Volkswagen เปิดตัวรถ SUV ชื่อไม่คุ้นหูอย่าง “Tayron” เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2024 อย่างไรก็ตาม Tayron ไม่ใช่ชื่อใหม่ในไลน์อัพของ Volkswagen แต่อย่างใด เนื่องจากทางค่ายได้วางจำหน่ายรถรุ่นนี้ในจีนมาตั้งแต่ปี 2018 และได้ถูกนำมาใช้แทนชื่อ Tiguan Allspace สำหรับตลาดยุโรป โดย Tayron ก็คือเวอร์ชัน 7 ที่นั่งของ Tiguan เจเนอเรชันล่าสุด
Volkswagen Tayron รุ่นใหม่นี้ถูกวางตำแหน่งทางการตลาดไว้ระหว่าง Tiguan และ Touareg พี่ใหญ่ โดย Tayron ไม่ได้จำกัดเฉพาะรุ่น 7 ที่นั่งเท่านั้น แต่ยังมีเวอร์ชัน 2 แถวด้วย คุณสามารถมอง Tayron ว่าเป็นทางเลือกที่เทียบเท่ากับ Skoda Kodiaq ของ VW การออกแบบทั้งภายในและภายนอกก็ไม่ได้น่าประหลาดใจนัก เพราะมันดูเหมือน Tiguan ที่ถูกขยายขนาด ซึ่งเป็นความจริง
งานออกแบบภายนอกมาพร้อมกับเส้นสายที่คุ้นเคยจาก Tiguan รุ่นล่าสุด ด้วยกระจังหน้าขนาดใหญ่ ทำให้ภาพลักษณ์ของรถ SUV มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยด้านท้ายยังคงมาพร้อมกับไฟท้าย LED tube แบบเรียวยาวเช่นเคย
มิติตัวรถ
- ความยาว 4,770 มิลลิเมตร (ยาวกว่า Tiguan อยู่ 231 มิลลิเมตร)
- ความกว้าง 1,860 มิลลิเมตร
- ความสูง 1,659 มิลลิเมตร
- ระยะฐานล้อ 2,791 มิลลิเมตร
ภายในห้องโดยสารของ Tayron นั้นแทบจะเหมือนกับ Tiguan เช่นเดียวกัน โดยมีหน้าจอ Infotainment ขนาด 12.9 นิ้ว หรือ 15 นิ้ว ขึ้นอยู่กับรุ่นย่อย พร้อมกับหน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ขนาด 10.25 นิ้ว เพิ่มเติมชิ้นส่วนตกแต่งบนแผงหน้าปัดให้มีไฟส่องสว่าง Ambient light ปรับได้สูงสุด 30 สี ซึ่งสามารถตกแต่งด้วยไม้เนื้อแท้แบบมีรูได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม Tayron ไม่ได้มาพร้อมหน้าจอเสริมสำหรับผู้โดยสารด้านหน้าเหมือนกับ Passat Pro และ Magotan ที่วางจำหน่ายในจีน แต่ก็ยังมีอุปกรณ์มาตรฐานมากมาย เช่น ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ 3 โซน และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control) รวมไปถึงระบบช่วยเหลือการขับขี่ที่ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น ได้แก่ ระบบช่วยการขับขี่ทางไกล Travel Assist ระบบควบคุมตัวถังแบบแปรผัน (DCC Pro) นอกจากนี้ยังมีหลังคาซันรูฟแบบพาโนรามา เบาะนั่งติดตั้งระบบนวดและระบายอากาศ ปิดท้ายด้วยชุดเครื่องเสียงจาก Harman-Kardon
Tayron คือรถ SUV ที่มาพร้อมความจุสัมภาระด้านหลังเบาะนั่งแตกต่างกันไปตามแต่ละการจัดวางเบาะนั่ง โดยรุ่นเบาะ 3 แถวจะมีความจุ 345 ลิตรในขณะที่รุ่นเบาะ 2 แถวจะมีความจุ 885 ลิตร หากพับเบาะแถวที่ 2 รุ่นเบาะ 2 แถวจะมีปริมาตรเพิ่มขึ้นเป็น 2,090 ลิตร ส่วนรุ่นเบาะ 3 แถวจะเพิ่มขึ้นเป็น 1,905 ลิตร
ขุมพลังที่หลากหลายและครบทุกความต้องการ โดยเฉพาะขุมพลัง Plug-in hybrid และ Mild hybrid ที่ถูกพัฒนาขึ้นใหม่ เปลี่ยนจากเครื่องยนต์ 1.4 TSI มาเป็น 1.5 TSI evo 2 อันประกอบไปด้วย
เบนซิน Plug-in hybrid
- รุ่น eHybrid (Low Power) เบนซิน 4 สูบ ความจุ 1.5 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์แบบ variable-geometry turbocharger (VTG) ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุด 204 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร
- รุ่น eHybrid (High Power) เบนซิน 4 สูบ ความจุ 1.5 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์แบบ variable-geometry turbocharger (VTG) ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุด 272 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร
ทั้ง 2 รุ่น ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ DSG 6 จังหวะ ผ่านล้อคู่หน้า และทำงานร่วมกับแบตเตอรี่ความจุ 19.7 kWh และสามารถวิ่งด้วย EV mode ได้ระยะทางสูงสุด 100 กิโลเมตร สามารถชาร์จได้ด้วยไฟฟ้ากระแสตรงกำลังไฟฟ้าสูงสุดถึง 50 kW เพื่อที่จะชาร์จจาก 10% – 80% ได้ภายในเวลา 25 นาที สามารถให้ระยะทางเดินทางได้สูงสุดกว่า 850 กิโลเมตร
เบนซิน Mild hybrid
รุ่น 1.5 eTSI เบนซิน 4 สูบ ความจุ 1.5 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์แบบ variable-geometry turbocharger (VTG) ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 48Vกำลังสูงสุด 20 แรงม้า (PS) ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ DSG 7 จังหวะ ผ่านล้อคู่หน้า
เบนซิน TSI (รหัส EA888 evo4)
- รุ่น 2.0 TSI เบนซิน 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 320 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ DSG 7 จังหวะ ผ่านล้อคู่หน้า
- รุ่น 2.0 TSI 4MOTION เบนซิน 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ ให้กำลังสูงสุด 265 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ DSG 7 จังหวะ ผ่านล้อทั้ง 4
ดีเซล TDI (รหัส EA288 evo)
- รุ่น 2.0 TDI ดีเซล 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 360 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ DSG 7 จังหวะ ผ่านล้อคู่หน้า
- รุ่น 2.0 TDI 4MOTION ดีเซล 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ ให้กำลังสูงสุด 193 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ DSG 7 จังหวะ ผ่านล้อทั้ง 4
Volkswagen Tayron จะถูกผลิตขึ้นในโรงงานที่เมือง Wolfsburg ประเทศเยอรมนี และจะเริ่มวางจำหน่ายในยุโรปช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2024 นี้ โดยมีรุ่นย่อย Life Elegance และ R-Line เลือกใช้งานมหกรรมยานยนต์ Paris Motor Show 2024 เป็นเวทีในการโชว์ตัว
Volkswagen of America ได้ยืนยันว่า สหรัฐฯ จะมีโอกาสได้เป็นเจ้าของ Tiguan รุ่นฐานล้อยาว เช่นเดิม ซึ่งแต่ก่อนนี้จะเป็นรุ่นเดียวกันกับ Tiguan Allspace โดย Tiguan สำหรับตลาดสหรัฐฯ จะเปิดตัวภายในปลายปี 2024 นี้ โดยคาดว่าจะเป็นการนำ Tayron ที่วางจำหน่ายในยุโรปมาทำตลาด แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะใช้งานออกแบบร่วมกันกับ Tayron L ที่จำหน่ายในตลาดจีน
ที่มา: Motor1