BYD เปิดตัวรุ่น Model Year 2025 ของรถซีดาน D/E-Segment หลังจากเปิดตัวตั้งแต่ปี 2020 และมียอดขายสะสมกว่า 800,000 คัน โดยมีให้เลือกทั้งขุมพลัง Plug-in hybrid และขุมพลังไฟฟ้าล้วน โดยได้อัพเกรดเทคโนโลยีใหม่หมดจด ไฮไลท์อยู่ที่การลดราคาขายลงอีก เพื่อสู้สงครามราคาในตลาดจีนที่กำลังดุเดือด
ภายนอกยังคงไว้ซึ่งเส้นสายการออกแบบเดิม เพิ่มเติมสีตัวถังภายนอกสีเทา fashion gray โดยกระจังหน้าได้ใช้งานออกแบบร่วมกัน โดยเป็นแบบปิดทึบใสลักษณะเดียวกันกับรถ EV รุ่นอื่นๆ พร้อมด้วยแพ็คเกจ black sports เพิ่มการตกแต่งลุคสปอร์ต
ตัวรถจะมีความยาว 4,975 มิลลิเมตร กว้าง 1,910 มิลลิเมตร สูง 1,495 มิลลิเมตร และความยาวฐานล้อ 2,920 มิลลิเมตร
ภายในเลือกใช้หน้าจอกลางขนาด 15.6 นิ้ว ความละเอียดสูง 2.5K พร้อมรองรับการเชื่อมต่อข้อมูลอย่างครบครัน รองรับผู้ช่วยส่วนตัวเพื่อปรับเปลี่ยนการใช้งานฟังก์ชั่นต่างๆ อย่างครบครัน และระบบนำทางแบบ 3 มิติ ในส่วนของเบาะนั่งคู่หน้าก็ติดตั้งระบบเบาะนวด 10 จุด พร้อมด้วยไฟตกแต่งภายในห้องโดยสารที่ปรับได้ตามบรรยากาศภายในห้องโดยสาร พร้อมด้วยเครื่องเสียงพรีเมี่ยมจากแบรนด์ Dynaudio จำนวน 12 ลำโพง
งานวิศวกรรมทั้งหมดจะเปลี่ยนไปใช้ BYD e-Platform 3.0 Evo ที่รองรับสถาปัตยกรรมแรงดันไฟฟ้าสูงถึง 800V เริ่มที่เทคโนโลยี Plug-in hybrid เจเนอเรชั่นที่ 5 DM-I ที่เพิ่งจะเปิดตัวไปหมาดๆ โดยเลือกใช้เครื่องยนต์เบนซินความจุ 1.5 ลิตร พ่วงระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้แรงบิดสูงสุดรวม 315 นิวตัน-เมตร อัตราเร่งจากความเร็ว 0-100 กิโลเมตร / ชั่วโมง ภายในเวลา 6.9 วินาที และมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยอยู่ที่ 3.8 ลิตร / 100 กิโลเมตร โดยสามารถให้ระยะทางสูงสุด 1,350 กิโลเมตร เมื่อรวมโหมดพลังงานไฟฟ้าและเครื่องยนต์สันดาป ตามมาตรฐาน CLTC
ขณะที่รุ่นขุมพลังไฟฟ้าล้วนมีให้เลือก 2 ระยะทางสูงสุด ได้แก่ 506 และ 701 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน CLTC รองรับการชาร์จไฟเร็วโดยสามารถชาร์จได้จนถึง 80% ได้ภายในเวลา 30 นาที พร้อมอัตราเร่งจากความเร็ว 0-100 กิโลเมตร / ชั่วโมง ภายในเวลา 7.9 วินาที
ระบบความปลอดภัย DiPilot 300 system ครบครันด้วยอุปกรณ์ทันสมัยอย่าง LiDAR และชิปประมวลผลจาก Nvidia Orin-X ที่รองรับการทำงานของระบบช่วยขับขี่อัตโนมัติทั้งในเขตเมืองและทางหลวง พร้อมเซนเซอร์ต่างๆ จำนวนทั้งหมด 31 ตำแหน่ง ที่ติดตั้งรอบคันเพื่อรองรับการทำงานของระบบความปลอดภัย
ในส่วนของช่วงล่างที่เป็นระบบอัจฉริยะ DiSus-C intelligent damping system ซึ่งรองรับการปรับความหนืดได้เหมาะสมตามสภาพพื้นผิวการจราจร พร้อมกับการปรับปรุงชิ้นส่วนช่วงล่างด้านหลัง
BYD Han Model Year 2025 วางจำหน่ายทั้งหมด 9 รุ่นย่อย แบ่งเป็น PHEV จำนวน 5 รุ่นย่อย ซึ่งใช้ขุมพลังเดียวกันที่สามารถวิ่งในโหมด EV ได้ไกลสุด 125 กิโลเมตร มีราคาเริ่มต้นที่ 165,800 หยวน หรือประมาณ 785,680 บาท ไปจนถึงรุ่นท๊อป 225,800 หยวน หรือประมาณ 1,070,004 บาท ขณะที่รุ่น EV มีราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 179,800 หยวน หรือประมาณ 851,961 บาท สำหรับรุ่นเริ่มต้น 506 กิโลเมตร รุ่น Standard range 800V 605 กิโลเมตร ราคา 195,800 หยวน หรือประมาณ 927,776 บาท ไปจนถึงรุ่นท๊อป Long range 800V 701 กิโลเมตร 235,800 หยวน หรือประมาณ 1,117,311 บาท ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกลงกว่ารุ่น Model Year อยู่ 4,000 หยวน หรือประมาณ 19,000 บาท โดยมีคู่แข่งเป็น Xiaomi SU7 และ Geely Galaxy E8
ที่มา: Carnewschina