Abarth ได้เปิดเผยรายละเอียดทั้งหมดของ 600e ใหม่สำหรับการเปิดตัวในตลาดยุโรป รถครอสโอเวอร์ขุมพลังไฟฟ้าล้วนรุ่นแรกของ Abarth และเป็นรุ่นผลิตที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยผลิตมา โดยมีให้เลือก 2 รุ่น ได้แก่ Turismo และ Scorpionissima ซึ่งให้กำลังสูงสุด 237 แรงม้า และ 278 แรงม้า ตามลำดับ สำหรับรุ่น Scorpionissima ที่ทรงพลังที่สุด จะผลิตเพียง 1,949 คันเท่านั้น เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองตัวเลขของปีการก่อตั้งแบรนด์จากอิตาลี

 

เพื่อสร้างความแตกต่างให้กับ Abarth 600e จาก Fiat 600e รุ่นมาตรฐาน ทีมออกแบบได้เพิ่มชุดแต่งเฉพาะตัว โดยมีกันชนหน้าหลังที่ใหญ่ขึ้น ดุดันมากยิ่งขึ้น พร้อมล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว และสปอยเลอร์หลังขนาดใหญ่

 

Abarth 600e ยังมีเฉดสีพิเศษให้เลือก ได้แก่ สีเขียว Acid Green และสีม่วง Hypnotic Purple ซึ่งเป็นเฉพาะสำหรับรุ่น Scorpionissima รวมถึงสีขาว Antidote White สีส้ม Shock Orange และสีดำ Venom Black สำหรับรุ่นพิเศษนี้ยังมาพร้อมกับการตกแต่งด้วยสีดำเงา สติกเกอร์สีดำ และคาลิปเปอร์เบรกที่มีสีเฉพาะ

 

ภายในรถติดตั้งเบาะ bucket seat จาก Sabelt ที่หุ้มด้วยวัสดุ Alcantara ในรุ่น Scorpionissima ติดตั้งอุปกรณ์ครบครัน อาทิ หน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ขนาด 7 นิ้ว จอ infotainment ขนาด 10.25 นิ้ว พร้อมรูปแบบการแสดงผลด้วยกราฟิกเฉพาะจาก Abarth และระบบเครื่องเสียง 6 ลำโพง อีกทั้งยังมีฟีเจอร์ ChatGPT ในการช่วยทำให้เรื่องยากเป็นเรื่องง่ายและระบบช่วยเหลือการขับขี่อัตโนมัติหรือ ADAS ระดับ 2

 

Abarth 600e พัฒนาขึ้นโดยร่วมมือกับทีม Stellantis Motorsport พร้อมชิ้นส่วนจากเครือพันธมิตรอย่าง Michelin Sabelt JTEKT Torsen และ Alcon โดยโครงสร้างของรุ่นนี้ใช้งานวิศวกรรมพื้นฐาน “Perfo eCMP platform” ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่ปรับปรุงจากงานวิศวกรรมพื้นฐาน eCMP เวอร์ชั่นมาตรฐานที่ใช้ในรถยนต์ Stellantis รุ่นอื่น ๆ

Abarth 600e ถูกประกาศเปิดตัวครั้งแรกในช่วงต้นปี 2024 โดยมาพร้อมพละกำลัง 240 แรงม้า (PS) อย่างไรก็ตาม ยังมีฝาแฝด Alfa Romeo Junior Veloce ภายใต้ชายคา Stellantis ที่มีพละกำลังมากกว่า จึงทำให้ Abarth ได้เปิดตัวรุ่น พิเศษ Scorpionissima ที่ได้รับการอัพเกรดพละกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 280 แรงม้า (PS)

 

Abarth 600e มาพร้อมระบบขับเคลื่อนล้อหน้า โดยใช้ดิฟเฟอเรนเชียลแบบ Torsen LSD จาก JTEKT มีโหมดขับขี่ให้เลือกถึง 3 โหมด ได้แก่ Turismo, Scorpion Street, และ Scorpion Track ซึ่งสามารถปรับกำลังและตั้งค่า ESP ได้

ในการทดสอบโหมด Scorpion Track รุ่น Scorpionissima สามารถเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร / ชั่วโมง ได้ใน 5.85 วินาที ขณะที่รุ่น Turismo ใช้เวลา 6.24 วินาที โดยมีความเร็วสูงสุดที่จำกัดด้วยระบบไฟฟ้าไว้ที่ 200 กิโลเมตร / ชั่วโมง

ตัวรถยังถูกปรับแต่งด้วยชุดเบรกจาก Alcon ระบบช่วงล่างที่แข็งขึ้น เหล็กกันโคลงหลังใหญ่ขึ้นและขนาดความกว้างระหว่างล้อที่มากขึ้น ส่วนแบตเตอรี่ขนาด 54 kWh ยังได้รับการติดตั้งระบบระบายความร้อนใหม่ที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพของรถ ขณะที่ระยะทางที่วิ่งได้ต่อ 1 รอบการชาร์จตามมาตรฐาน WLTP อยู่ที่ 334 กิโลเมตร ซึ่งน้อยกว่ารุ่น Fiat 600e อยู่ 75 กิโลเมตร

 

Abarth 600e พร้อมให้เป็นเจ้าของในยุโรปตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2024 เป็นต้นไป โดยในสหราชอาณาจักร ราคาของรุ่น Turismo เริ่มต้นที่ 36,975 ปอนด์ หรือประมาณ 1,623,500 บาท และรุ่น Scorpionissima เริ่มต้นที่ 41,975 ปอนด์ หรือประมาณ 1,843,040 บาท

ที่มา: Carscoops