Dacia เปิดตัวรถ SUV ที่มีขนาดใหญ่กว่า Duster โดยใช้ชื่อรุ่นว่า Bigster ซึ่งทั้งคู่ยังคงใช้งานวิศวกรรมพื้นฐาน CMF-B ร่วมกัน Bigster มีขนาดตัวถังที่ใหญ่ที่สุดตั้งแต่ค่ายนี้เคยวางจำหน่าย โดยยังคงไว้ซึ่งแนวทางการออกแบบที่เน้นประโยชน์ใช้สอยสะท้อนผ่านเส้นสายตัวถังเหลี่ยมสันอันเป็นเอกลักษณ์
งานออกแบบภายนอกมีการอ้างอิงรุ่นน้อง Duster รอบคัน ไม่ว่าจะเป็นกันชนหน้าไฟหน้าและไฟท้ายที่มีกลิ่นอายเดียวกัน แต่ได้รับการเพิ่มเติมความทันสมัยมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงระยะฐานล้อที่ยาวกว่า
มิติตัวถังรถ
- ความยาว 4,570 มิลลิเมตร (ยาวกว่า Duster อยู่ 230 มิลลิเมตร)
- ความกว้าง 1,810 มิลลิเมตร
- ความสูง 1,710 มิลลิเมตร
- ระยะฐานล้อ 2,700 มิลลิเมตร
ภายในยังคงใช้แนวทางการออกแบบร่วมกับรถอเนกประสงค์รุ่นน้อง Duster และมาพร้อมหน้าจอความบันเทิงขนาด 10.1 นิ้ว ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ขณะที่หน้าจอมาตวัดสำหรับแสดงข้อมูลการขับขี่ขนาด 7 นิ้วจะถูกติดตั้งในรุ่นย่อยเริ่มต้นและจะถูกอัพเกรดเป็นขนาด 10 นิ้วในรุ่นย่อยสูงขึ้น
พร้อมกับฟังก์ชันเพิ่มเติมความหรูหราอย่างหลังคากระจก panoramic ชุดเครื่องเสียง premium Arkamys 3D Sound system ระบบนำทางติดตั้งในตัวและแท่นชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย ขณะที่รุ่นย่อยสูงสุดจะเพิ่มเติมฝากระโปรงท้ายเปิดปิดด้วยระบบไฟฟ้าและระบบช่วยเหลือการขับขี่แปรผันความเร็วอัตโนมัติซึ่งติดตั้งเป็นครั้งแรกของแบรนด์ Dacia
พื้นที่ห้องเก็บสัมภาระที่มีขนาดใหญ่โตเกินกว่าขนาดตัวรถโดยมาพร้อมกับความจุห้องเก็บสัมภาระมากถึง 667 ลิตรด้วยความที่ตัวรถมีรูปทรงเหลี่ยมสันตามแบบสลับรถอเนกประสงค์ยุคใหม่ที่มีการย้อนนำแนวทางการออกแบบของโรงเรียนประสงค์ยุคแรกเมื่อหลาย 10 ปีก่อนมาปรับใช้ เช่นเดียวกันกับพื้นที่ภายในห้องโดยสารที่ขยายขนาดใหญ่ขึ้น โดยในช่วงแรกจะยังมีให้เลือกเพียงแค่รุ่น 5 ที่นั่ง และยังไม่มีการประกาศแผนการวางจำหน่ายรุ่น 7 ที่นั่งแต่อย่างใด
ถึงแม้จะเป็นรถอเนกประสงค์ราคาเป็นมิตรต่อกระเป๋าแต่ก็ยังอัดแน่นไปด้วยคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นกระจกบังลมหน้ารถเสียงรบกวน การบุฉนวนกันเสียงเข้าห้องโดยสารรอบคัน เบาะนั่งคู่หน้าพร้อมฟังก์ชั่นการปรับแผ่นดันหลัง ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ 2 โซน
มาพร้อมฟังก์ชัน YouClip system ซึ่งเป็นการเปลี่ยนชิ้นส่วนภายในห้องโดยสารให้สามารถรองรับอุปกรณ์เสริมตามการใช้งานได้หลากหลายไม่ว่าจะเป็นช่องเก็บของ อุปกรณ์จับยึด Gadget ต่างๆ รวมไปถึงแพ็คเกจสำหรับลูกค้าสายแคมป์ปิ้งที่มีให้เลือกตั้งแต่ Sleep Pack Roof Rack และเตนท์พับเก็บได้
ไฮไลท์อยู่ที่ขุมพลัง Full hybrid ใหม่ รหัส 155 ที่ได้ถูกติดตั้งเป็นรุ่นแรกประจำการรถในเครือ Renault Group โดยเลือกใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ จะคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวและแบตเตอรี่ความจุ 1.4 kWh ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติลูกใหม่ให้พละกำลังสูงสุด 155 แรงม้า (PS) ซึ่งสามารถวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วนได้เป็นสัดส่วนมากถึง 80% ตลอดการใช้งานในเขตเมือง
ขณะที่รุ่นขุมพลัง mild-hybrid รหัส TCe 140 ที่ประกอบไปด้วยเครื่องยนต์เบนซินความจุ 1.2 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ ให้พละกำลังสูงสุด 140 แรงม้า (PS) ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ความจุ 0.8 kWh จับคู่กับระบบส่งกำลังแบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ผ่านล้อคู่หน้า
นอกจากนี้ยังมีขุมพลังที่รองรับทั้งเชื้อเพลิงน้ำมันเบนซินและก๊าซหุงต้ม LPG ซึ่งใช้พื้นฐานจากเครื่องยนต์ ECO-G 140 ที่ให้พละกำลังสูงสุด 140 แรงม้า (PS) พร้อมระบบ Mild-hybrid และมีพิสัยการเดินทางสูงสุด 1,450 กิโลเมตรเมื่อรวมพลังงานจากน้ำมันเบนซินจำนวน 50 ลิตรและก๊าซหุงต้ม LPG อีก 49 ลิตร
ขุมพลังสุดท้ายที่มีให้เลือกพร้อมกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Terrain Control 4×4 system ได้แก่เครื่องยนต์เบนซินความจุ 1.2 ลิตรให้พละกำลังสูงสุด 130 แรงม้า (PS) พร้อมระบบ mild-hybrid ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะและมาพร้อมโหมดการขับขี่จำนวน 5 รูปแบบได้แก่ Auto Snow Mud/Sand Off-Road และ Eco
Dacia ยังไม่ได้กำหนดการวางจำหน่ายของ Bigster แต่อย่างใด ทั้งนี้ คาดว่าจะวางจำหน่ายในยุโรปและสหราชอาณาจักรในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ แม้ว่า Bigster อาจจะเป็นรุ่นที่มีราคาสูงที่สุดของ Dacia แต่ยังคงมีราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่งส่วนใหญ่ในกลุ่ม Compact SUV ซึ่งสอดคล้องกับความเป็นแบรนด์ที่เน้นความคุ้มค่าของ Dacia
ที่มา: Carscoops