Bentley รีบเปิดตัวรถซีดานขุมพลัง V8 Hybrid ที่ไม่เพียงแต่จะมีพลังมากขึ้น แต่ยังมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นและลดการปล่อยก๊าซพิษด้วย เครื่องยนต์ V8 Hybrid เปิดตัวครั้งแรกกับ 2025 Continental GT Speed จนกระทั่งถูกนำมาใช้ใน Flying Spur ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Bentley ในการผนวกความหรูหรากับเทคโนโลยีที่ทันสมัย การเปลี่ยนแปลงนี้อาจจะมอบประสบการณ์การขับขี่ที่น่าตื่นเต้นในขณะที่สอดคล้องกับมาตรฐานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้ยังสะท้อนถึงแนวโน้มที่กว้างขึ้นในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มุ่งไปที่พลังงาน Hybrid และไฟฟ้าล้วน
งานออกแบบภายนอกยังคงอ้างอิงจากรุ่นก่อนหน้าโดยแทบจะไม่มีความแตกต่างระหว่าง 2 รุ่น มีการอัพเกรดลวดลายของกระจังหน้าให้เป็นแนวทางเดียวกันกับรุ่น Speed พร้อมกับกันชนหน้าออกแบบใหม่ที่มีช่องลมด้านหน้าขนาดใหญ่พร้อมกับช่องลมด้านข้างเข้าชุดกลับเป็นอย่างดี
นอกจากนี้ยังสามารถเลือกอัพเกรดชุดแต่งภายนอกเพื่อเพิ่มเติมความดุดันยิ่งขึ้น โดยจะเป็นวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ที่เป็นสีวัสดุหรือสามารถทำเป็นสีเดียวกับตัวรถก็ย่อมได้ ขณะที่สีตัวถังภายนอกก็มีให้เลือกมากมายกว่า 101 สี ตามความชอบ โดยในจำนวนนี้ มีเบอร์สีที่เหมือนกันกับรถสปอร์ตคลาสสิคเช่นเดียวกัน
ภายในมีการอัพเกรดอุปกรณ์ต่างๆให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้นในหลายจุด ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่และหน้าจอกลางพร้อมระบบเชื่อมต่อชุดใหม่ ทั้งหมดนี้สามารถอัพเดทซอฟแวร์ได้ผ่านระบบออนไลน์ over-the-air มาพร้อมกับการเชื่อมต่อ CarPlay และ Android แบบไร้สาย
ชุดเครื่องเสียงเกรดพรีเมี่ยมติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานพร้อมลำโพงจำนวน 10 ตำแหน่ง มาพร้อมกับกำลังขับสูงสุด 650 W หรือจะเลือกอัพเกรดเป็นแบบ 16 ตำแหน่งพร้อมกำลังขับสูงสุด 1,500 W จากแบรนด์ Bang & Olufsen และชุดเทพลำโพง 19 ตำแหน่ง พร้อมระบบ Active Bass Transducers ที่ติดตั้งลำโพงเป็นส่วนหนึ่งกับเบาะนั่งคู่หน้า พร้อมกันนี้ยังน่าติดตั้งกระจกบังลมหน้าและกระจกประตูด้านข้างที่สามารถลดเสียงรบกวนลงได้ 9 เดซิเบล
ขุมพลัง “Ultra Performance Hybrid” ประกอบไปด้วย เครื่องยนต์เบนซิน V8 4.0 ลิตร ที่ได้รับการปรับปรุงระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงแรงดันสูงใหม่ พร้อมด้วยการเปลี่ยนเทอร์โบแบบ single-scroll ที่มีพละกำลังสูงสุด 592 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 800 นิวตัน-เมตร
พ่วงกับระบบขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่ติดตั้งระหว่างเครื่องยนต์และชุดเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ แบบ dual-clutch ซึ่งให้พละกำลังสูงสุด 187 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 451 นิวตัน-เมตร โดยมอเตอร์จะเข้ามาช่วยเพิ่มแรงบิดในรอบต่ำและชดเชยพละกำลังเพื่อทำให้การเปลี่ยนเกียร์มีความต่อเนื่องมากยิ่งขึ้น
ทำให้สามารถสร้างพละกำลังรวมได้สูงถึง 782 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดร่วม 1,000 นิวตัน-เมตร รวมไปถึงความสามารถในการวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าได้ระยะทางสูงสุดกว่า 80 กิโลเมตร ด้วยแบตเตอรี่ความจุ 25.9 kWh ที่ติดตั้งอยู่ด้านหลังรถ ตามมาตรฐาน WLTP พร้อมรองรับการชาร์จเร็วด้วยไฟบ้านกำลังไฟฟ้าสูงสุด 11kW ได้เต็มภายในเวลาเพียง 2 ชั่วโมง 45 นาที
Bentley ได้ทำตามอัพเกรดช่วงล่างแบบ Active Chassis system ที่ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ซึ่งเป็นการควบรวมระบบบังคับเลี้ยวล้อทั้ง 4 ข้าง เข้ากับระบบช่วงล่างแบบแปรผัน และระบบส่งกำลัง limited-slip differential อาหารซอฟต์แวร์ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ จนทำให้อัตราส่วนกระจายน้ำหนักด้านหน้า-ด้านหลังอยู่ที่ 48.3-51.7
Bentley ยังไม่ได้ประกาศราคาจำหน่ายของ Flying Spur Model year 2025 อย่างเป็นทางการ จนกว่าจะมีกำหนดการส่งมอบภายในช่วงสิ้นปี 2024 นี้
ที่มา: Motor1