้องการรถ EV ในยุโรปไม่เพิ่มขึ้นเร็วพอ บรรดาผู้ผลิตรถยนต์อาจกดดันให้ EU เลื่อนกำหนดการยกเลิกวางจำหน่ายรถยนต์สันดาปออกไป ซึ่งจะส่งผลต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกถึงการวางแผนการลงทุนในระยะยาว