Ferrari เปิดตัวสุดยอดไฮเปอร์คาร์รุ่น F80 สานต่อความสำเร็จจากรุ่น LaFerrari และ Enzo เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ที่เปลี่ยนจากขุมพลัง v12 มาเป็น v6 พร้อมด้วยเทคโนโลยีมอเตอร์ไฟฟ้าซึ่งจัดการพลังงานได้อย่างชาญฉลาด กลายเป็นจุดเด่นที่สามารถนำมาเป็นไฮไลท์ของรถรุ่นนี้ได้นอกเหนือไปจากงานออกแบบและโครงสร้างตัวถังที่ล้ำหน้า

F80 เลือกใช้โครงสร้างตัวถังแบบโมโนค็อก ที่เป็นการผสมผสานวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์และอะลูมิเนียมในบริเวณต่างๆได้อย่างเหมาะสม ตัวอย่างเช่นหลังคาน้ำหนักเบา และสับเฟรมบริเวณด้านหน้าและด้านหลังที่มีความแข็งแรงสูง อย่างไรก็ตามมีความโดดเด่นที่แตกต่างจากรถทั่วไปจากการจัดรูปแบบเบาะนั่งโดยเน้นตำแหน่งคนขับเป็นสำคัญในขณะที่ผู้โดยสารด้านหน้าเป็นเพียงเบาะเสริมซึ่งไม่สามารถปรับทิศทางได้แต่อย่างใด ทำให้ทางค่ายม้าลำพองเรียกรูปแบบการจัดการที่นั่งแบบนี้ว่า “1+”

 

อย่างไรก็ตามการเข้าออกตัวถังยังคงมีความสะดวกสบายเพิ่มเติมความสวยงามไปกับงานออกแบบของประตูทั้ง 2 ข้างที่เป็นการยกเปิดขึ้นในลักษณะปีกผีเสื้อ โดยเมื่อเปิดเข้ามาจะพบกับคอนโซลหน้าซึ่งติดตั้งทำมุมเอียงเข้าหาผู้ขับขี่ ในขณะที่เบาะนั่งของผู้ขับขี่หุ้มด้วยวัสดุสีแดง แต่บอกผู้โดยสารที่เป็นเบาะเสริมนั้นจะเลือกใช้วัสดุสีดำเพื่อให้กลืนไปกับการตกแต่งโทนสีของห้องโดยสาร นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับพวงมาลัยรูปแบบใหม่ซึ่งมีการตัดขอบด้านบนและด้านล่าง และมีการติดตั้งปุ่มควบคุมแบบดั้งเดิมแทนที่ปุ่มควบคุมที่ใช้ระบบ haptic feedback ซึ่งอาจไม่ทันใจในการสั่งการเพียงเสี้ยววินาที

 

Flavio Manzoni ทีมออกแบบของไฮเปอร์คาร์รุ่นนี้ได้นำแรงบันดาลใจมันจะลดสปอร์ตสุดคลาสสิครุ่น F40 ไม่ว่าจะเป็นบริเวณซุ้มล้อหน้าและหลัง ผมเขียนเส้นสายที่มีความเหลี่ยมสันและเสียบคมเป็นแนวทางเดียวกันครับรถสมัยใหม่ซึ่งมีกลิ่นอายของบรรดาบรรพบุรุษอยู่ไม่น้อย

 

อีกทั้งยังมาพร้อมไฟหน้าที่มีการติดตั้งแบบซ่อนตัวไปกลับรูปลักษณ์ของตัวถัง นอกจากนี้ยังมาพร้อมการออกแบบชิ้นส่วนตัวถังที่เน้นให้มีประสิทธิภาพทางอากาศพลศาสตร์อย่างสูงสุด ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีมาจากรถแข่งสูตร 1 ทั้งหมดทั้งปวงนี้ทำให้สามารถสร้างแรงกดบริเวณด้านท้ายรถได้สูงสุดถึง 1 ตัน ซึ่งเป็นประเด็นที่รถไฮเปอร์คาร์ในปัจจุบันนี้นำมาขิงกันอย่างถ้วนหน้ายกตัวอย่างเช่น McLaren W1

 

ขนาดและมิติตัวถัง

  • ความยาว 4,840 มิลลิเมตร
  • ความกว้าง 2,060 มิลลิเมตร
  • ความสูง 1,138 มิลลิเมตร
  • ความยาวฐานล้อ  2,665 มิลลิเมตร
  • น้ำหนักตัวรถ 1,525 กิโลกรัม
  • ความจุพื้นที่เก็บสัมภาระ 35 ลิตร

 

ขุมพลังเบนซิน V6 ที่มาทดแทน V12 เหมือนกับรุ่นพี่ๆ เป็นเครื่องยนต์ทำมุม 120 องศา 2,992 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก : 88.0 x 82.0 มิลลิเมตร พ่วงระบบอัดอากาศ Electric Exhaust Gas Turbocharged กำลังสูงสุด 900 แรงม้า (PS) ที่ 8,750 รอบ / นาทีแรงบิดสูงสุด 850 นิวตัน-เมตร ที่ 5,550 รอบ / นาที สามารถเร่งรอบได้สูงสุดที่ 9,000 รอบ / นาที

ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าจำนวน 3 ตัว ติดตั้ง 2 ตัวที่เพลาล้อคู่หน้า (ให้พละกำลังสูงสุดรวม 142 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 121 นิวตัน-เมตร น้ำหนัก 12.9 กิโลกรัม และอีก 1 ตัวที่เพลาล้อคู่หลัง (ให้พละกำลังสูงสุด 95 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 45 นิวตัน-เมตร น้ำหนัก 8.8 กิโลกรัม ทำงานร่วมกับแบตเตอรี่ความจุ 2.28 kWh น้ำหนักเพียง 39.3 กิโลกรัม

ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ แบบ dual-clutch F1 DCT ตัวเลขสมรรถนะเคลมจากโรงงาน ดังนี้

  • อัตราเร่งจากความเร็ว 0-100 กิโลเมตร / ชั่วโมง ภายใน 2.15 วินาที
  • อัตราเร่งจากความเร็ว 0-200 กิโลเมตร / ชั่วโมง ภายใน 5.75 วินาที
  • ความเร็วสูงสุดทำได้ 350 กิโลเมตร / ชั่วโมง

 

โหมดการขับขี่ 3 รูปแบบ ได้แก่ Hybrid สำหรับการขับขี่ทั่วไปที่เน้นการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด Performance ที่ปลดปล่อยพลังงานเพิ่มขึ้นและรักษาระดับของพลังงานในแบตเตอรี่ไม่ต่ำกว่า 70% และ Qualify ที่ปลดปล่อยพลังงานทุกรูปแบบที่ F80 มีอย่างไร้ขีดจำกัด โดยไม่มีโหมดการขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วนแต่อย่างใด ไม่เหมือนกับ Ferrari hybrid รุ่นอื่นๆ หรือแม้กระทั่ง McLaren W1

รถคันนี้ยังมาพร้อมเทคโนโลยีตัวช่วยเหลือการขับขี่ในสนามแข่งที่จะคอยวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ขับขี่และการใช้พละกำลังรวมไปถึงระบบเบรคในแต่ละช่วงโค้งและทางตรงเพื่อนำไปปรับใช้กับการทำเวลาในรอบถัดไปตัวอย่างเช่นการเพิ่มกำลังในช่วงทางตรงที่ทำได้โดยไม่ลดทอนความปลอดภัย ครอบคลุมทั้งรูปแบบการขับขี่ Performance และ Qualify

 

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากการทำงานร่วมมือระหว่างค่ายม้าลำพองและบริษัทเบรคชั้นนำของโลกอย่าง Brembo ที่ได้แนะนำเทคโนโลยี CCM-R Plus ซึ่งประกอบไปด้วยจานเบรคคาร์บอนเซรามิค ที่เลือกใช้วัสดุที่มีความแข็งแรงเชิงกลเพิ่มขึ้นจากวัสดุดั้งเดิมถึง 100% ในขณะเดียวกันก็ยังมีคุณสมบัติในการทนต่อความร้อนได้เพิ่มขึ้นอีกถึง 300% นอกจากนี้ยังมีระบบช่วยเหลือการขับขี่สมัยใหม่อย่าง ระบบช่วยเบรคฉุกเฉินอัตโนมัติ Automatic emergency braking ระบบเตือนรถออกนอกเลน lane departure warning ระบบบังคับรถให้อยู่ภายในเลน lane-keep assist ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ automatic high-beam assist และ ระบบตรวจจับป้ายจราจร traffic sign recognition

F80 ได้ใช้ช่วงล่างเทคโนโลยีร่วมกันกับ Purosangue โดยเป็นช่วงล่างแบบ active-suspension system ที่เป็นการพัฒนาต่อยอดมาจากโช้คอัพสุดไฮเทคจาก Multimatic โดยโช้คอัพแต่ละตัวจะติดตั้งมอเตอร์เพื่อที่จะเพิ่มหรือลดแรงกดบริเวณตัวโช้ค โดยจะทำให้ตัวรถสามารถจัดการสมรรถนะการขับขี่ที่เลือกได้ดั่งใจระหว่างความสบายยามขับขี่และการยึดเกาะถนน ล้ออัลลอยคู่หน้าขนาด 20 นิ้ว รัดด้วยยางขนาด 285/30 และล้ออัลลอยคู่หลังขนาด 21 นิ้ว รัดด้วยยางขนาด 345/30 จาก Michelin Pilot Sport Cup 2s หรือ Michelin Pilot Sport Cup 2Rs

Ferrari ผลิต F80 จำนวนจำกัดเพียง 799 คัน และตั้งราคาจำหน่ายไว้สูงถึง 3.6 ล้านยูโร หรือประมาณ 129,427,200 บาท โดยจะเริ่มขึ้นสายพานการผลิตตั้งแต่ช่วงปลายปี 2025 เป็นต้นไป

ที่มา: Motor1